ตอนที่ 594 ตั๋วภาพยนตร์สองใบ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 594 ตั๋วภาพยนตร์สองใบ

หลินม่ายไม่รู้เลยว่าสมาชิกตระกูลโจวทะเลาะกันอย่างไรบ้าง

ต่อให้รู้ในภายหลัง เธอก็ไม่ถือสา

หลังจากเดินสายไปอวยพรวันปีใหม่ตามบ้านอื่น ๆ จนครบ หลินม่ายก็ตรงกลับบ้าน

พบว่าเฉินเฟิงและเคอจื่อฉิงต่างก็มารออยู่ก่อนแล้ว

เฉินเฟิงกับเคอจื่อฉิงนั่งอยู่ใกล้ชิดกันจนแทบจะสิงร่าง แต่สองมือก็ยังประสานกันแน่น

กลิ่นของความรักอบอวลอยู่ในอากาศ

หลินม่ายเหลือบมองสองมือที่เกี่ยวกระหวัดประสานกันแน่น แล้วถามเฉินเฟิงด้วยรอยยิ้ม “นายเพิ่งไปขอสาวแต่งงานมานี่ ผ่านด่านครอบครัวหล่อนหรือยังล่ะ?”

เฉินเฟิงยิ้มพลางพยักหน้า

หลินม่ายอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ “นายใช้วิธีไหนครอบครัวเธอถึงยอมรับกัน?”

เฉินเฟิงตอบกลับเพียงสองคำ “คุกเข่า”

เมื่อหลินม่ายได้ยินแบบนั้น เธอก็รู้สึกโล่งใจแทนเคอจื่อฉิง

เฉินเฟิงมีนิสัยดื้อรั้นไม่เคยยอมใคร แต่เขากลับเต็มใจที่คุกเข่าเพื่อขอเคอจื่อฉิงแต่งงาน นี่แสดงให้เห็นว่าเขาจริงจังกับหล่อนแค่ไหน

เคอจื่อฉิงเล่าให้หลินม่ายฟังอย่างเขินอาย ว่าหล่อนกับเฉินเฟิงวางแผนจะแต่งงานกันในวันแรงงานปีนี้

เคอจื่อฉิงดึงแขนหลินม่ายแกว่งไกวไปมา พูดอย่างมีความสุขว่า “พอพวกเราแต่งงานกันในวันแรงงานนี้ที่จะถึงแล้ว หลังจากนั้นก็ถึงคิวเธอกับหมอฟางบ้างแล้วล่ะ!”

หลินม่ายเงยหน้ามองฟางจั๋วหราน เห็นว่าเขาก็กำลังจ้องมองมาที่เธอเช่นเดียวกัน

หลังอาหารเย็น เฉินเฟิงพาเคอจื่อฉิงไปพักที่บ้านของเขา

ตอนแรกหลินม่ายคิดจะห้ามปรามเคอจื่อฉิง

ถึงยังไงทั้งสองก็ยังไม่ได้แต่งงานกัน ในฐานะที่หล่อนยังเป็นสาวโสด ไปนอนค้างอ้างแรมบ้านผู้ชายคงดูไม่ดีนัก

แต่พอมาคิดเรื่องนี้อีกที เธอรู้ว่าคนอย่างเฉินเฟิงไม่มีวันทอดทิ้งอีกฝ่ายอยู่แล้ว

พวกเขาต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันทั้งคู่ และไม่ใช่เรื่องไม่งามหากหล่อนจะไปพักบ้านผู้ชายที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานด้วย

ท้ายที่สุดจึงไม่มีใครขัดขวางเคอจื่อฉิง

ฟู่เฉียงรอให้เฉินเฟิงและเคอจื่อฉิงกลับไปก่อน จากนั้นจึงอธิบายจุดประสงค์ในการมาเยี่ยมของเขา

เขาไม่ได้แวะมาอวยพรปีใหม่แค่อย่างเดียว แต่ยังเอาเงินค่ารักษาพยาบาลที่หลินม่ายจ่ายให้พ่อแม่เขาก่อนหน้านี้มาคืนด้วย

หลินม่ายไม่ยอมรับเงินนั้นไว้ แต่บอกให้เขาเอาเงินจำนวนนั้นไปบริจาคให้กับครัวเรือนที่ยากจนรอบตัวเขา

