บทที่ 545 ความจนปัญญาขององค์รัชทายาท

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 545 ความจนปัญญาขององค์รัชทายาท

บทที่ 545 ความจนปัญญาขององค์รัชทายาท

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลินซือตื่นนอนด้วยอาการสะลึมสะลือ ครั้นพบว่ายังเช้าอยู่ จึงตั้งใจจะนอนต่ออีกครู่หนึ่ง

ใครจะรู้เล่าว่าจู่ ๆ จะได้กลิ่นหอมอันอบอวลลอยมาเป็นระลอก ตามมาด้วยเสียงท้องร้องดังโครกครากของหลินซือ เฮ้อ ช่วยไม่ได้นางต้องลุกจากเตียงแล้ว

ครั้นเดินมาถึงห้องครัว ก็เห็นเงาร่างอันคุ้นเคยกำลังวุ่นวายอยู่ข้างใน “พี่อาเถิง? ทำไมท่านถึงมาทำอาหารอยู่ที่นี่?”

หลินซือเดินเข้าไปพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย

เจี่ยงเถิงได้ยินคำถามของหลินซือก็พลันหมุนตัว จากนั้นก็ลูบศีรษะของหลินซืออย่างอ่อนโยนพลางกล่าวว่า “เจ้าหมูน้อยจอมขี้เกียจ เหตุใดวันนี้ถึงตื่นเช้านักล่ะ? การเดินทางคราวนี้ข้าอยากจะพาพ่อครัวมาด้วยแต่ก็ลำบากเกินไป อีกประเดี๋ยวพวกชาวบ้านก็ไปลงนากันแล้ว ทันทีที่พวกเจ้าตื่นนอนต้องหิวเป็นแน่ ข้าจึงลุกมาทำอาหารเอง”

“พี่อาเถิง ท่านชักจะเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมเกินไปแล้ว! คนที่แต่งงานเข้าไปเป็นสะใภ้ตระกูลของพี่ไม่รู้ว่าต้องทำบุญมาแล้วกี่ชาติ! ท่านดูสิ ท่านเก่งทั้งด้านวรยุทธ์ ทั้งการเป็นขุนนางฝ่ายดูแลเรื่องเกลือ หน้าตาก็ดี ทำอาหารก็ได้ เกรงว่าสตรีเหล่านั้นล้วนแต่ต้องต่อแถวอยากได้พี่เป็นแน่!”

หลินซือยิ้มอย่างมีความสุข พลางพูดหยอกเย้า

การกระทำของเจี่ยงเถิงพลันหยุดชะงักลง จากนั้นก็หันมามองหลินซือด้วยสีหน้าจริงจังพลางถามอย่างคาดคั้น “แล้วเจ้าล่ะ? อาซือคิดว่าอย่างไร?”

หลินซือตื่นตกใจกับปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปฉับพลันของเจี่ยงเถิง จึงเงียบโดยไม่พูดสิ่งใด ไม่นานก็เอ่ยปาก “พี่อาเถิง…พี่เป็นอะไร? ทำไมถึงถามเช่นนี้? ข้าเห็นพี่เป็นพี่ชายคนหนึ่ง ข้าไม่ชอบการหยอกเย้าเช่นนี้เลย”

หลินซือหน้าแดงและเมินหน้าไปทางอื่น นางรู้ว่าตัวเองพูดจาไร้สาระ ก่อนหน้านั้นนานมาแล้วนางก็ได้ค้นพบว่าเจี่ยงเถิงปฏิบัติต่อนางกับหลินจื้อต่างกัน

แต่ดูเหมือนตัวนางเองจะไม่ได้ชอบเขา…

อีกอย่าง ตัวเองและเขาก็เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก คนอื่นต่างคิดว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ในรูปแบบพี่น้อง ถ้าจะบอกว่าชอบ คงจะน่าขันสำหรับผู้อื่นกระมัง?

แม้ว่าเจี่ยงเถิงจะคาดเดาปฏิกิริยาของนางได้ แต่กลับอยากลองหยั่งเชิงอย่างอดไม่ได้ เด็กหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองทำเกินไป เขาจึงได้เพียงหลุดหัวเราะออกมา “อาซือนี่หลอกง่ายจริงเชียว! ข้าล้อเจ้าเล่น ข้าก็ต้องหาหญิงสาวที่อ่อนโยน ฉลาดและดูแลเอาใจใส่มากกว่าเจ้ามาเป็นภรรยาอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าก็อย่าไปรังแกนางก็แล้วกัน!”

