ตอนที่ 85 วาโยเย็นฉ่ำ จันทร์กระจ่าง (3)
เมื่อออกจากประตูหมิงเต๋อ ข้านึกถึงวันวานยามถูกยงอ๋องจับเป็นเชลยพาตัวเข้ามาในฉางอันก็อดคลี่ยิ้มเล็กน้อยไม่ได้ แม้เป็นเวลาเพียงสองปี แต่นครฉางอันก็ทิ้งรอยประทับไว้ในใจข้าอย่างลึกซึ้ง ดูท่าแล้วมิว่าข้าจะไปอยู่แห่งหนใดก็คงหวนนึกถึงทิวทัศน์ของฉางอันกระมัง ไม่รู้ว่าเดินทางมาได้นานเท่าใด ทันใดนั้น เสียงของเสี่ยวซุ่นจื่อก็ลอยเข้ามา “คุณชาย มีแขกสูงศักดิ์มาส่ง!”
ข้าตกตะลึง เรื่องที่ข้าออกจากฉางอัน นอกจากลูกน้องของข้ามิมีผู้ใดล่วงรู้ จะมีคนมาส่งได้เช่นไร ข้าเลิกม่านรถขึ้น ทันใดนั้นสายตาก็ถูกสะกดตรึงไว้ ด้านในศาลาริมทางด้านหน้า สตรีอาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งยืนอยู่ในศาลา ผมเกล้ามวยสูง ห่มเสื้อคลุมสีเขียวหยก สตรีอายุสามสิบกว่าปีหน้าตาสง่างามนางหนึ่งยืนอยู่ข้างกายนาง พร้อมกับเด็กหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาอายุสิบกว่าปีอีกคนหนึ่ง ข้าหลุดอุทานด้วยความตกตะลึง สามคนนั้นก็คือองค์หญิงฉางเล่อ โจวซั่งอี๋ กับเสี่ยวลิ่วจื่อที่อยู่ข้างกายนาง นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้ารีบกระโดดลงจากรถม้าโดยมีเสี่ยวซุ่นจื่อคอยประคอง เมื่อเข้าไปในศาลาก็ถามอย่างรีบร้อน “องค์หญิง ท่านเดินทางมาส่งได้อย่างไร”
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “หากมิใช่เสี่ยวซุ่นจื่อบอกกล่าว ท่านก็จะจากที่นี่ไปอย่างไม่ไยดีความรักของข้าใช่หรือไม่”
ข้าตอบอย่างกระอักกระอ่วน “องค์หญิง นับจากนี้เจียงเจ๋อจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง องค์หญิงฐานะสูงศักดิ์ ยังไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น เพียงราชทินนามหนิงกั๋วสองคำนี้ ก็ทำให้เกียรติยศขององค์หญิงเลื่องลือทั่วหล้า ข้า…”
องค์หญิงฉางเล่อยื่นมือเรียวงามมาปิดปากข้าไว้ แล้วเอ่ยเสียงหวาน “ข้ามิสนใจเกียรติยศความมั่งคั่งอันใด ข้ารู้เพียงว่าข้าไม่ติดค้างอันใดต้ายงอีก เสด็จพ่อเสด็จแม่พระวรกายแข็งแรง แล้วเสด็จพี่ก็คงจะตอบแทนบุญคุณท่านทั้งสองสุดความสามารถ หากท่านไม่รังเกียจ ข้ายินดีจากไปพร้อมกับท่าน นับจากนี้ใช้ชีวิตเรียบง่าย เป็นสามีภรรยาครองรักกันเยี่ยงปุถุชน”
