บทที่ 510 เที่ยวทะเลสาบ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ได้ยินคำนี้ วารุณีก็มองไปที่นัทธี“สามี ฉันไปที่นั่นก่อนนะ เดี๋ยวมาหาคุณ”

นัทธียืนขึ้นมา“ไปเถอะ ผมจะไปประชุม”

“อือ”วารุณีกอดเขา ไปที่แคทวอล์คกับดีไซเนอร์คนนั้น

การเดินโชว์ครั้งนี้ ครึกครื้นกว่าเดินโชว์ของการแข่งขันรอบก่อนๆที่ผ่านมา ผู้ชมที่มาและสื่อที่ถ่ายภาพ ก็เยอะกว่าปกติสองเท่า

คนพวกนี้ก็ได้ยินกระแสของการปฏิรูปวงการแฟชั่น ดังนั้นเลยมาชมโดยเฉพาะ

วารุณีกับเหล่าดีไซเนอร์ทีมAยืนอยู่ด้วยกัน มองเดินโชว์บนเวที

ต้องบอกว่า เสื้อผ้าโชว์ครั้งนี้ ถึงแม้ไม่สวยเหมือนปกติ แต่ผลของการมองเห็นนั้น กลับน่าตกตะลึงยิ่งกว่าปกติ เพราะว่าออกแบบเสื้อผ้าให้คนไม่สมประกอบ เดิมทีเป็นการทดสอบความสามารถและทักษะของดีไซเนอร์อย่างมาก

ดังนั้นเสื้อผ้าของดีไซเนอร์ รวมกับนางแบบพวกนี้แล้ว จะไม่ทำให้คนตกตะลึงได้อย่างไร

แน่นอนว่า มีตะลึงและก็มีที่ถอดถอนหายใจ มีบางคนที่เห็นด้วยกับนางแบบบนเวที และก็มีบางคนที่มองไปแล้วอิจฉาตาร้อน

ดังนั้นวารุณีจึงได้ยินเสียงร้องไห้ของดีไซเนอร์จำนวนมากที่อยู่รอบๆเข้ามา

“คนพวกนี้ ไม่ได้กำลังร้องไห้ผลงานของตัวเองแน่”เอเลน่าอยู่ใกล้กับวารุณีที่สุด หลังจากมองไปรอบๆคนที่กำลังร้องไห้เหล่านี้ ก็พูดเบาๆ

วารุณีพยักหน้า“ที่จริงการออกแบบของพวกเขาไม่มีปัญหา ถ้าเปลี่ยนเป็นคนปกติสวมใส่ ต้องสวยแน่ แต่พอใส่กับนางแบบไม่สมประกอบพวกนี้แล้วก็ไม่เหมาะ ดังนั้นที่พวกเขาร้องไห้ก็เพราะนางแบบพวกนั้น โทษนางแบบพวกนั้นที่ทำลายการออกแบบของพวกเขา”

“ดังนั้นฉันเลยดูถูกพวกเขา ยังจะมาโทษนางแบบว่าทำลายงานออกแบบของพวกเขาอีก การแข่งขันครั้งนี้ เดิมทีก็เป็นพวกเราที่ไปรับนางแบบมา ออกแบบตามนางแบบ ไม่ใช่นางแบบรับพวกเรามา แนวคิดของพวกเขากลับกันแล้ว ยังจะมาโทษนางแบบอีก”เอเลน่าเบะปาก พูดอย่างไม่พอใจ

วารุณียิ้ม ไม่พูดอะไร

ใช่ ดีไซเนอร์ที่ร้องไห้พวกนี้ แม้แต่แนวคิดพื้นฐานก็ยังผิด

ไม่ว่าที่เอเลน่าดูถูกหรอก

แป๊บเดียว เดินแบบก็จบลง เหล่ากรรมการเริ่มปรึกษาหารือผลรอบสุดท้าย

ช่วงนี้ เหล่าดีไซเนอร์ทุกคนต่างตื่นกังวล

วารุณีก็เช่นกัน

แต่เธอไม่ได้กังวลกับตัวเอง แต่กังวลเพื่อร่วมทีม

ทีมAมีดีไซเนอร์สามคน ไม่เหมาะสมที่จะออกแบบชุดให้คนไม่สมประกอบจริงๆ ดังนั้นเสื้อผ้าที่ออกแบบออกมา ไม่มีพลังงานก็ว่าไปอย่างแล้ว มองไปแล้วก็ไม่โดดเด่นเลย

ดังนั้นเธอกังวลว่าผลงานของดีไซเนอร์ทั้งสามคนนี้ จะได้กี่คะแนน จะลดคะแนนเฉลี่ยของทีมAหรือไม่

