ภาค 3 บทที่ 174 ความจริงใจที่บุกป่าฝ่าดงมา

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 ตอนที่ 174 ความจริงใจที่บุกป่าฝ่าดงมา

ราชวงศ์จิน

ชาวจิน

ยังเป็นคนใหญ่โตคนหนึ่งอีก

ในอดีตชาวจินกับต้าโจวเคยติดต่อกัน ทว่าตั้งแต่ครั้งนั้นที่ชาวจินบุกยึดเมืองไคเฟิงจับตัวฮ่องเต้ยามนั้นไปจนฮ่องเต้สวรรคตที่แคว้นจิน หลังจากนั้นจูซานแก้แค้นให้ฮ่องเต้ยิงศรดอกเดียวปลิดชีวิตองค์ชายที่ฮ่องเต้แคว้นจินโปรดปรานที่สุด สองแคว้นก็ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้ากันอีกต่อไป

ชาวจินปรากฎตัวตอนนี้ที่เมืองหลวง เป็นเรื่องที่ทำให้คนตกใจนักจริงๆ

แม้ยังไม่ถึงเที่ยงคืน ในห้องโถงฉับพลันก็ตกสู่ความเงียบ

ด้านในด้านนอกล้วนไม่มีเสียงกระโตกกระตากสักนิด มีเพียงควันขาวจากกระถางธูปหอมสำริดรูปดอกบัวที่วางอยู่บนโต๊ะลอยหมุนวนแลดูมีชีวิตชีวาอยู่บ้าง

บุรุษที่ยืนอยู่ด้านในโถงยิ้มแล้ว

“หากได้ใต้เท้าหวงแนะนำกับฝ่าบาท อวี้ฉือไห่ตายก็ไม่เสียดาย” เขาเอ่ย ค้อมกายคำนับอีกครั้ง “เป็นเกียรติที่ได้มา”

ใต้เท้าเฒ่าหวงยิ้ม เขียนอักษรสุดท้ายเสร็จ

“ได้ยินมาว่าใต้เท้าอวี้เขียนอักษรได้งามนัก” เขาเอ่ย

อวี้ฉือไห่ได้ยินเข้าก็ยิ้มเดินเข้าไป นั่งลงหน้าโต๊ะของใต้เท้าเฒ่าหวงอย่างนอบน้อม มองดูอักษรตัวใหญ่ที่เขียนเสร็จแล้วอย่างตั้งใจ

“ตัวอักษรของบัณฑิตหวงไม่ผิดจากชื่อเสียงจริงๆ” เขาเอ่ย “อักษรบรรจงแบบขุนนางนี่เขียนให้สวยชวนตะลึงเช่นนี้ได้ด้วย”

อักษรบรรจงแบบขุนนางเป็นสิ่งที่บัณฑิตทุกคนต้องร่ำเรียน รูปแบบอักษรที่ทุกคนล้วนเขียนได้ทั้งยังเขียนได้ไม่เลวเช่นนี้ถูกคนชมว่างามชวนตะลึง เห็นได้ว่าไม่ธรรมดาจริงๆ

หวงเฉิงยิ้ม รับผ้าเช็ดมือจากด้านข้าง

“ตอนนั้นข้าคัดลอกบันทึกพระจริยวัตรของฮ่องเต้เหรินเสี้ยวอยู่ห้าปี” เขาเอ่ย “ฮ่องเต้เหรินเสี้ยวเวลานั้นเคยตรัสว่าความสามารถอื่นข้าไม่มี ก็มีแค่ความซื่อตรงกับเขียนอักษรสวยนี่แหละ”

ได้ยินชื่อฮ่องเต้เหรินเสี้ยว อวี้ฉือไห่พลันหุบรอยยิ้มท่าทางจริงจังก้มหน้าทีหนึ่ง

“เรื่องฮ่องเต้เหรินเสี้ยวข้าก็โศกเศร้ายิ่งนัก” เขาเอ่ย

ฮ่องเต้เหรินเสี้ยวก็คือฮ่องเต้ที่ถูกจับตัวไปจนสวรรคตที่แคว้นจินเมื่อตอนนั้น พระอัยกาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

ในห้องตกสู่ความเงียบพักหนึ่งอีกครั้ง

หวงเฉิงเช็ดมือช้าๆ

“โศกเศร้า” เขาเอ่ย “ท่านรู้ว่าการมองคนใกล้ชิดเสียไปโศกเศร้าเท่าใดไหม?”

