บทที่ 552 หนู

บทที่ 552 หนู

ลู่เหยาใช้มือทั้งสองข้างกอดเสื้อคลุมไว้พลางพึมพำว่า “แต่ตัวข้า ไม่มีใครชอบข้า ท่านแม่ก็ไม่ชอบข้า ญาติในครอบครัวก็ไม่ชอบข้า ไม่มีใครสนใจข้าเลยสักคน”

องค์รัชทายาทมองลู่เหยา จู่ ๆ ก็รู้สึกปวดใจฉับพลัน เด็กคนนี้ไม่เคยได้รับความรักตั้งแต่เด็ก อยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด มิน่าเล่านางถึงได้ระแวงตนนัก

เพราะนางกลัวว่าตัวเองจะก้าวพลาดแล้วถูกผู้อื่นต่อว่า แม้นางจะทำดีแค่ไหน แต่ก็เป็นได้แค่คนนอกสายตาของทุกคน ถ้าเกิดพลาดจะได้รับคำตำหนิและการวิพากษ์วิจารณ์นับไม่ถ้วน

เขาลูบศีรษะของลู่เหยาอย่างแผ่วเบา และเอ่ยอย่างอ่อนโยน “มีสิ ต่อไปจะมีคนชอบเจ้า แต่ตอนนี้เขายังอยู่ระหว่างทาง เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจนักสิ ค่อยเป็นค่อยไป อีกไม่นานคนผู้นั้นจะปรากฏตัวเอง”

ลู่เหยาไม่เคยรู้สึกอบอุ่นเช่นนี้มาก่อน เขาคือคนที่ฟ้าประทานมาช่วยเหลือตนจริง ๆ ใช่หรือไม่? ทุกครั้งที่ลู่เหยาเกิดความสงสัยในตัวเอง ยามเสียใจและลำบากใจ เขาก็มักจะปรากฏตัวขึ้นข้างกายนางเสมอ และปลอบใจนางด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเช่นนี้

แต่คนที่เขาชอบคือพี่หลินซือ เขาไม่ได้ชอบนาง… ยิ่งไปกว่านั้นตัวเองเป็นแค่ลูกสาวพ่อค้า แต่เขาเป็นถึงองค์รัชทายาท สถานะที่แตกต่างกันเพียงนี้ถูกกำหนดไว้ว่าเขากับนางไม่อาจอยู่ด้วยกันได้

“คุณชาย ข้าขอถามคำถามคุณชายสักข้อได้หรือไม่เจ้าคะ?” ลู่เหยารวบรวมความกล้า และถามขึ้นเสียงเบา

องค์รัชทายาทพยักหน้า ส่งสัญญาณให้นางถาม

“เพราะเหตุใดคุณชายถึงชอบพี่หลินซือเจ้าคะ? การชมชอบคนผู้หนึ่ง มันต้องรู้สึกอย่างไร?” ลู่เหยาพูดจบก็รู้สึกเสียใจภายหลัง ตัวเองทำอะไรลงไป เหตุใดถึงได้ถามคำถามเช่นนี้กับเขา เขาจะต้องคิดว่าตัวเองได้คืบจะเอาศอกแน่นอน เขาให้ความเห็นอกเห็นใจเพียงเล็กน้อยกับนาง ตัวนางกลับคิดอยากตีสนิทกับเขา

แต่สิ่งที่ทำให้ลู่เหยาประหลาดใจคือ องค์รัชทายาทไม่ได้เยาะเย้ยนาง แต่กลับตอบคำถามของนางอย่างจริงจัง “ข้าเองก็ไม่รู้ นับตั้งแต่ที่ข้าจำความได้ ก็เหมือนจะชอบนางไปแล้ว พูดได้ว่า ข้ารู้สึกว่านางเป็นของข้า ไม่ว่าจะชาติที่แล้วหรือชาตินี้ ไม่ว่าสถานะของเราจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร นางก็ควรเป็นของข้าเพียงผู้เดียว สำหรับข้านี่คือโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้วกระมัง”

ครั้นองค์รัชทายาทพูดจบ มุมปากก็เหยียดยิ้ม แสดงสีหน้าเศร้าสลดอย่างที่ลู่เหยาไม่เคยเห็นมาก่อน ดูเหมือนเขากำลังเสียใจ แต่ก็ยังยืนหยัดต่อไป

“แต่ดูไปแล้วพี่หลินซือก็เหมือนจะมีคนที่ชมชอบอยู่แล้วนะเจ้าคะ?”

