ถ้าหากสาวกของสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงโลก แล้วทำไมศิษย์ของลู่โจวถึงต้องถูกปฏิเสธด้วย?
โจวยู่ไคที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก “สำนักอเวจีเป็นสำนักฝ่ายอธรรม ท้ายที่สุดแล้ว…ทุกสิ่งที่สำนักฝ่ายอธรรมได้ทำก็จะถูกใช้ทั่วหล้า ท่านไม่กังวลเลยหรอว่าผู้คนจะปฏิเสธกับการเปลี่ยนแปลงนี้?”
“เจ้ากำลังจะบอกว่าตัวเองคิดถึงผู้คนด้วยอย่างงั้นเหรอ?”
ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ชนะก็จะมีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยความจริงนี้ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
แม้ว่าผู้ฝึกยุทธจะใช้พลังทั้งหมดกำจัดคนธรรมดาได้ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่อาจกำจัดคนธรรมดาได้ทั้งหมด ไม่ว่ายังไงผู้ฝึกยุทธก็ล้วนแต่เกิดมาจากคนธรรมดา ถ้าหากช่วงเวลาแห่งการกดขี่ยังคงดำเนินต่อไป ท้ายที่สุดแล้วก็จะมีผู้ที่กล้าพอที่จะลุกขึ้นยืน ลุกขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้แต่สัตว์ป่าเองก็ยังเข้าใจถึงกฎพื้นฐานของการอยู่รอด แน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงมนุษย์เลย มันเป็นบทเรียนที่มนุษย์ทุกช่วงเวลาได้เรียนรู้มันผ่านการนองเลือดมาหลายชั่วอายุคน
“ท่านจะรับประกันได้ยังไงว่ายู่เฉิงไห่จะไม่ทำร้ายคนธรรมดาน่ะ ผู้อาวุโสจี?”
มันเป็นความจริงที่ว่าไม่มีใครรับประกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ตราบใดที่มีสงคราม มันก็ย่อมที่จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่เสมอ แม้ว่าจะไม่อาจรับประกันได้ แต่การเปลี่ยนแปลงมันก็ควรค่าแก่การพิสูจน์อยู่ดี
ก่อนที่ลู่โจวจะตอบ หมิงซี่หยินก็ได้ตอบกลับมาซะก่อน “เจ้าน่ะมันไร้ยางอาย หม่าลู่ปิงได้ทำผิดต่อชาวเมืองและฟ้าดินไปแล้ว เจ้าในตอนนี้กำลังจะเมินเฉยมัน แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าไม่ได้เห็นแก่ตัวแบบเจ้า สิ่งที่เจ้าคิดก็เป็นเพียงแค่สันนิษฐานเท่านั้น เจ้าก็แค่ใช้เหตุผลที่เห็นแก่ตัวของเจ้าเพื่อบิดเบือนความถูกต้องก็เท่านั้น”
“…” โจวยู่ไคตอบโต้ไม่ได้
“นอกจากนี้ราชสำนักก็คอยรุกรานศาลาปีศาจลอยฟ้ามาโดยตลอด ท่านอาจารย์ของข้าได้เมตตาคนจากราชสำนักมากว่าหลายครั้งแล้ว เพราะงั้นการที่อาจารย์ข้าจะเปิดทางให้กับศิษย์พี่ใหญ่ของเขาก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่มากเกินไปเลย อย่าได้คิดว่าการเป็นประมุขของเจ้าจะทำให้ตัวเองมีสิทธิ์โต้วาทีกับอาจารย์ข้าได้ ถ้าหากอาจารย์ของข้าไม่ใช่คนที่มีศีลธรรมสูงส่ง เจ้าในตอนนี้ก็คงจะถูกฆ่าตายไปนานแล้ว”
“…”
โจวเหวินเหลียง หวังเจียงหราง และจางซงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ สั่นไปทั้งตัว คำพูดของหมิงซี่หยินได้ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัด การที่พวกวายร้ายจะมาพูดถึงเหตุผลและหลักศีลธรรมแบบนี้มันช่างเป็นตลกร้าย! แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยเพียงใดแต่พวกเขาก็ไม่อาจขัดขืนอะไรได้ ยังไงซะสิ่งที่ชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าพูดก็สมเหตุสมผลอยู่ดี ถ้าหากจีเทียนเด๋าต้องการที่จะจบปัญหา การจะฆ่าโจวยู่ไคที่อยู่ตามลำพังแบบนี้คงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
ตู๊ม!