แต่ใต้หล้านี้ไฉนเลยจะมีหญิงสาวเช่นนั้น? ในใจของตน นางคือคนที่ดีที่สุด เจี่ยงเถิงได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ

หลินซือได้ยินเจี่ยงเถิงกล่าวเช่นนี้ ก็พาลโกรธ “น่ารังเกียจ! พี่อาเถิงคนบ้า! หึ! เจี่ยงเถิงคนบ้า! ข้าไม่อยากสนใจท่านแล้ว! ให้ท่านมาล้อข้าเล่นเช่นนี้!”

หลินซือใช้กำปั้นชกเข้าที่หน้าอกของเจี่ยงเถิง ราวกับได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างใหญ่หลวง

ครั้นได้ยินเจี่ยงเถิงพูดว่าจะหาหญิงสาวคนอื่น นางก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ในใจ หึงหวง แต่กลับไม่ได้แสดงออกมา ได้แต่นำความโกรธมาระบายใส่ตัวของเจี่ยงเถิง

ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่นั้น องค์รัชทายาทก็พาลู่เหยาเข้ามา

“พี่อาซือ ข้าหิวแล้ว ข้าหาพี่ทั่วทุกหนแห่ง หาเสียตั้งนาน ที่แท้พี่ก็อยู่ที่นี่เอง!” องค์รัชทายาทเข้าไปกอดขาของหลินซือ พลางบ่นอุบอิบ

หลินซือยิ้มแห้งพลางแกะมือขององค์รัชทายาทออก ถ้าองค์รัชทายาทไม่พูดว่าอยากได้ตนเป็นพระชายา เขาก็คงเหมือนกับเด็กทั่วไป การกระทำเช่นนี้กลับไม่ได้ดูน่าวิพากษ์วิจารณ์มากนัก

แต่องค์รัชทายาทสารภาพรักกับตนครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังแสดงความจริงใจ ให้ตัวเองต้องมองเขาเป็นบุรุษคนหนึ่ง

“องค์…คุณชายหิวแล้วหรือเจ้าคะ? ประเดี๋ยวอาหารก็เสร็จแล้ว คุณชายกับลู่เหยาไปนั่งรอที่โต๊ะเถอะ” หลินซือพูดพลางจูงมือขององค์รัชทายาทและลู่เหยาไปนั่งที่โต๊ะอาหาร

นับตั้งแต่ที่องค์รัชทายาทเข้ามา สีหน้าของเจี่ยงเถิงที่สดใสกลับกลายเป็นหม่นหม่องลงทันตา องค์รัชทายาทคนนี้! เรื่องรบกวนช่วงเวลาของตนและอาซือไม่ต้องกล่าวถึง ยังจะกินอาหารที่ตนทำอีก! มันชักจะเกินไปแล้ว

แต่สุดท้ายเขาก็คือองค์รัชทายาท เป็นว่าที่องค์จักรพรรดิแห่งต้าเยี่ยนในอนาคต ต่อให้ตัวเองไม่พอใจอย่างไรก็ทำอะไรที่มันเกินเลยไม่ได้ เจี่ยงเถิงได้แต่ยกอาหารเข้ามาจัดวางบนโต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พลางเอ่ยว่า “ยังขาดน้ำแกงอีกอย่าง พวกเจ้ากินกันก่อนเถอะ”

หลินซืออุทาน ไอหยา จากนั้นก็ลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า “ท่านพี่และพี่ไป๋ยังไม่ได้กิน แล้วก็ยังมีเหยาเอ้อหลางและซวีจ้าว เราไม่รอพวกเขาหน่อยหรือ?”

เจี่ยงเถิงตบไหล่ของหลินซือ บอกให้นางนั่งลงแล้วกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ของอาจื้อข้าทำส่วนของเขาและนำไปส่งที่ห้องของเขาหนึ่งชุดแล้ว ส่วนเหยาเอ้อหลางและซวีจ้าวเขาลุกขึ้นมาฝึกฝนวรยุทธ์ตั้งแต่ฟ้าเช้ามืด เจ้าคิดดูสิมีแต่เจ้า เจ้าแมลงจอมขี้เกียจ! รีบกินเร็วเข้า หยุดนึกถึงผู้อื่นได้แล้ว”

“อ่า? ข้าคิดว่าข้าตื่นเช้ามากแล้วนะ เหตุใดทุกคนถึงตื่นเช้ากว่าข้าอีก?” หลินซือซดโจ๊กหนึ่งคำ แต่ปากก็ยังมิวายบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์