ข้าสะกดความยินดีที่พลุ่งพล่านในหัวใจไม่ไหวอีกต่อไป ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยคิดพาฉางเล่อหนีไปด้วยกัน แต่การพระราชทานราชทินนามเพิ่มของฝ่าบาททำให้ข้าถอย ราชทินนามองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อ มิใช่ว่าใครจะครอบครองได้ บุตรีของเชื้อพระวงศ์ทุกคนล้วนจะได้รับราชทินนามต่อท้ายยศองค์หญิง แต่ราชทินนามดังกล่าวนี้จะมีเพียงสองพยางค์ ส่วนราชทินนาม ‘หนิงกั๋ว’ ได้พระราชทานเพิ่มมาเนื่องจากองค์หญิงฉางเล่อสร้างความชอบใหญ่หลวงในการปราบกบฏ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา องค์หญิงที่ได้รับราชทินนามเช่นนี้มีน้อยนิดเพียงไม่กี่คน ดังนั้นข้าจึงยอมแพ้ คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงฉางเล่อจะยินดีทิ้งเกียรติยศอันพิเศษเช่นนี้ แล้วจากไปด้วยกันกับข้า
ข้าก้าวเข้าไปกุมมือเรียวงามขององค์หญิงฉางเล่อไว้แล้วเอ่ยว่า “องค์หญิง ได้รับความรักจากท่าน เจียงเจ๋อซาบซึ้งยิ่งนัก แม้เจียงเจ๋อเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง แต่จะทำให้องค์หญิงมีความสุขให้จงได้”
พวงแก้มงามขององค์หญิงฉางเล่อแดงระเรื่อ นางตอบเสียงเบา “หากข้าไม่เชื่อท่าน ไยจะขอติดตามอย่างไม่สนหน้าตา ท่านมิต้องเรียกข้าว่าองค์หญิงแล้ว ข้านามว่าหลี่เจิน หลังจากนี้ท่านเรียกข้าว่าเจินเอ๋อร์เถิด”
ในใจข้ารู้สึกหวานล้ำ เอ่ยขึ้นแผ่วเบา “เจินเอ๋อร์ ข้าจะไม่มีวันทำผิดต่อเจ้า”
องค์หญิงฉางเล่อหวนนึกถึงความรักอันขื่นขมตลอดหลายปี ในที่สุดก็มีวันนี้ นางดวงตาแดงระเรื่ออย่างห้ามไม่ได้แล้วโถมเข้ามาในอ้อมแขนของข้า มือของข้ากอดเรือนร่างอรชรขององค์หญิงฉางเล่อแน่น ดวงตามองไปทางเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างซาบซึ้ง หากไม่ได้เขาลงมือโดยพลการ เกรงว่าข้าคงเดียวดายตราบจนแก่เฒ่าจริงๆ เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มละไม แต่ไม่เอ่ยคำใด
ข้าประคององค์หญิงฉางเล่อขึ้นรถม้า โจวซั่งอี๋กับเสี่ยวลิ่วจื่อขึ้นรถม้าคันหลัง พวกเขาล้วนภักดีต่อองค์หญิงฉางเล่อและไม่ต้องการรับโทษทัณฑ์ที่ทำองค์หญิงหาย จึงเดินทางไปด้วย
รถม้าออกเดินทางอีกครั้ง ข้ากุมมือเรียวงามขององค์หญิงฉางเล่อไว้พร้อมรู้สึกสุขล้นหัวใจ สวรรค์ ในที่สุดก็เมตตาข้า ให้ข้าได้พบคู่ครองที่รู้ใจเช่นนี้หลังจากสูญเสียเพียวเซียง ส่วนฝ่าบาทกับยงอ๋องจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ข้ามิสนใจ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่คิดกลับมายังราชสำนักอันเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายนั่นอีก