จากนั้นฟู่เฉียงก็ถามด้วยความเคอะเขินว่าเธอพอจะมีหนังสือเกี่ยวกับการเพาะพันธุ์กระต่าย และการเลี้ยงกระต่ายเนื้อให้เขายืมไหม

หลินม่ายหน้าแดงทันที พูดด้วยความอับอาย “ก่อนที่เธอจะพาพ่อแม่ไปจากเจียงเฉิง ฉันเคยบอกให้เธอหาหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงและเพาะพันธุ์กระต่ายเนื้อก็จริง แต่ฉันคิดไม่ถึงว่าเมืองเจียงเฉิงที่ใหญ่โตจะไม่มีหนังสือที่ว่านั้นวางขาย ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะลองสอบถามดู แต่ก็งานยุ่งจนลืมไปซะสนิท คราวนี้ฉันสัญญาว่าจะช่วยหาซื้อหนังสือสอนการเลี้ยงและเพาะพันธุ์กระต่ายเนื้อมาให้ได้ก่อนเดือนมีนานะ”

ฟู่เฉียงพูดกลั้วหัวเราะ “ผมสร้างปัญหาให้คุณอาอีกแล้ว ถ้าหาซื้อไม่ได้จริง ๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ไปพลาง ๆ ก่อนได้”

ตั้งแต่วันที่สามถึงวันที่หกในช่วงวันหยุดปีใหม่ หลินม่ายก็เดินสายไปมอบของขวัญปีใหม่ให้กับผอ.เขตโอวหยาง ผู้อำนวยการหลิว ตลอดจนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ

นอกจากนี้เธอยังติดตามฟางจั๋วหรานไปอวยพรปีใหม่ให้กับเจ้าหน้าที่ราชการระดับสูงหลายคน เพื่อขยายเส้นสายด้านอาชีพการงานให้กว้างขวาง

และแล้ววันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ทั้งเจ็ดวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

โฆษณาเสื้อผ้าแบรนด์จิ่นซิ่วที่ออกอากาศทางช่อง CCTV ได้ผลตอบรับถล่มทลาย

ผลลัพธ์ก็คือยอดขายเสื้อผ้าจิ่นซิ่วทุบสถิติเพดานสูงสุดอีกครั้งตลอดช่วงวันหยุดยาวเจ็ดวัน

แม้แต่เครื่องประดับไป๋เหอซึ่งตอนนี้กลายเป็นแบรนด์เครื่องประดับระดับไฮเอนด์ก็พลอยมียอดขายสูงขึ้นเพราะได้รับอิทธิพลจากเสื้อผ้าจิ่นซิ่ว

ส่วนยอดขายอสังหาริมทรัพย์ หลังจากอาศัยการประชาสัมพันธ์ผ่านโฆษณาที่ออกอากาศอย่างต่อเนื่องทางสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น ยอดขายช่วงวันหยุดเจ็ดที่ผ่านมาก็เรียกได้ว่าเฟื่องฟูมาก ขายออกไปแล้วมากกว่าครึ่ง

ระหว่างการประชุมอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกหลังวันขึ้นปีใหม่ หลินม่ายได้มุ่งเน้นสอบถามเกี่ยวกับยอดขายอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก

เนื่องจากในบรรดากิจการทั้งหมดของเธอ มีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เท่านั้นที่เป็นสิ่งแปลกใหม่ ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับมันเป็นพิเศษ

เฉินเฟิงส่งต่อหน้าที่ให้โกวจื้อเฉียง หัวหน้าฝ่ายขายเป็นผู้รายงานต่อ เนื่องจากเขารู้เรื่องเกี่ยวกับการขายอสังหาริมทรัพย์ดีที่สุด

โกวจื้อเฉียงจัดทำตารางสถิติหลายตารางอย่างรอบคอบ เพื่อวิเคราะห์กลุ่มผู้ซื้อบ้านให้ครอบคลุม และสำรวจว่าคนประเภทไหนที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด

ในตารางสถิติของเขา ลูกค้าที่ซื้อห้องชุดแบบสองห้องนอนเกือบทั้งหมดต่างประกอบอาชีพอิสระ โดยเริ่มต้นธุรกิจหลังจากมีการปฏิรูปและเปิดประเทศ ส่วนใหญ่เป็นครัวเรือนที่มีเงินเก็บมากกว่าหมื่นหยวน