อวี้ฉือไห่สีหน้ายิ่งโศกเศร้า มองหวงเฉิงอย่างเวทนาอยู่บ้าง

ใต้เท้าหวงคนนี้ก็เพิ่งเสียคนใกล้ชิดที่สุดไปเช่นกัน

“ใต้เท้าหวง” เขาเอ่ย “ท่านรักษาตัวด้วย”

หวงเฉิงมองมาทางเขา ยิ้มๆ

“ไม่ ความหมายของข้าก็คือ ในฐานะบิดาเสียบุตรชายไปทั้งโศกเศร้าทั้งเจ็บปวด” เขาเอ่ย “แต่บุตรชายที่เสียบิดาไปโศกเศร้าก็โศกเศร้าอยู่ แต่ไม่เจ็บปวดปานนั้น”

อวี้ฉือไห่อึ้งไปนิดหนึ่ง หวงเฉิงคนนี้นิสัยเจ้าเล่ห์ละโมบชั่วร้ายทั้งยังเจ้าคิดเจ้าแค้น วันนี้เสียบุตรชายไป

คนมองดูแล้วยิ่งไม่ปกติแล้ว

หวงเฉิงโยนผ้าเช็ดมือไว้บนโต๊ะ

“ดูท่าใต้เท้าอวี้พักนี้ชีวิตความเป็นอยู่ไม่เลว ยังว่างวิ่งมาถึงเมืองหลวงของพวกเรา” เขาเอ่ย

อวี้ฉือไห่พลันหัวเราะขมขื่น

“ใต้เท้าหวง หากชีวิตพวกเราดี ข้าก็คงไม่ต้องเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเช่นนี้วิ่งมาถึงที่นี่แล้ว” เขาเอ่ย “ไม่ปิดบังท่าน ก่อนหน้าข้ามาในบ้านก็จัดงานศพเหมือนกัน”

“ก็อันตรายไม่มากนี่ ท่านก็ยังมาถึงที่นี่แล้ว” หวงเฉิงเอ่ย

อวี้ฉือไห่คำนับให้หวงเฉิงอีกครั้ง

“นี่ล้วนพึ่งใบบุญของใต้เท้าน้อยหวง ใต้เท้าน้อยหวงวาจาเอ่ยไปแล้ว สี่อาชายังยากตาม แม้คนไม่อยู่แล้ว เส้นสายที่เขาทิ้งไว้ก็ยังช่วยพวกเราอยู่ ไม่เช่นนั้นข้าก็มาไม่ได้จริงๆ แล้ว” เขาเอ่ยพลางยกมือเช็ดน้ำตา “น่าเสียดายแค่ไม่ได้พบใต้เท้าน้อยหวงเองสักครั้ง”

หวงเฉิงมองเขา

“ท่านกำลังข่มขู่ข้าหรือ?” เขาเอ่ย

อวี้ฉือไห่นั่งตัวตรงด้านหน้าโต๊ะ ค้อมกาย

“ไม่ ใต้เท้าหวง ข้ากำลังขอร้องท่าน” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ ยกศีรษะขึ้น “ชีวิตของพวกเราลำบากจริงๆ ตอนนี้กำลังจะเข้าฤดูหนาวแล้ว ก็เพราะเช่นนี้ถึงไม่อาจไม่มาชายแดนของท่านหยิบยืมข้าวสารเพื่อข้ามพ้นเหมันต์ ไม่ตั้งใจจุดสงครามจริงๆ นะ”

เมืองสองเมือง ประชาชนกี่ร้อยคนบาดเจ็บล้มตายถูกปล้นชิง บ้านกว่าครึ่งถูกเผาทำลาย สำหรับเขาแล้วคือการหยิบยืมข้าว

หวงเฉิงส่ายศีรษะ

“อนารยชนไร้ยางอายจริงๆ” เขาเอ่ย

“ใต้เท้าหวง พวกเรามาขอร้องท่านด้วยความจริงใจ อีกดี๋ยวก็จะเข้าฤดูหนาวแล้ว เฉิงกั๋วกงไล่สังหารพวกเราเช่นนี้ พวกเราอยู่ต่อไปไม่ได้จริงๆ” อวี้ฉือไห่หลุบตาลงเอ่ยเสียงขมขื่นแล้วเงยหน้าขึ้นอีกคร้ง “ข้าขอสงบศึกด้วยความจริงใจ เรื่องสองครั้งก่อนพวกเราชดใช้ให้ได้ ขอแค่สองแคว้นปรองดองกันใหม่อีกครั้ง”