ยงอ๋องที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาทอย่างเป็นทางการกลับมายังจวนอ๋องไม่นานก็ได้ข่าวการหายตัวไปของเจียงเจ๋อ เขารีบร้อนไปที่สวนเหมันต์แล้วจึงเห็นว่าองครักษ์ทั้งหมดถูกยาสลบ ภายในสวน สิ่งของที่ยงอ๋องประทานให้ทั้งหมดล้วนถูกเก็บเอาไว้ ไม่หยิบไปสักชิ้น จดหมายและสารทั้งหมดบันทึกไว้เป็นรายการ บางส่วนระบุว่าซ่อนไว้ที่ใด บางส่วนระบุว่าทำลายแล้ว บนโต๊ะหนังสือมีจดหมายของเจียงเจ๋อวางไว้ฉบับหนึ่ง หลี่จื้อเปิดออกดูก็พบบทกวีสั้นๆ บทหนึ่งเขียนอยู่บนนั้น
‘ตราทองตรงบั้นเอวปลดออกแล้ว มิแคล้วเป็นเพียงปุถุชน แขกแห่งสวนเหมันต์คนอยากยล มิพ้นหนึ่งบัณฑิตแห่งเจียงหนาน’
หลี่จื้อถอนหายใจ นั่งลงบนเก้าอี้แล้วเอ่ยว่า “สุดท้ายข้าก็ยังทำให้ท่านยอมรับจากหัวใจมิได้หรือ”
เวลานี้เซี่ยโหวหยวนเฟิงพลันเอ่ยขึ้นว่า “องค์ชาย มีข่าวเรื่องหนึ่งบางทีอาจทำให้องค์ชายเบิกบานพระทัย”
หลี่จื้อเลิกคิ้วแสดงท่าทีฉงน เซี่ยโหวหยวนเฟิงจึงอมยิ้มรายงานว่า “เมื่อครู่กระหม่อมทราบข่าวใต้เท้าเจียงออกเดินทางจึงให้คนไปสืบข่าวเล็กน้อย ดูเหมือนว่าวันนี้องค์หญิงฉางเล่อก็เสด็จออกจากวังเช่นกัน อีกทั้งองค์หญิงยังพาไปเพียงโจวซั่งอี๋กับขันทีน้อยผู้หนึ่งและองครักษ์ติดตามเพียงไม่กี่นาย ต่อมาองครักษ์ที่รับผิดชอบคุ้มกันเหล่านี้กลับวังมาขอพระราชทานอภัย เพราะพวกเขาถูกคนจับตัวไว้ กว่าจะหนีกลับมารายงานได้ องค์หญิงก็หายตัวไปแล้ว”
ดวงตาของหลี่จื้อทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากำลังบอกว่าฉางเล่อหนีตามสุยอวิ๋นไปแล้ว”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเอ่ยอย่างนอบน้อม “กระหม่อมมิกล้าคาดเดาส่งเดช แต่องค์ชาย หากไม่มีข่าวคราวอีกเลย ก็น่าจะออกเดินทางไปกับใต้เท้าเจียงแล้ว”
หลี่จื้อหัวเราะลั่น “ดี ดี ในที่สุดฉางเล่อก็มีความกล้าหาญแล้ว ในเมื่อสุยอวิ๋นกลายเป็นน้องเขยของข้าแล้ว ข้าก็วางใจ ช้าเร็วเขาย่อมกลับมา” จากนั้นเขาจึงขมวดคิ้วเอ่ยต่อว่า “แต่ฝ่ายเสด็จพ่อเกรงว่าคงพิโรธ ข้าต้องรีบเข้าวังไปไกล่เกลี่ยสักหน่อย”
เวลานี้เอ งสืออวี้พลันรีบร้อนเดินเข้ามารายงานว่า “องค์ชาย ข่าวจากชายแดน หลงถิงเฟยนำทหารออกจากด่านหมิงสุ่ยเข้าตีเจิ้นโจว สถานการณ์คับขัน”
คิ้วกระบี่ของหลี่จื้อเลิกสูง “มาตามคาด ถ่ายทอดคำสั่งทันที ข้าจะไปรับศึกด้วยตนเอง”