โกวจื้อเหลียงบอกว่า “ครัวเรือนที่มีเงินเก็บมากกว่าหมื่นหยวนแวะมาดูห้องตัวอย่างของจริงหลายราย แต่มีไม่ถึง 1 ใน 10 ที่สนใจซื้อบ้านจริง ๆ เนื่องจากห้องชุดของเรามีขนาดไม่ใหญ่พอ ตัวเลือกห้องชุดที่เรานำเสนอให้พวกเขาก็มีจำกัด พวกเขาต่างออกความเห็นว่าห้องชุดแบบสองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่นไม่เพียงพอ อยากให้ห้องชุดมีสามห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่นมากกว่า”

เขาหยุดชั่วคราว ก่อนจะพูดต่อ “ผมแนะนำว่าครั้งหน้าถ้าเราได้สร้างอาคารชุดแห่งใหม่ น่าจะต้องทำห้องชุดขนาดใหญ่แบบสามห้องนอนเป็นตัวเลือกเพิ่มแล้วล่ะครับ”

หลินม่ายพยักหน้า

แนวคิดของคนจีนส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นไปในทางเดียวกัน

บ้านคืออะไร? บ้านคือเครื่องมือแสดงความมั่งคั่งและความสำเร็จในชีวิต

ตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน ขอแค่เกิดในตระกูลชาวจีน ตราบใดที่มีเงินเก็บมากหน่อย สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำคือการสร้างหรือซื้อบ้าน

ขืนเช่าบ้านต่อไป อาจทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนตัวเองปราศจากถิ่นฐานรากเหง้า จะรู้สึกดีก็ต่อเมื่ออาศัยอยู่ในบ้านที่ได้มาเพราะน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง

ถึงแม้ในเจียงเฉิง การปฏิรูปและการเปิดประเทศจะใช้เวลาเพียงสองปีก็ตามแต่เจียงเฉิงก็เป็นเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จากจำนวนประชากรหกล้านคน ทุก ๆ หนึ่งร้อยคนจะมีครัวเรือนที่มีเงินเก็บมากกว่าหนึ่งหมื่นหยวน เพราะฉะนั้นจะมีอย่างต่ำหกหมื่นครัวเรือนที่เข้าข่ายดังกล่าว

ยิ่งไปกว่านั้น ในอนาคตจะมีครัวเรือนประเภทนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าครัวเรือนในสังคมจะพัฒนาไปเป็นครอบครัวขนาดใหญ่

ตารางสถิติอื่น ๆ ของโกวจื้อเหลียงแสดงให้เห็นว่าจำนวน 9 ใน 10 ของลูกค้าที่มาเยี่ยมชมห้องชุดต่างสนใจที่จะซื้อห้องขนาดเล็กแบบหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น

ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นครอบครัวชนชั้นแรงงาน และครอบครัวที่มีหน้าที่การงานดีอยู่แล้ว

แต่พวกเขายังต้องควักเงินออมจากคนทั้งสามรุ่น ไม่ว่าจะเป็นปู่ย่าตายาย พ่อแม่ และสองสามีภรรยาหนุ่มสาวเอง เพื่อซื้อบ้านแบบหนึ่งห้องนอนพร้อมห้องนั่งเล่นหนึ่งห้อง นอกจากนี้ยังขอหยิบยืมเงินจากญาติพี่น้องและผองเพื่อนอีกนิดหน่อย

หลินม่ายคิดกับตัวเอง ต่อให้ควักเงินออมจากสมาชิกครอบครัวทั้งสามรุ่นเพื่อซื้อบ้านหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น อย่างไรก็มีหนี้สินน้อยกว่าในอีกหลายทศวรรษให้หลัง

หลายทศวรรษต่อมา ต่อให้ควักเงินออมจากสมาชิกในครอบครัวทั้งหกรุ่น พวกเขาก็จ่ายได้แค่เงินดาวน์เท่านั้น แล้วเป็นหนี้ก้อนโตในระยะยาว ยากลำบากกว่าตอนนี้เยอะ

ตามสถิติของโกวจื้อเฉียงสรุปได้ว่า ห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่นขายดีที่สุดและเร็วที่สุด แสดงให้เห็นว่ามีผู้คนจำนวนมากที่ต้องการมัน แนวโน้มการขายห้องชุดขนาดเล็กจึงเป็นไปได้สวย