เพราะพวกคะแนนเฉลี่ย ถ้าน้อยไปนิดเดียว ก็เป็นไปได้ที่จะถูกกำจัดออก

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ในที่สุด ก็มาถึงช่วงเวลาประกาศผล

พิธีกรถือรายชื่อขึ้นเวที เริ่มประกาศผลครั้งสุดท้าย

ทีมAของทางวารุณี คะแนนเฉลี่ยคือเก้าสิบจุดยี่สิบแปด ส่วนทีมB เก้าสิบจุดยี่สิบเจ็ด ทีมC……

ตามที่ผู้สนับสนุนอ่านต่อไป อารมณ์ของวารุณีก็ผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ

ตั้งแต่เมื่อกี๊จนตอนนี้ ไม่มีคะแนนของสักทีมที่สูงกว่าทีมAของพวกเขา ดังนั้นตอนนี้ พิธีกรจึงอ่านคะแนนจากสูงไปต่ำ

อย่างที่คาดไว้ ดีไซเนอร์ที่แข็งแกร่ง ความน่าจะเป็นของการปรากฏตัวก็สูง

พวกเขาทีมAคือกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด ในบรรดาดีไซเนอร์ทั้งหมด นี่ไม่ใช่ว่า คะแนนสูงที่สุดเหรอ ต่อมาก็คือทีมB ส่วนทีมE ถูกกำจัดออก

การแข่งขันรอบนี้ ก็ปิดฉากลงที่ตรงนี้

เหล่าดีไซเนอร์ที่มีสิทธิ์เข้ารอบ ต่างโล่งอก เริ่มส่งเสียงร้องโห่ดีใจ และยังคุยกันว่าคืนนี้จะไปดื่มเหล้าฉลองด้วย

วารุณีไม่ไป ดีไซเนอร์คนอื่นก็ไม่บังคับ พวกเขารู้ว่า เธอตั้งท้องอยู่

“คุณผู้หญิง”วารุณีออกมาจากสถานที่แข่งขัน ก็ถูกมารุตเรียกไว้

วารุณีหันหน้าไปมองเขา“คุณรอฉันตรงนี้ตลอดเลยเหรอ?”

“ครับ ประธานให้ผมอยู่รอคุณผู้หญิงที่นี่ ประธานยังประชุมอยู่ เลยให้ผมมารับคุณไปขึ้นรถ”มารุตพูดด้วยรอยยิ้ม

วารุณีพยักหน้า“โอเค รบกวนผู้ช่วยมารุตด้วย”

มารุตส่ายหน้า“คุณผู้หญิงเกรงใจมากไปแล้ว”

เขาทำท่าเชิญ

วารุณีตามอยู่หลังเขา ไปที่โรงจอดรถ

อยู่ในรถสองนาทีได้ โทรศัพท์ในกระเป๋าเธอดังขึ้น เป็นทางโรงพยาบาลจิตเวชโทรมา

วารุณีรู้ว่า อาจจะเป็นเรื่องของพิชญา จึงปัดกดรับปุ่มเขียว แล้วเอามาฟัง“สวัสดีค่ะ”

“คุณหญิงวารุณีใช่ไหม?”พยาบาลที่ปลายสายถาม

วารุณีพยักหน้า“ฉันเอง”

“คือแบบนี้ค่ะ การผ่าตัดของคุณโสรยาเสร็จแล้ว ย้ายจากโรงพยาบาลปกติกลับมาที่โรงพยาบาลของพวกเราแล้ว”พยาบาลพูด

วารุณีเสยผม“ฉันเข้าใจแล้ว ตอนนี้เธอเป็นไงบ้างคะ?”

“เธอยังไม่ฟื้นค่ะ”พยาบาลตอบ

วารุณีตอบอือ“ฉันเข้าใจแล้ว งั้นเธอก็รบกวนคุณดูแลด้วยนะคะ”

“วางใจเถอะคุณหญิงวารุณี”

โทรศัพท์เสร็จ

วารุณีวางโทรศัพท์ลง

ประตูรถเปิดออก นัทธีเข้ามาจากด้านนอก“สายของใคร?”

“โรงพยาบาลจิตเวชค่ะ พิชญาเพิ่งผ่าตัดทำแท้งที่โรงพยาบาลปกติเสร็จ ถูกรับกลับไปที่โรงพยาบาลจิตเวชแล้ว ดังนั้นทางโรงพยาบาลจิตเวชเลยตั้งมาเตือนฉันค่ะ”วารุณีเอาโทรศัพท์เก็บใส่ในกระเป๋า“ประชุมเสร็จแล้วเหรอ?”