เสียงระเบิดดังสนั่นได้ดังมาจากมณฑลหยานอีกครั้ง สุดท้ายแล้วม่านพลังของมณฑลหยานก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่มีอะไรปกป้องมณฑลหยานอีกต่อไป
เหล่าสาวกจากสำนักอเวจีนับหมื่นต่างก็บุกเข้าเมือง ผู้ฝึกยุทธที่คอยปกป้องเมืองต่างก็ถูกสังหารไปในทันที
ภายในเมืองเริ่มถูกฝุ่นควันครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ผู้คนต่างก็ถูกสังหารในทั่วทุกที่
สงครามเป็นสิ่งที่โหดร้ายเสมอมา
โจวยู่ไคที่เห็นแบบนั้นถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็หันไปมองโจวเหวินเหลียงก่อนจะถามออกมา “แล้วสถานศึกษาผืนฟ้าจะมาตอนไหน?”
โจวเหวินเหลียงรีบตอบ “ข้าได้ติดต่อกับพวกเขาไปแล้ว…แต่ดูเหมือนว่าประมุขของพวกเขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด ข้าเกรงว่าพวกเขาจะไม่มาพบข้า เพราะข้าเป็นเพียงผู้อาวุโสของสถานศึกษาไท่ชูเพียงเท่านั้น”
โจวยู่ไคได้พูดต่อ “สถานศึกษาผืนฟ้าเป็นพวกที่มีความภาคภูมิในในตัวเองสูงเป็นไหนๆ จนถึงตอนนี้เม้งหนานเฟ่ยคงจะเข้าร่วมการต่อสู้ไปแล้ว ในตอนที่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ข้าไม่คิดว่าเขาจะมาที่นี่แน่…ถ้าหากข้าจำไม่ผิดเจ้านั่นน่ะรีบไปเมืองมณฑลหยานเพื่อช่วยเหลือหม่าลู่ปิงไปนานแล้ว”
ทุกๆ คนต่างก็เหลือบมองไปยังการต่อสู้ที่ดุเดือดของมณฑลหยาน ถ้าหากไม่มีม่านพลัง พลังอวตาร ดาบพลังงาน และการโจมตีทั้งหลายก็ปรากฏขึ้นให้เห็นอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง
ในขณะเดียวกันรถม้าของสำนักอเวจีก็เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ที่รถม้ามีคนกว่าหลายสิบคนกำลังออกเคลื่อนไหว
“สาวกของสถานศึกษาผืนฟ้าไม่เห็นจะออกมา” หมิงซี่หยินกวาดตามองไปทั่ว “ดูเหมือนว่าครั้งนี้ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าจะชนะแล้วสินะ!”
ในตอนนี้โจวยู่ไคสับสน ตัวเขาไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวไปไหน แน่นอนว่าสาวกว่าพันคนเองก็ไม่กล้าขยับไปไหนเช่นกัน ใครกันจะอยากฆ่าตัวตายต่อหน้าผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบแบบลู่โจว?
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธชุดน้ำเงินก็ปรากฏตัวจากทางซ้ายมือ
“นั่นมันคนจากสถานศึกษาผืนฟ้าสินะ” หมิงซี่หยินพูด
“ข้าจะไปพบเขาเอง” โจวเหวินเหลียงเป็นผู้ที่อาสา ตัวเขาได้บินไปหาแขกผู้มาเยือนก่อนที่จะรีบทักทายอย่างเป็นมิตร “ข้าโจวเหวินเหลียง ข้าก็คือผู้อาวุโสคนที่สองแห่งสถานศึกษาไท่ชู ข้าขอทราบได้ไหมว่าท่านเป็นใครกัน?”
ผู้ฝึกยุทธชุดน้ำเงินตอบกลับ “ถ้างั้นเจ้าก็คือโจวเหวินเหลียงเองสินะ?”
“ถูกต้องแล้ว เป็นข้าเอง”
“เสียเวลาซะจริง!”
โจวเหวินเหลียงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำด่านั่น มันเป็นมารยาททั่วไปที่จะไม่ว่าร้ายใครในระหว่างการต่อสู้ แม้ว่าสถานศึกษาไท่ชูจะตกอยู่ในสภาพที่อ่อนแอก็ตาม แต่การที่ถูกว่าร้ายแบบนั้นจะไม่ทำให้โจวเหวินเหลียงโกรธได้ยังไง? แต่น่าเสียดายที่ตัวเขาไม่อาจทำอะไรได้ ยังไงซะผู้ที่อ่อนแอก็มักจะถูกผู้ที่แข็งแกร่งกว่าข่มเหง ท้ายที่สุดแล้วโจวเหวินเหลียงก็พยายามจะกัดฟันก่อนที่จะถามกลับไปดีๆ “ประมุขเม้งอยู่ไหนกัน?”
ผู้ฝึกยุทธชุดน้ำเงินตรงหน้าได้ตอบกลับมาอย่างดูแคลน “นั่นไม่ใช่เรื่องอะไรของเจ้าที่จะต้องรู้ เจ้าคิดว่าสุนัขจรจัดอย่างเจ้าจะมีสิทธิ์พูดกับประมุขของพวกข้าได้อย่างงั้นเหรอ?”
โจวเหวินเหลียงตอบโต้ด้วยความโกรธกลับมา “ถ้าหากเจ้ามาที่นี่เพื่อเยาะเย้ยข้า เจ้าควรจะไปซะดีกว่า”
พรึ๊บ!..
ใครคนหนึ่งได้บินหาทั้งคู่จากทางด้านหลัง “เฮ้ จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”
ผู้ฝึกยุทธชุดน้ำเงินหันกลับมาถาม “แล้วเจ้าเป็นใครกัน?”
โจวเหวินเหลียงได้ชี้ไปทางใครคนนั้น “นี่คือศิษย์คนที่สี่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า”
ผู้ฝึกยุทธชุดน้ำเงินขมวดคิ้วก่อนที่จะตะโกนกลับมา “โจวเหวินเหลียง ในตอนนี้เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับพวกฝ่ายอธรรมอยู่อย่างงั้นสินะ!”
“ระวังคำพูดของเจ้าด้วย! เจ้ารู้รึเปล่าว่าการสมรู้ร่วมคิดมันหมายความว่าอะไร?” หมิงซี่หยินไม่พอใจกับคำพูดของผู้ฝึกยุทธชุดน้ำเงินเท่าไหร่
“นั่นไม่ได้เรียกว่าการสมรู้ร่วมคิดเหรอไงกัน?”
“อาจารย์ของข้าในตอนนี้อยู่ที่ยอดเขานั่น เขาได้เชิญประมุขแห่งสถานศึกษาทั้งสองก็เพื่อที่จะชื่นชมทัศนียภาพรวมไปถึงพูดคุยหารือ แบบนั้นมันจะไปเรียกสมรู้ร่วมคิดได้ยังไงกัน? คำพูดของเจ้าทำให้ข้าไม่พอใจจริงๆ” หมิงซี่หยินพูดออกมา
“เจ้านี่มันบ้าไปแล้วเหรอ?” ผู้ฝึกยุทธชุดน้ำเงินหันไปมองหมิงซี่หยินอย่างงุนงง
โจวเหวินเหลียงส่ายหัว
ในตอนนั้นเองเสียงอันสง่างามก็ได้ดังมาจากด้านหลัง “หมิงซี่หยิน”
หมิงซี่หยินรีบโค้งคำนับ “ครับ ท่านอาจารย์”
“ถ้าหากใช้เหตุผลไม่ได้ ก็ฆ่ามันซะ”
“…” ในตอนที่ผู้ฝึกยุทธชุดน้ำเงินได้ยินเสียงอันสง่างาม ในตอนนั้นตัวเขาก็กำลังจะระบายความโกรธเคืองกับหมิงซี่หยิน แต่หมิงซี่หยินได้เคลื่อนที่เข้ามาหาตัวเขาด้วยความเร็วสูงก่อน ความเร็วที่หมิงซี่หยินมีได้ทำให้ผู้ฝึกยุทธชุดน้ำเงินหนาวสั่นไปถึงกระดูก
ในมือของหมิงซี่หยินได้ส่องประกายอันเยือกเย็นออกมา
ซู่วว!