สืออวี้กลับค้านอย่างเด็ดขาด “องค์ชาย ทำเช่นนี้มิได้ ก่อนหน้านี้ท่านเป็นชินอ๋องผู้นำทหารย่อมนำทัพออกศึกได้ วันนี้ท่านเป็นรัชทายาทแห่งแว่นแคว้น ทั้งยังแบกภาระบริหารบ้านเมือง ยามนี้สถานการณ์ในแคว้นยังไม่มั่นคง องค์ชายจำต้องอยู่คุมสถานการณ์ในเมืองหลวง มิเช่นนั้นจะเสียการใหญ่เพราะเหตุเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น องค์ชายมิอาจเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายได้อีกแล้ว ด้วยฐานะขององค์ชายมิเหมือนเดิม”
หลี่จื้อขมวดคิ้วเป็นปม ฐานะที่เปลี่ยนไปทำให้เขาปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง ชั่วขณะหนึ่งจึงจมลงไปในห้วงความกลัดกลุ้ม นอกจากตนยังมีผู้ใดนำทัพออกศึกได้อีกบ้างหนอ ต้ายงมีแม่ทัพมากความสามารถมากมาย แต่จะเลือกยอดแม่ทัพสักคนที่ต่อกรกับหลงถิงเฟยได้มิใช่เรื่องง่าย เขาหันไปมองจดหมายของเจียงเจ๋อที่อยู่บนโต๊ะหนังสือด้านข้างแล้วยื้มเจื่อน “สุยอวิ๋น ไฉนท่านทิ้งข้าไปยามนี้เล่า”
ตอนนี้เอง เซี่ยโหวหยวนเฟิงพลันโพล่งขึ้นว่า “องค์ชาย ด้านหลังจดหมายเหมือนจะมีตัวอักษรอยู่”
หลี่จื้ออึ้งครู่หนึ่งก็ก้าวเข้าไปหยิบจดหมายขึ้นมา ด้านหลังมีอักษรตัวน้อยแถวหนึ่งอยู่จริงดังว่า เขียนไว้ดังนี้ ‘เป่ยฮั่นคงฉวยโอกาสยกพลบุกตีชายแดนเป็นแน่ ผู้ที่จะเป็นแม่ทัพได้ มีเพียงฉีอ๋องหลี่เสี่ยน หากองค์ชายขอร้องด้วยใจจริง ฉีอ๋องจักน้อมรับบัญชาแน่นอน’
หลี่จื้อถือจดหมายนิ่งอึ้งอยู่ชั่วครู่ สีหน้าแปรเปลี่ยนนับหมื่นพัน ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่เอ่ยคำใด เวลานี้เอง องครักษ์นายหนึ่งก็วิ่งเข้ามาเอ่ยว่า “องค์ชาย ใต้เท้าทุกท่านรอองค์ชายไปร่วมหารืออยู่ในห้องโถงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จื้อได้สติกลับมาแล้วคลี่ยิ้มละไม “ข้าจักไปเดี๋ยวนี้ ถ่ายทอดคำสั่งข้า นับจากวันนี้ไปจงปิดสวนเหมันต์แห่งนี้ไว้ ห้ามมิให้ผู้ใดบุกรุก บ่าวรับใช้ในสวนคงไว้เช่นเดิม ดูแลรักษาทุกสิ่งที่นี่ให้ดี อย่าได้เกียจคร้าน” กล่าวจบ หลี่จื้อพลันสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปด้านนอก ยังมีเรื่องใหญ่รอให้เขาไปจัดการอยู่อีก
เวลานี้ล่วงเข้าปลายสารทฤดู ดวงจันทร์กระจ่างทอแสงกลางท้องนภา วาโยเย็นฉ่ำโชยพัดทั่วสวน หลี่จื้อเดินผ่านสวนเหมันต์ ความห้าวหาญเปี่ยมล้นหัวใจ เป่ยฮั่น หนานฉู่ รอก่อนเถิด กองทัพอาชาเหล็กต้ายงของข้ากำลังจะไปเยือนแล้ว
ตอนต่อไป