“อือ แต่พรุ่งนี้ยังต้องไปประชุมที่อิตาลี”นัทธีพยักหน้าตอบกลับ

วารุณีถอนหายใจ“ลำบากแล้วจริงๆ”

นัทธียิ้ม“โอเค พวกเรากลับไปเถอะ”

“อือ”วารุณีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

คืนนั้นคฤหาสน์ครึกครื้นมาก เพราะว่าสี่คนพ่อแม่ลูกรวมตัวพร้อมหน้ากัน บวกกับศรัณย์กับเชอรีนด้วยแล้ว จะไม่ครึกครื้นได้ไง

แต่วันถัดมา คฤหาสน์ก็เริ่มกลับไปเป็นเหมือนเดิม

นัทธีไปอิตาลีแล้ว ศรัณย์ก็ไปแล้ว นิทรรศการศิลปะที่นี่เสร็จสิ้นแล้ว ก็ต้องตามกลุ่มจิตรกรรมไปงานนิทรรศการของประเทศต่อไป

ดังนั้นที่คฤหาสน์ ก็ไม่ใช่ว่ากลับไปเป็นสภาพแบบปกติ แต่ก็ไม่ถือว่าเงียบเชียบเหรอ?

วันนี้ วารุณีเข็นไอริณ จูงอารัณไปสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้คฤหาสน์ หลักๆก็เพื่อพาลูกทั้งสองคนไปเดินตากลมเล่น

ช่วงนี้ ไอริณเอาแต่นอนอยู่บนเตียง จึงอุดอู้ไปหมด ออกมาได้ ก็ดีใจมาก

วารุณีพาเด็กทั้งสองคนไปเดินที่สวนสาธารณะ ก็เหนื่อยเล็กน้อย

ไอริณเห็นเรือหงส์อยู่ในทะเลสาบข้างหน้า ก็อยากไปมาก

ที่จริงวารุณีไม่อยากให้เธอไป แต่มองสภาพน่าสงสารของเธอแล้ว ก็ยอม ให้อารัณพาเธอไป

ตอนนี้ไอริณลงจากพื้นแล้วเดินได้แล้ว ก็แค่เดินได้ไม่นานนัก

แต่ทิ้งรถเข็นแล้วไปนั่งเรือเที่ยวทะเลสาบ ก็ได้อยู่

เด็กทั้งสองคนซื้อตั๋วแล้วขึ้นเรือ เรือเล็กก็ค่อยๆเข้าไปกลางทะเลสาบ

วารุณีนั่งอยู่ในศาลาริมฝั่ง จ้องมองไปที่เรือของลูกทั้งสองคนอย่างไม่วางตา

ทันใดนั้น ตาของเธอก็มืดลง มือสองข้างยื่นมาจากด้านหลัง ปิดตาของเธอไว้

“เดาสิว่าผมคือใคร!”เสียงทุ้มนั้น มาพร้อมกับความขี้เล่นดังขึ้นมา

วารุณีฟังออกว่าเจ้าของเสียงนี้คือใคร ตัวแข็งทื่อทันที“นิ รุตติ์!”

“โอ้โห เดาได้ไวขนาดนี้ ดูเหมือนว่าในใจของวารุณีจะมีผมนะ”นิรุตติ์เอามือออกไป

หลังจากดวงตาของวารุณีคืนกลับไปดังเดิม ก็ยืนขึ้นทันที อยู่ห่างเขาไม่กี่ก้าวจึงหยุดลง จากนั้นมองเขาอย่างระวัง“คุณอยู่นี่ได้ไง?”

นี่เป็นสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้ๆคฤหาสน์นะ

เขาปรากฏตัวที่นี่ ไม่กลัวถูกคนของนัทธีจับเหรอ?

นิรุตติ์ยิ้มแล้วก็นั่งลงตรงที่เธอเพิ่งนั่ง“ผมคิดถึงคุณ ดังนั้นเลยมาดูคุณ”

วารุณียิ้มอย่างเย็นชา“พูดมากให้มันน้อยๆหน่อย ฉันไม่เชื่อเลยว่าคุณไม่มีจุดประสงค์”

นิรุตติ์ถอนหายใจ“ผมพูดจริงๆ วารุณี ผมคิดคุณมาก ทำไมคุณไม่เชื่อล่ะ”

“น่าเบื่อ!”วารุณีหรี่ตาลง หันกลับออกไป

นิรุตติ์เรียกเธอไว้“วารุณี ผมเพิ่งมาคุณก็จะไปเลย ทำร้ายหัวใจผมมากไปแล้วนะ นั่งอยู่คุยกับผมหน่อยไม่ได้เหรอ?”

ฝีเท้าวารุณีหยุดลง“ฉันกับคุณไม่มีอะไรต้องคุย”

“อ้อ?”มุมปากของนิรุตติ์ยกขึ้น“คุณดูกลางทะเลสาบสิ ตอนนี้ยังจะบอกว่าไม่มีอะไรจะคุยกับผมอีกเหรอ?