ชดใช้รึ หวงเฉิงลูบเครายิ้มขึ้นมา

“เกรงก็แต่เฉิงกั๋วกงจะไม่ต้องการ” เขาเอ่ย

“เฉิงกั๋วกงอย่างไรก็เป็นแค่เฉิงกั๋วกง ใต้หล้าของต้าโจวนี้ไม่ใช่เป็นของฝ่าบาทหรอกหรือ?” อวี้ฉือไห่เอ่ย “ไม่ใช่พูดกันว่าฝ่าบาทเมตตาที่สุดรึ หรือฝ่าบาทไม่อยากให้บ้านเมืองสงบสุขประชาชนร่มเย็น อยากเห็นทุกคนทุกข์ทนทำสงคราม?”

หวงเฉินสีหน้าบึ้งตึง

“ฝ่าบาทของพวกเรา ผลัดถึงตาท่านคนตัวเล็กๆ ผู้นี้วิจารณ์ถูกผิดได้หรือ” เขาเอ่ยขึ้น

อวี้ฉือไห่ค้อมกายทันที

“ข้าผิดไปแล้ว” เขาเอ่ย

ในห้องเงียบไปพักหนึ่งอีกครั้ง ไกลออกไปมีเสียงกลองบอกเวลาดังมาเลือนราง

“พวกท่านอยากให้สองแคว้นกลับไปปรองดองอีกครั้งรึ?” หวงเฉิงเอ่ย

“แน่นอน” อวี้ฉือไห่เงยหน้าทันทีเอ่ยอย่างไม่ลังเลสักนิด กดมือขวาไว้ที่หน้าอก “พวกเราจริงใจ ขอร้องใต้เท้าหวงโปรดบอกฝ่าบาทด้วย”

“เรื่องนี้ข้าบอกต่อให้ก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือพวกท่านจะทำอย่างไร” หวงเฉิงเอ่ย

อวี้ฉือไห่บนหน้าเผยรอยยิ้ม

“พวกเราจะให้ฝ่าบาทได้เห็นความจริงใจ พวกเรายินดียกสองเมืองให้” เขาเอ่ย แล้วหยิบเอารายการของขวัญใบหนึ่งออกมาเลื่อนไปบนโต๊ะ “ส่วนพวกนี้คือความจริงใจที่พวกเรามอบให้ใต้เท้า ส่งไปที่จวนของท่านแล้ว”

หวงเฉิงมองยังไม่มองรายการขอบขวัญที่ส่งมา หยิบกาน้ำชาบนโต๊ะรินลงถ้วยชา

“ข้าแก่แล้ว สุราก็ดื่มไม่ได้ เนื้อก็กัดไม่ไหว ผ้าไหมก็ใส่ไม่ชิน เหยียบรองเท้าหนังก็ไม่ไหวแล้ว ข้าวของมีราคา เหล่านี้สำหรับข้าแล้วไม่มีความหมายอะไร” เขาเอ่ย

อวี้ฉือไห่หยิบรายการของขวัญอีกแผ่นหนึ่งส่งไปอีกครั้ง

“ใต้เท้าหวงคุณธรรมสูงส่งทุกคนล้วนรู้ เพียงแต่ควรคิดเพื่อลูกชายลูกสาวทั้งหลายบ้าง” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ “ใต้เท้าน้อยหวงไม่อยู่แล้ว ภรรยาและอนุของเขายังต้องใช้ชีวิตนะขอรับ”

ได้ยินคนเอ่ยถึงบุตรชาย สีหน้าของหวงเฉิงก็เศร้าสลดขึ้นหลายส่วน

“ก็มีลูกชายมีลูกสาวกันหมดแล้ว ล้วนเป็นลูกชายลูกสาวของคนอื่น” เขาเอ่ย “ศึกสงครามนับแต่โบราณมีสักกี่คนได้กลับมา”