ลู่เหยายังคงถามต่ออย่างไม่กลัวตาย ถึงอย่างไรการถามมากไปก็ไม่สู้การถามให้จบในคราวเดียว

นัยน์ตาขององค์รัชทายาทเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันใด ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรง “แล้วอย่างไร นางยังเป็นของข้า เราค่อย ๆ ดูกันต่อไป ฉากที่แท้จริงยังไม่เริ่ม ถึงตอนนั้น อาซือจะรู้เองว่าใครที่คู่ควรกับนางโดยแท้จริง เจี่ยงเถิง เหอะ ไม่ใช่คู่ปรับของข้าหรอก”

ลู่เหยาคาดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะพูดเรื่องเหล่านี้กับตน ถึงกับตกใจจนต้องกลั้นหายใจเลยทีเดียว ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะดึงสติกลับมา และพูดว่า “คุณชาย ถ้าเลือกใหม่ได้ คุณชายจะเลือกตัวเองในตอนนี้ หรือคนที่พี่หลินซือชอบหรือเจ้าคะ?”

องค์รัชทายาทนิ่งงันไป เขาเป็นคนกลับชาติมาเกิดใหม่ คนที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง

เลือกกลับมาเกิดใหม่…ชาติที่แล้วเขาต้องต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ สุดท้ายต้องเดินมาถึงจุดจบที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังกับหลินซือ ชาตินี้ตัวเองได้เป็นองค์ชาย แต่หลินซือกลับรักคนอื่นไปแล้ว

ถ้าตัวเองเป็นเจี่ยงเถิง จะไม่มีวันพลาดช่วงเวลาที่จะได้อยู่ร่วมกับอาซือมากถึงเพียงนั้น จะไม่ให้ใครหน้าไหนมาใช้ข้ออ้างในเรื่องของอายุ ไม่ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อเอาชนะใจของอาซืออีก … แต่ใต้หล้านี้ ไม่ใช่ของตัวเอง

ถ้ากลายเป็นเจี่ยงเถิง ต้องพยายามอย่างหนักถึงจะสามารถเข้ารับตำแหน่งขุนนางฝ่ายดูแลเรื่องเกลือเล็ก ๆ นี้ได้ จัดการความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างซับซ้อนเหล่านั้น ต้องต่อสู้เป็นเวลายาวนานถึงจะมีคุณสมบัติมากพอที่จะสู่ขออาซือ มิเช่นนั้นถึงจะแต่งงานกันแล้วก็ไม่มีวันมีความสุข ไม่กล้าเงยหน้ามองใครไปชั่วชีวิต

ใช่น่ะสิ ระหว่างขุนนางเล็ก ๆ และองค์รัชทายาท ยังต้องเลือกอีกหรือ? ต่อไปทั้งใต้หล้านี้ก็ต้องตกเป็นของตน หลินซือก็เช่นกัน! ตอนนี้นางยังไม่ได้รับความลำบาก คิดว่าเจี่ยงเถิงคือคนในอนาคตของตัวเอง ถึงตอนนั้นนางจะรู้ว่าอำนาจในโลกใบนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถึงตอนนั้น นางต้องกลับมาเป็นพระชายาในองค์รัชทายาทอย่างว่าง่ายแน่นอน ไม่สิ ต้องได้เป็นฮองเฮาในใต้หล้านี้

“ไม่มีคำว่าถ้า ข้าเป็นองค์รัชทายาทแล้ว นี่คือเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่เรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้คือ การทำให้อาซือชอบข้า ไม่ใช่เอาแต่พร่ำเพ้อถึงภาพมายาเหล่านั้น เจ้าก็เหมือนกัน อย่าคิดว่าตัวเองจะเทียบผู้อื่นไม่ได้ เรื่องที่เจ้าต้องคิดไตร่ตรองคือ ทำอย่างไรถึงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียิ่งขึ้น” องค์รัชทายาทหักกิ่งไม้แก่ในมือ พลางพูดขึ้น

ลู่เหยาพยักหน้าเหมือนกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง รู้สึกว่าภาพลักษณ์ขององค์รัชทายาทนั้นสูงขึ้น

มิน่าเล่าเขาถึงได้ตำแหน่งองค์รัชทายาท เห็นได้ชัดว่าตัวเองและเขามีอายุแตกต่างกันไม่มากนัก แต่เขากลับคิดเรื่องที่ไกลมากถึงเพียงนั้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

โลกใบนี้ ไม่ยุติธรรมจริง ๆ!

ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนหลายเสียงดังขยายออกมาจากในป่าลึก เสียงนั้นคล้ายกับเสียงหมาป่า แววตาสีเขียวมรกตหลายคู่ได้ปรากฏท่ามกลางกองใบไม้ที่หนาแน่น แสงจันทร์สีขาวสาดส่องลงมายังต้นไม้ ดูมืดสลัวอึมครึมนัก

“คะ…คุณชาย ท่านได้ยินเสียงอะไรนั่นหรือไม่เจ้าคะ?” ทันทีที่ลู่เหยาได้ยินเสียงในป่าลึก ความกลัวก็ยิ่งทวีคูณ และนั่งคุดคู้ด้วยเนื้อตัวที่สั่นสะท้าน