หลังจากโกวจื้อเฉียงรายงานความคืบหน้าในส่วนของเขาเสร็จ หลินม่ายก็ถามเฉินเฟิงว่าบ้านสำหรับอยู่เองและบ้านสำหรับปล่อยเช่าของคุณยายเถียนเสร็จหรือยัง

ทันทีที่มีการก่อสร้างอาคารชุดบนถนนชิงเหนียน หลินม่ายก็กำชับเรื่องนี้กับเขาเป็นพิเศษ

เฉินเฟิงพยักหน้า บอกว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว พร้อมย้ายเข้าและปล่อยเช่าได้ทุกเมื่อ

“ฉันจะพาคุณยายเถียนกับหลานชายย้ายมาอยู่ที่นั่นโดยเร็วที่สุด” หลินม่ายบอกเฉินเฟิง “คุณยายเถียนแก่มากแล้ว แถมยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ นายแต่งตั้งคนมาจัดการหาผู้เช่าบ้านอีกหลังหนึ่งของคุณยายเถียนหน่อยก็แล้วกัน”

เฉินเฟิงพยักหน้า

หลังจากนั้นหลายคนก็ผลัดกันรายงานผลการทำงานของตัวเอง

ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา จำนวนลูกค้าที่มาอุดหนุนร้านเป่าห่าวซือและร้านเหรินเจียนเยียนหั่วเรียกได้ว่าล้นหลาม เจิ้งซวี่ตงจึงเสนอว่าควรขยายสาขาเพิ่ม

หลินม่ายพยักหน้าเห็นด้วย

หลังจบการประชุม ทุกคนต่างพูดคุยและหัวเราะกันสนุกสนาน ในขณะที่วังเสี่ยวลี่ทำหน้าตาเป็นกังวลตลอดเวลา

เมื่อหลินม่ายเดินผ่านเธอ ก็สะกิดพลางพูดติดตลกว่า “ทำไมทำหน้าเบื่อโลกแบบนั้นล่ะ? แพ้การแข่งขันชิงอาหารช่วงปีใหม่เหรอ?”

วังเสี่ยวลี่อยากหัวเราะกับมุกตลกนั้นแต่ทำไม่ได้ หล่อนถอนหายใจแล้วตอบกลับ “ฉันซื้อห้องชุดในเขตชุมชนถนนชิงเหนียนแบบหนึ่งห้องนอนไว้แล้ว ตั้งใจว่าจะย้ายออกไปอยู่คนเดียว แต่พ่อกับแม่ยืนกรานจะให้ฉันยกบ้านให้พี่ชายแทน สองวันมานี้ฉันเลยค่อนข้างเครียดค่ะ…”

ในประเทศจีน ครอบครัวส่วนใหญ่ยังใช้แนวคิดแบบปิตาธิปไตย

ครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับลูกสาวทัดเทียมลูกชายนั้นมีน้อยมาก

พ่อแม่ต่างรีดไถลูกสาวเพื่อปรนเปรอลูกชายให้อยู่ดีกินดี ข่าวแบบนี้มีให้เห็นอยู่เนือง ๆ

หลินม่ายสะกิดวังเสี่ยวลี่อีกครั้ง “ทำตามที่หัวใจตัวเองเรียกร้องเถอะ ถ้าไม่อยากให้ก็ไม่ต้องให้ ร้ายแรงหน่อยก็ตัดการติดต่อกับครอบครัวซะ กว่าเธอจะซื้อบ้านได้ไม่ใช่เรื่องง่าย”

วังเสี่ยวลี่พยักหน้า

บางครั้งหลินม่ายก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าธรรมชาติของมนุษย์ช่างอ่อนไหวต่อเงินเหลือเกิน

เพื่อเงินทองแล้ว แม้แต่ญาติสนิทมิตรสหายก็สามารถหักหลังกันได้

เมื่อเห็นว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาใกล้จะเปิดเทอมแล้ว หลินม่ายก็นึกถึงเครื่องเขียนจำนวนมากที่เหมามาตั้งแต่ตอนทำเรื่องขอเช่าหน้าร้านบนถนนฮั่นเจิ้ง นอกจากเอามาแจกเป็นของขวัญแล้ว อีกส่วนหนึ่งตั้งใจว่าจะบริจาคให้กับเด็กยากไร้และเด็กพิการ แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ

หลินม่ายบอกให้เสิ่นเสี่ยวผิงดำเนินการบริจาคเครื่องเขียนเหล่านั้นก่อนเปิดเทอม

นอกจากนี้ เธอยังวางแผนว่าจะบริจาคข้าวสารถุงละห้าสิบชั่ง และน้ำมันพืชขวดละห้าลิตรให้เด็กยากไร้และเด็กพิการเหล่านั้น

ลำพังแค่เครื่องเขียนเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนั้นคงไม่เพียงพอ หลินม่ายจึงเพิ่มข้าวสารกับน้ำมันพืชเข้าไปด้วย หวังว่าสิ่งของเหล่านี้จะทำให้ครอบครัวของพวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

หลังจากมอบหมายงานให้เสิ่นเสี่ยวผิงแล้ว หลินม่ายก็ปั่นจักรยานไปที่ร้านเหรินเจียนเยียนหั่วสาขาใหม่

เสี่ยวหม่านโทรหาเธอตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่าอยากมอบตั๋วภาพยนตร์สองใบให้เธอ แต่มีข้อแม้ว่าต้องมารับด้วยตัวเอง

ตอนแรกหลินม่ายไม่อยากได้ด้วยซ้ำ แต่พอได้ยินว่ามันเป็นตั๋วภาพยนตร์เรื่อง ‘All The Wrong Spies’ จิตใจก็ถูกล่อลวงได้โดยง่าย

เธอไม่เคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อน รู้แค่ว่านางเอกของเรื่องคือหลินชิงเสีย ดาราในดวงใจ

เพื่อสนับสนุนผลงานของหลินชิงเสีย เธอถึงกับยอมปั่นจักรยานไปที่ร้านเหรินเจียนเยียนหั่วสาขาใหม่

ปรากฏว่าหลี่หมิงเฉิงกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ว่านฮุ่ยอยู่หน้าประตูร้านอาหารด้วยสีหน้าไม่รับแขก

เมื่อเห็นหลินม่ายผ่านมาทางนี้ ทั้งสองก็สะดุ้งโหยงพร้อมกับหยุดทำหน้าตึงใส่กัน

หลินม่ายเบี่ยงตัวลงจากจักรยาน ยังไม่ทันถามหลี่หมิงเฉิงว่าเกิดอะไรขึ้น เสี่ยวหม่านที่อยู่ในร้านเห็นว่าเธอมาแล้วก็รีบวิ่งออกไปพร้อมกับยื่นตั๋วภาพยนตร์ทั้งสองใบให้ ก่อนพูดด้วยความเสียใจ “ตอนแรกฉันซื้อตั๋วหนังสองใบนี้เพราะอยากชวนหลี่หมิงเฉิงไปดูหนัง แต่เขาไม่ยอมไปกับฉันท่าเดียว ก็เลยคิดว่าเอาให้พี่กับคุณหมอฟางไปดูด้วยกันสองคนดีกว่า”

ทันทีที่หล่อนพูดจบ หลี่หมิงเฉิงก็เดินเข้ามาหาพรวดเดียวในสามก้าว คว้าตั๋วภาพยนตร์ไปจากมือหลินม่าย “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันไปดูหนังกับเธอก็ได้”

จากนั้นเขาก็ไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของคนอื่น ๆ รีบรั้งร่างเสี่ยวหม่านมากอดไว้ในอ้อมแขนทันที แล้วหันไปพูดกับว่านฮุ่ยซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรว่า “หยุดตามตื๊อฉันสักที เห็นไหมว่าฉันมีแฟนแล้ว”

เสี่ยวหม่านเบิกบานใจจนแก้มปริ จ้องเขม็งมองว่านฮุ่ยอย่างไม่ไว้หน้า “ถ้ายังกล้ามารบกวนแฟนฉันอีก แม่จะตบให้คว่ำ”

ว่านฮุ่ยจึงวิ่งหนีไปด้วยความลำบากใจ

หลินม่ายถามหลี่หมิงเฉิงทันควัน “เรื่องนายกับว่านฮุ่ยนี่มันยังไงกันแน่?”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ถ้าให้เดาก็คือยัยว่านฮุ่ยได้ยินว่าหมิงเฉิงมีบ้านของตัวเอง เลยมาขอเกาะ

ไหหม่า(海馬)