อวี้ฉือไห่รีบค้อมกายไปข้างหน้าพยักหน้ารัว

“ใต้เท้าหวง เฉิงกั๋วกงเขาลูกชายภรรยาพร้อมหน้าทั้งยังปลอดภัย ไหนเลยจะรับรู้ความเจ็บปวดยามครอบครัวพลัดพรากแยกจากสองภพ” ในดวงตาเขาน้ำตาคลอเอ่ยขึ้น “แม่ทัพสร้างความชอบบนหมื่นโครงกระดูก เพื่อความดีความชอบของเขา เขาเหยียบย่ำบนโครงกระดูกลูกชายลูกสาวของต้าโจว ลูกชายลูกสาวของชาวจินเรา”

เขาเอ่ยพลางก้มตัวกับพื้นร่ำไห้โฮโฮขึ้นมา

“บุตรชายสามคนของข้านั้นล้วนเข้าสนามรบไปแล้ว ข้าตาเฒ่าคนนี้ชิงชังนักอยากไปแทนพวกเขาจริงๆ”

หวงเฉิงมองเขาอดทนไม่ไหวอยู่บ้าง

“ท่านฐานะเช่นนี้แล้วยังต้องส่งบุตรไปสนามรบอีกหรือ?” เขาเอ่ยถาม

“ต้าจินของพวกเราไหนเลยจะแผ่นดินกว้างขวาง ทรัพยากรสมบูรณ์ คนมากมายเช่นนี้อย่างต้าโจวของพวกท่าน วันนี้ถูกจูซานบีบบังคับ อย่าพูดถึงพวกเราเลย องค์ชายท่านอ๋องทั้งหลายล้วนไม่อาจไม่สวมชุดเกราะออกรบ” อวี้ฉือไห่เอ่ยขึ้นพลางยกมือเช็ดน้ำตา “ดาบหอกไร้ตา สนามรบชุลมุน ใครก็สนใจใครไม่ทัน มีองค์ชายหลายคนได้รับบาดเจ็บแล้ว พวกองค์ชายยังได้รับบาดเจ็บ พวกลูกชายชองข้า…”

เขาพูดพลางปิดหน้าก้มตัวลงกับพื้น

“ไม่รู้ว่าหลังข้ากลับไปครานี้จะยังได้พบพวกเขาหรือไม่”

หวงเฉิงสีหน้าสงสาร ยกมือส่งสัญญาณ

“ใต้เท้าอวี้ อย่าโศกเศร้าเลย” เขาเอ่ยกล่อม

กล่อมสองสามครั้ง อวี้ฉือไห่ถึงลุกขึ้น

“เสียกิริยาแล้ว ขายหน้าใต้เท้าหวงแล้ว” เขาปิดหน้าเอ่ย

หวงเฉิงรินชาให้เขาหนึ่งถ้วย ถือโอกาสวางรายการของขวัญไว้ด้านข้างแล้วดันถ้วยชาข้ามไป

“ล้วนเป็นพ่อแม่คน ข้าเข้าใจ” เขาถอนหายใจเอ่ย

อวี้ฉือไห่เอ่ยขอบคุณซ้ำๆ รับชาไปดื่มคำเดียวหมด

“พวกท่านอยากให้สองแคว้นปรองดองกันอีกครั้งจริงๆ รึ?” หวงเฉิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยถาม

อวี้ฉือไห่รีบร้อนวางถ้วยชาลง

“ใต้เท้า หากไม่ใช่เพื่อเรื่องนี้ ข้าใยต้องข้ามพันภูผาหมื่นธารามา” เขาเอ่ยทั้งจริงใจทั้งร้อนรน พลางหยิบเอกสารแผ่นหนึ่งออกมา “ท่านดู นี่เป็นจดหมายปิดผนึกจากฝ่าบาทของข้า…”

เขาจะส่งข้ามมา หวงเฉิงกลับไม่รับ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูความจริงใจของพวกท่านแล้ว” เขาเอ่ย

“ความจริงใจองพวกเราเมื่อครู่ก็บอกใต้เท้าแล้ว ยก…” อวี้ฉือไห่รีบร้อนเอ่ย

หวงเฉิงยกมือห้ามเขา

“นี่เป็นความจริงใจที่พวกท่านทำให้คนทั้งใต้หล้าเห็น ที่ข้าถามคือความจริงใจที่พวกท่านจะให้ฝ่าบาทเห็น” เขาเอ่ย

ความจริงใจที่จะให้ฝ่าบาทเห็น? ไม่เหมือนกับที่ให้คนทั้งใต้หล้าเห็นหรือ?

อวี้ฉือไห่อึ้งไปนิดๆ