ผู้ฝึกยุทธชุดน้ำเงินสัมผัสได้ถึงอันตราย ในตอนนั้นเองตัวเขาก็เรียกพลังอวตารออกมา
“ช้าไป!” หมิงซ่หยินกู่ร้องออกมา ตัวเขาได้พุ่งผ่านผู้ฝึกยุทธชุดน้ำเงินเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว
โจวเหวินเหลียงที่เห็นแบบนั้นถึงกับกลืนน้ำลาย การต่อสู้ได้จบลงในตอนที่ยังไม่เริ่มซะด้วยซ้ำ ผู้ฝึกยุทธชุดน้ำเงินตรงนั้นไม่ได้อ่อนแอเลย แต่ถึงแบบนั้นเขากับถูกฆ่าตายในทันที? ศิษย์คนที่สี่ของศาลาปีศาจลอยฟ้าแท้จริงแล้วมีพลังมากขนาดไหนกัน?
ผู้ฝึกยุทธชุดน้ำเงินรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอก หน้าอกของเขาชุ่มไปด้วยเลือด ดวงตาของเขาเบิกกว้างก่อนที่จะมองไปยังโจวเหวินเหลียง “จะ…เจ้า…”
“อย่าได้โทษข้าเลย เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น”
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 1,000”
บนยอดเขา บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สาวกของสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่ต่างก็นิ่งเงียบ
ประมุขโจวยู่ไคยกมือขึ้นก่อนที่จะปาดเหงื่อบนใบหน้า
ลู่โจวพูดต่อ “ไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกกังวลไปประมุขโจว…ข้าเป็นคนที่มีเหตุผลเสมอ แต่การพยายามใช้เหตุผลกับคนที่ไร้เหตุผลมันจะเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ เจ้าเองก็เห็นด้วยสินะ?”
“ชะ…ใช่ ข้าเห็นด้วย” ประมุขโจวรู้สึกประหม่ามากขึ้น
หวางซื่อเจียปรบมือก่อนจะพูดต่อ “ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าท่านสี่จะเก่งกาจถึงเพียงนี้”
ลู่โจวส่ายหัวก่อนจะพูดต่อ “ไม่ใช่ว่าเขามีฝีมือหรอก เพียงแต่ว่าสาวกของสถานศึกษาผืนฟ้าอ่อนแอเกินไปต่างหาก” น้ำเสียงของลู่โจวฟังดูสบายๆ
หัวใจของทุกคนเต้นแรงเมื่อได้ยินคำพูดของลู่โจว ลู่โจวกำลังจะบอกว่าผู้ฝึกยุทธชุดน้ำเงินไม่สามารถโทษใครได้ สิ่งที่คนคนนั้นจะโทษได้มีเพียงความอ่อนแอของตัวเอง
“ในแง่ของพลังวรยุทธหมิงซี่หยินยังต้องฝึกฝนอีกมาก ดูนั่นซะสิ” ลู่โจวชี้ไปทางมณฑลหยาน
ในตอนนั้นเองกระบี่ก็ได้บินออกจากรถม้าสำนักอเวจี ทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยกระบี่พลังงาน ไม่นานนักทั่วทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยหยาดเลือด ใครก็ตามที่เข้าใกล้รถม้าลอยฟ้าต่างก็ถูกบดขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี
หวางซื่อเจียพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “นั่นมันพลังอนุสรณ์สวรรค์แห่งความมืดของเจ้าสำนักยู่ มันยังดูทรงพลังเช่นเคย แม้แต่ข้าก็ต้องยอมแพ้ให้กับความทรงพลังนั้น”
โจวยู่ไคมองไปที่หวางซื่อเจีย ในตอนนี้ตัวเขาดูมั่นใจน้อยลง “เจ้าเกาะหวาง ท่านเป็นถึงผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ และยังเป็นยอดฝีมือสูงสุดแห่งเกาะเผิงไหล ท่านยังมีร่มดำ สุดยอดอาวุธระดับโลก แต่ท่านคิดว่าตัวเองพ่ายแพ้ให้กับเจ้าสำนักยู่อย่างงั้นเหรอ?” ต่อหน้าลู่โจว โจวยู่ไคไม่กล้าที่จะใช้คำว่า ‘วายร้าย’ เรียกยู่เฉิงไห่
หวางซื่อเจียตอบกลับ “ประมุขโจว ท่านประเมินข้าสูงไปแล้ว ถ้าหากจะเทียบข้ากับเจ้าสำนักยู่ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการเทียบท่านกับสาวกของสถานศึกษาของตัวท่านเอง มันจะเป็นการดูถูกเจ้าสำนักยู่ได้นะ”
“…”
“และนั่นก็จะเป็นการดูถูกพี่จีเช่นกัน”
“…”