องค์รัชทายาทมองดูพฤติกรรมที่สนิทสนมกันของทั้งสองคน ความหึงหวงสุมอยู่ในใจ

แต่เรื่องที่ตัวเองต้องทำในตอนนี้คือสร้างความเชื่อมั่นใจให้หลินซือ ไม่ให้นางระแวงตนมากเพียงนั้น

นี่คือเหตุผลที่ตัวเองต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตชาติ ‘ต่อให้อยากได้สิ่งของนั้นเพียงใด ก็ไม่ควรแสดงความปรารถนาของตัวเองออกมาเกินไป’

ก่อนหน้านั้นเป็นตัวเขาเองที่กระทำผิดพลาด มักจะคิดว่าหลินซือเป็นของตนเสมอ จนลืมไปว่านี่คือโลกที่เขาได้กลับมาเกิดใหม่ ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไป

หากตัวเองอยากได้ใจของนาง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องเริ่มใหม่ ก่อนหน้านั้นตัวเองบีบบังคับอีกฝ่ายเกินไป ทำให้หลินซือมีความระแวดระวังต่อตนเอง ตอนนี้ตัวเองรู้แล้ว ในเมื่อตนเป็นแค่เด็กน้อย มิสู้ใช้ความเป็นเด็กน้อยสร้างความเชื่อใจของหลินซือจะดีกว่า?

สาเหตุที่ต้องพาลู่เหยามาด้วย ก็เพราะอยากให้หลินซือระแวงตนน้อยลง ตัวเองกับลู่เหยาอายุใกล้เคียงกัน เด็กสองคนที่มีอายุเพียงแค่นี้ไม่ว่าจะทำอะไร คนอื่นไม่สามารถปฏิเสธได้

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ครั้นเห็นเจี่ยงเถิงและหลินซือสนิทสนมกันเช่นนั้น ตัวเองก็อดหึงหวงไม่ได้ ทำได้แค่ข่มความโกรธไว้

“พี่อาซือ ข้าอยากกินผักนั้น!” องค์รัชทายาทแกล้งทำเป็นพูดเสียงสดใส

ไฉนลู่เหยาจะไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้มาก่อน ในใจย่อมรู้ดีว่าเขาอยากได้รับความสนใจของหลินซือ ดูท่าองค์รัชทายาทจะชอบหลินซือมาก เพื่อนางสามารถวางศักดิ์ศรีของตัวเองลง

คิดได้เช่นนี้ ลู่เหยาก็รู้สึกผิดหวังในใจอย่างไม่มีเหตุผล

นางรู้ดีว่าตัวเองกับองค์รัชทายาทนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ตัวเองกลับยังเก็บจินตนาการอันงดงามนั้นไว้ ‘จะมีความเป็นไปได้ไหม ที่เขาจะคิดกับตนเช่นนั้นบ้าง?’

สำหรับตอนนี้ จินตนาการสุดท้ายก็เป็นเพียงจินตนาการ ตัวเองเหมือนดินเลนที่ตกตะกอน ส่วนองค์รัชทายาทก็เสมือนจันทราที่ส่องแสงเจิดจ้างดงามอยู่บนท้องนภา แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว จะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร

ครั้นหลินซือได้ยินองค์รัชทายาทเรียกตน เห็นสายตาที่ไร้เดียงสาของเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงคีบผักชิ้นหนึ่งวางลงในถ้วยของเขา

องค์รัชทายาทเห็นสายตาเคร่งขรึมของเจี่ยงเถิง ก็ยิ่งยืดอกแล้วกินผักในถ้วยต่อไป ไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าของลู่เหยาที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหดหู่ใจ พลางมองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

หลินซือนึกถึงสภาพร่างกายของไป๋หรูปิงขึ้นได้ จึงถามขึ้น “พี่อาเถิง ตอนที่ไปส่งอาหารวันนี้สภาพร่างกายของพี่ไป๋เป็นอย่างไรบ้าง? กินยาแล้วดีขึ้นบ้างหรือไม่?”

เจี่ยงเถิงยกน้ำแกงถ้วยสุดท้ายเข้ามา จากนั้นก็นั่งลงพลางเอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถอะ ที่แม่นางไป๋วิงเวียนศีรษะเมื่อวานเป็นเพราะอากาศในรถไม่ถ่ายเทจึงทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่เพียงพอ กินยาเข้าไปก็ดีขึ้นแล้ว ส่วนเรื่องความกลุ้มใจที่หมอพูดถึงนั้นคือปัญหาของหลินจื้อ”

หลินซือไม่เข้าใจ…