องค์รัชทายาทใช้มือส่งสัญญาณให้เงียบ และกระซิบเบา ๆ ว่า “ชู่! นั่นหมาป่า ห้ามส่งเสียงเด็ดขาด เราอาจจะบุกรุกอาณาเขตของพวกมัน เจ้าอย่ากลัว จับมือข้าไว้ และเดินตามข้ามา เมื่อครู่ข้าเห็นแล้ว ถ้ำแห่งนี้ไม่ใช่ถ้ำปิดตาย เราเดินเข้าไปในถ้ำเรื่อย ๆ ก็พอ”

ลู่เหยาพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง แต่เพราะความกลัวที่มากเกินไปทำให้หยาดน้ำตาหลั่งรินออกมาเสียยกใหญ่ นางพยักหน้าและจับมือขององค์รัชทายาทไว้แน่น

องค์รัชทายาทรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ค่อนข้างชื้นแฉะบนมือ ครั้นหันกลับไปก็เห็นลู่เหยา เห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของนางด้วยความตื่นตกใจ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หยาดน้ำตาไหลรินอย่างไม่ขาดสาย

“อย่ากลัวไปเลย มีข้าอยู่ เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเป็นถึงว่าที่จักรพรรดิในอนาคตของต้าเยี่ยนเชียวนะ เจ้าคิดว่าข้าจะยอมตายง่าย ๆ หรือไร? ข้าไม่มีวันยอมตาย เจ้าก็ต้องไม่ตายด้วย เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” องค์รัชทายาทกุมมือของลู่เหยาไว้ พลางปลอบใจ

ลู่เหยาได้ยินเสียงปลอบใจของเขาก็เกิดความซาบซึ้งใจ ตั้งแต่เด็กจนโตล้วนไม่เคยมีประสบการณ์ที่อันตรายและคับขันเช่นนี้มาก่อน จึงตัวสั่นระริกไม่หยุด

องค์รัชทายาทลูบศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา และพูดว่า “เจ้าอย่าลืมสิ ข้ามีทักษะการต่อสู้ที่ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ด้านนี้โดยเฉพาะเลยนะ ปฏิกิริยาตอบสนองของเจ้าในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อใจข้า หมาป่าเพียงไม่กี่ตัว จัดการพวกมันไม่กี่นาทีหรอก! อีกอย่าง ตอนนี้เราก็ยังไม่ถูกเจอตัวเสียหน่อย อย่ากลัวไปเลย”

ทั้งสองคนยังคงเดินต่อไปข้างหน้า องค์รัชทายาทจุดคบเพลิงขนาดเล็กไว้ ถ้าไฟดับลงนั้นหมายความว่าไม่สามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้แล้ว ทั้งสองคนเงียบไม่มีใครพูดสิ่งใด มีแค่เสียงหยดน้ำที่ดังขยายออกมาจากในถ้ำตลอดเวลา

อีกด้านหนึ่ง

หลินซือกำลังนั่งกินขนมอยู่ข้างโต๊ะ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง จี๊ด ๆ ดังมาจากในมุมกำแพง นางหันไปมมอง และพบกับหนูสองตัว!

“กรี๊ด! ช่วยด้วย! พี่อาเถิง พี่อาเถิงมานี้เร็ว! ช่วยด้วย! มีหนูโผล่มา!” หลินซือวิ่งกะเผลกออกมาโดยไม่สนใจเท้าที่บาดเจ็บแต่อย่างใด

เดิมทีเจี่ยงเถิงกำลังปรึกษาหารือกับกู้อันผิงอยู่ ก็พลันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวกำลังวิ่งมาทางนี้ และเห็นหลินซือวิ่งหน้าตาตื่นด้วยความตกใจ ร้องห่มร้องไห้น้ำตาไหลไม่ขาดสาย

“เกิดอะไรขึ้น อาซือ เจ้าร้องไห้ทำไม? ไม่ร้องนะ ๆ ข้าอยู่นี้ ไม่ต้องกลัว เข้าใจไหม” เจี่ยงเถิงโอบกอดหลินซือ พร้อมกับลูบแผ่นหลังพลางพูดปลอบใจนางอย่างแผ่วเบา

ไฉนหลินซือจะนึกถึงกฎระเบียบอะไรนั่นได้ นางยื่นมือข้างหนึ่งออกไปกอดเจี่ยงเถิง และพูดสะอึกสะอื้น “ในนั้น มีหนู! โชคดีที่ข้าวิ่งเร็ว ไม่อย่างนั้นข้าต้องโดนหนูกัดแน่! ฮือ ฮือ… ข้าตกใจแทบแย่!”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

นับถือในความพยายามไม่ถอยในการชนะใจหลินซือขององค์รัชทายาทนะคะ แต่มีอย่างหนึ่งที่ต้องรู้ว่าอะไรที่มันไม่เป็นของเรามันก็ไม่มีทางเป็นของเราหรอกค่ะ คิดว่าถ้าได้อาซือไปครองแล้วนางจะมีความสุขหรือ? นิสัยอาซือรักอิสระแบบนี้คงไม่อยากอยู่เป็นนกในกรงทองของใครหรอก

ไหหม่า(海馬)