บทที่ 547 ผู้มีพระคุณช่วยชีวิต
บทที่ 547 ผู้มีพระคุณช่วยชีวิต
“ซวีจ้าว แล้วเจ้ามีสตรีที่ชมชอบบ้างแล้วหรือไม่? หรือมีสตรีนางไหนมาชมชอบเจ้าบ้างหรือไม่? เจ้าดูสิเจ้าก็หน้าดีอยู่นะ วรยุทธ์ก็เก่งกาจต้องมีหญิงสาวมากมายมาตามตื๊อเจ้าแน่?”
เหยาเอ้อหลางถามด้วยรอยยิ้ม
ซวีจ้าวโบกมือไปมา แล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ซวีจ้าวไม่มีสตรีที่ชอบ นานมาแล้วเมื่อครั้งที่ข้าไปทำสงครามที่ซีเป่ย ได้เจอกับแม่นางผู้หนึ่งเรียกได้ว่าเป็นรักแรกพบของข้า แต่ตอนนั้นข้าคำนึงแต่เรื่องปกป้องบ้านเมือง เรื่องรักใคร่ไม่เคยนึกถึง รอจนเสร็จสิ้นสงคราม แม่นางผู้นั้นก็จากไปแล้ว”
เหยาเอ้อหลางตื่นตกใจ เขาเคยไปทำสงครามในซีเป่ยด้วยหรือ?! เขาจำได้ว่าหลายปีก่อน อนารยชนในซีเป่ยได้บุกรุกเข้ามา องค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งให้ทหารเคลื่อนทัพไปปราบปราม สถานที่แห่งนั้นง่ายต่อการป้องกันแต่โจมตียาก ดังนั้นสงครามในครานั้นจึงค่อนข้างลำบากและยืดเยื้อ
ตอนนั้นเหยาเอ้อหลางพาคนฝ่าทะลวงศัตรูจากด้านหลัง ใครจะรู้เล่านั้นในนั้นจะเป็นกับดัก ภายใต้ความจนปัญญาจึงทำได้แค่หยุดแผนการเดิม แล้วหนีเข้าป่าลึก
แต่สิ่งที่แย่กว่านั้นคือ ระหว่างที่เหยาเอ้อหลางกำลังหนีการไล่ล่านั้น บังเอิญไปเจอกับงูพิษเข้า
ถ้าวันปกติไฉนเลยจะกลัวงูน้อยตัวแค่นี้ แต่วันนั้นเขาและศัตรูต้องสู้รบกันเป็นเวลานาน เรี่ยวแรงย่อมอ่อนกำลังลงสุดท้ายก็ถูกงูตัวนั้นกัดจนได้
เหยาเอ้อหลางคิดว่าตัวเองต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย จึงใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายคลานมายังข้างต้นไม้ ครุ่นคิดว่ายังมีความปรารถนาไหนบ้างที่ยังไม่สำเร็จ
กระทั่งเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็อยู่ในค่ายทหารของตัวเองแล้ว
ทหารบอกเขาว่า มีทหารอีกคนพาตัวเขากลับมา หมอทหารยังบอกอีกว่าโชคดีที่ทหารคนนั้นรู้เรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ช่วยจัดการได้ทันท่วงที มิเช่นนั้นหากพิษงูเข้าสู่กระแสเลือดลึกกว่านี้ แม้แต่หมอหัวตั๋ว[1] ก็ไม่สามารถดึงชีวิตกลับมาได้
หลายปีมานี้เขาเฝ้าตามหาที่อยู่ของทหารคนนั้นมาโดยตลอด จากคำให้การของทหารบอกว่าทหารคนนั้นมีรอยแผลเป็นบนมือ แต่หลังจากที่ตามหาอยู่เนิ่นนานก็ไม่ได้ความคืบหน้าแต่อย่างใด
วันนี้ครั้นได้ยินซวีจ้าวกล่าวเช่นนี้ เขาเองก็เข้าร่วมในสงครามครานั้นจึงเกิดความอยากรู้บางอย่าง
“ซวีจ้าว ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้ายังจำสงครามในซีเป่ยได้ไหมว่ามีสถานที่ไหนที่ลืมไม่ลงบ้าง? อย่างเช่นเจอใครที่พิเศษหรือเหตุการณ์อะไรที่น่าจดจำบ้างไหม?”
เหยาเอ้อหลางถามเกริ่นนำ
ซวีจ้าวเอียงคอแล้วครุ่นคิดอยู่นาน “สงครามในซีเป่ย เป็นสงครามที่ยากลำบากมาก! ทหารจำนวนมากต้องอดหลับอดนอนติดต่อกันหลายวัน บาดเจ็บ และล้มตาย คนที่พิเศษ …ดูเหมือนจะมีคนหนึ่ง คนผู้นั้นใส่หน้ากาก และโดนงูกัด โชคดีที่วันนั้นข้าบังเอิญไปเจอเขาเลยช่วยชีวิตกลับมาได้ มิเช่นนั้นเขาคงนอนตายอยู่ในป่าลึกเพียงลำพังไปแล้ว”
เหยาเอ้อหลางมองซวีจ้าวที่อยู่ตรงหน้า ด้วยความตื่นตระหนก เขาคือคนที่มีพระคุณช่วยชีวิตเขาไว้! วันนั้นเพื่อปิดบังอำพรางศัตรู จึงจำต้องใส่หน้ากาก
เขาคว้ามือของซวีจ้าวมาดู มีรอยแผลเป็นอย่างที่คาดคิดไว้จริง ๆ! ครั้นเป็นเช่นนี้ เรื่องทั้งหมดก็เป็นไปตามที่สันนิษฐานเอาไว้
“ที่แท้ก็เจ้านี่เอง! ข้าตามหาเจ้า….ตามหามานานมาก ถ้ารู้ว่าเจ้าคือผู้มีพระคุณของข้า ข้าคงไม่มอมสุราเจ้าหรอก” เหยาเอ้อหลางพูดอย่างละอายแก่ใจ
เดิมทีซวีจ้าวไม่ได้ฟังเขา ทั้งยังหัวเราะพลางพูดว่า “ชู่! เรื่องที่ข้าพูดล้วนเป็นความลับ! ท่านพ่อคิดว่าข้าไปเยี่ยมญาติ ความจริงแล้วข้าไปทำสงคราม นอกจากเจ้าแล้ว ข้าไม่ได้บอกใครทั้งนั้น!”
เหยาเอ้อหลางมองซวีจ้าวที่หน้าแดงก่ำอยู่ตรงหน้า กระทั่งมีบางอย่างที่ค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่พวกเขาต่างไม่รู้ โชคชะตาจะพาพวกเขาไปที่ใด…
อีกด้านหนึ่ง
เจี่ยงเถิงกระซิบข้างหูของหลินซือ “ข้าได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าภูเขาในละแวกนี้มีผลไม้ที่อร่อยมากมาย เจ้าอยากไปลองหรือไม่?”
หลินซือผู้ชอบกินเป็นที่สุด ครั้นได้ยินเช่นนี้จะนั่งติดอยู่อีกหรือ นางเอ่ยกระซิบด้วยความตื่นเต้น “เอาสิ! พี่อาเถิง เช่นนั้นเราไปกันตอนนี้เลย! ให้พวกเขารอเราอยู่ในเรือ ไว้ข้าค่อยขนผลไม้อร่อย ๆ กลับมาให้พวกเขา!”
องค์รัชทายาทได้ยินว่าหลินซือและเจี่ยงเถิงจะออกไปเพียงลำพัง ไฉนเล่าจะยอม จึงเข้ามารบเร้า “พี่อาซือ ข้าอยากไปด้วย! พี่อาซือพาข้าไปด้วยได้หรือไม่…”
ลู่เหยาที่นั่งอยู่ด้านหลังลุกขึ้นตาม ไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใดชั่วคราว ทำได้แค่ไม่พูดสิ่งใด
ไฉนเลยเจี่ยงเถิงจะยอมให้องค์รัชทายาททำลายโลกของตนและอาซือที่กว่าจะหาโอกาสได้นั้นยากแสนยาก จึงคว้ามือของหลินซือและพูดกับองค์รัชทายาทว่า “คุณชาย เส้นทางเดินเขาไม่สะดวกนัก ทั้งชันทั้งลื่นเกรงว่าคุณชายจะทนไม่ไหว ถ้าเกิดอันตรายขึ้นมาข้ากับอาซือคงรับผิดชอบไม่ไหว คุณชายรอเราอยู่ในเรือกับอาจือและคนอื่น ๆ ดีกว่าขอรับ”
องค์รัชทายาทมองไปยังทางขึ้นเขา แล้วมองกลับมายังส่วนสูงของตัวเอง จนมั่นใจว่าเขาเดินขึ้นเขาไม่ได้แน่ เขาโกรธตัวเองอีกครั้งที่ทำไมจะต้องกลับมาเกิดในร่างเด็กน้อยตัวกระเปี๊ยกแค่นี้ด้วย! ช่วยไม่ได้ เขาทำได้แค่ต้องปล่อยไป มองดูเจี่ยงเถิงและหลินซือเดินขึ้นเขาพลางพูดคุยอย่างสนุกสนาน
“พี่อาเถิง ท่านฟังสิ นั่นเสียงนกกาเหว่าใช่ไหม? กาเหว่า กาเหว่า!” หลินซือไม่ได้เดินขึ้นเขามานานมาแล้ว คราวแล้วที่แล้วก็ยังตื่นเต้นไม่หาย
เจี่ยงเถิงเดินอยู่ด้านหลังของหลินซือ เพราะกลัวว่านางจะไม่ทันระวังแล้วลื่นล้มเอา เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว หูของอาซือว่องไวมากทีเดียว เช่นนั้นข้าขอทดสอบเจ้า นี่คือดอกไม้อะไร?” เจี่ยงเถิงชี้ไปยังดอกไม้ดอกหนึ่งแล้วถามขึ้น
หลินซือหันไปมอง แล้วขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็มุ่ยปาก “นี่มัน…เหอะ! พี่อาเถิงรังแกข้า ข้าไม่ได้เดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระเหมือนกับพี่หรอกนะ ความรู้ข้าก็สู้พี่ไม่ได้ ข้าคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าพี่อาเถิงจะหัวเราะเยาะข้า!”
เจี่ยงเถิงยิ้มอย่างอ่อนโยน เด็กคนนี้เคยชินแต่กับการใช้กลอุบายนี้ เห็นได้ชัดว่าตัวเองตอบไม่ได้ เลยผลักความรับผิดชอบใส่เขา
“ก็ได้ ๆ ข้าผิดไปแล้ว ดอกไม้ชนิดนี้มีชื่อว่าดอกเอ้อเยว่หลาน[2] พวกมันดูไม่ค่อยสะดุดตานัก แต่ทุกต้นฤดูใบไม้ผลิพวกมันจะเบ่งบานอย่างเงียบ ๆ งดงามอยู่เงียบ ๆ ในมุมหนึ่งของป่า” เจี่ยงเถิงตั้งใจอธิบาย
หลินซือตั้งใจฟังคำอธิบายของเขา ก่อนจะมองซ้ายแลขวาแล้วพูดว่า “พี่อาเถิง ความหมายของดอกเอ้อเยว่หลานดอกนี้คืออะไร?”
เจี่ยงเถิงค่อยปัดหญ้าบนศีรษะของหลินซือออกอย่างแผ่วเบาพลางพูดว่า “ถ่อมตัวและเรียบง่าย ไม่โดดเด่นและเสียสละ นี่คงไม่ใช่คุณสมบัติที่เจ้าอยากเป็นหรอกกระมัง?”
หลินซือปรบมือ และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่เลย! ข้าหวังว่าต่อไปตัวเองจะกลายเป็นคนเช่นนี้ ถ่อมตัวและเรียบง่าย ไม่โดดเด่นและเสียสละ ท่านแม่สอนข้าเสมอ ถ้ามีความสามารถ พยายามช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากให้ได้มากที่สุด แบบนี้ถึงจะเรียกว่าเกิดมาไม่เสียชาติเกิด”
เจี่ยงเถิงมองดูหญิงสาวที่ดูใจดีและไร้เดียงสาตรงหน้า จู่ ๆ ก็รู้สึกว่านางเปล่งประกายยิ่งกว่าดวงตะวัน
นางมักเป็นเช่นนี้เสมอ อยากช่วยเหลือผู้อื่น ต่อให้ตัวเองจะลำบากเพียงใด นางก็ยอม
สตรีที่เรียบง่ายและไร้เดียงสาเช่นนี้ ตัวเองทนเห็นนางอยู่ในมุมมืดของโลกใบนี้ไม่ได้
ขอแค่ตัวเองอยู่ข้างกายนาง เขาจะขัดขวางความมืดมิดไว้ด้านหลัง เก็บไว้แค่โลกที่สดใสให้แก่นาง รักษาความไร้เดียงสาและเรียบง่ายนี้ให้นาง
…………………………………………………………………………………………………
[1] หมอหัวตั๋วหรือหมอฮูโต๋ เป็นหมอในชนบท มีตัวจริงในเรื่องสามก๊ก
[2] ดอกเอ้อเยว่หลาน คือดอก Chinese Violet Cress ดอกไม้ป่าพันธุ์หนึ่ง