ตอนที่ 560 คนที่โยนหม้อก้นดำออกไป สุดท้ายต้องกลับมาแบกมันเองเสมอ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 560 คนที่โยนหม้อก้นดำออกไป สุดท้ายต้องกลับมาแบกมันเองเสมอ

เพราะข้า ? เหตุใดข้าจึงไม่รู้มาก่อน ? หลินเว่ยเว่ยหันไปมองบัณฑิตน้อย…เอาเถิด นางเองก็เคยโยนหม้อก้นดำไปให้บัณฑิตน้อยแบกไม่ใช่หรือ ? คนที่โยนหม้อก้นดำออกไป สุดท้ายต้องกลับมาแบกมันเองเสมอ ! เพราะข้าก็เพราะข้า ! ปัญหานี้นางยอมรับไว้เอง !

“ตอนองค์หญิงเว่ยเว่ยอยู่ที่เขตเริ่นอัน ได้เคยสร้างโรงงานแปรรูปเมล็ดสนและเนื้อแผ่นขึ้นมา ลูกจ้างที่สามารถจดบันทึกหรือทำบัญชีของฝั่งนั้นได้ก็มีความรู้น้อยนิด นางจึงคิดค้นวิธีเขียนบัญชีรูปแบบใหม่ขึ้นมา…”

“ช้าก่อน ! เจ้าจะบอกว่า…วิธีเขียนบัญชีและตัวเลขที่เจ้าเขียนขึ้นมา แท้จริงเป็นสิ่งที่เว่ยเว่ยคิดค้น ? ” องค์รัชทายาทหันไปทอดพระเนตรหลินเว่ยเว่ยที่กำลังเล่นนิ้วมืออยู่ด้านข้าง

หลินเว่ยเว่ยเงยหน้ามองอีกฝ่าย…ข้ากับท่านสนิทกันมากหรือ ? เว่ยเว่ย เว่ยเว่ย…ข้าก็แค่ถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิง ไม่ใช่น้องสาวแท้ ๆ ของท่านสักหน่อย จะเรียกให้สนิทสนมขนาดนั้นทำไม ?

เจียงโม่หานมีสีหน้าเรียบเฉย เขาพยักหน้ารับเบา ๆ “ใช่พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงเว่ยเว่ยเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา ส่วนกระหม่อมก็แค่ยึดตามแนวความคิดของนางแล้วเรียบเรียงออกมาเท่านั้น องค์หญิงเว่ยเว่ยสนพระทัยในศาสตร์ตัวเลข ‘ตำราศิลปะคณิตศาสตร์เก้าบท’ ที่มีในท้องตลาดก็เป็นหนึ่งในความสนใจของนางพ่ะย่ะค่ะ”

หลินเว่ยเว่ยช่วยพูด “ใช่เพคะ แต่หม่อมฉันรู้อักษรไม่มาก จึงอ่าน ‘ตำราศิลปะคณิตศาสตร์เก้าบท’ ไม่เข้าใจ สุดท้ายก็ให้บัณฑิตน้อยช่วยอธิบาย ดังนั้นจึงมีตำราคำอธิบายเล่มนี้เกิดขึ้นมา…ที่จริงศาสตร์ตัวเลขก็ใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่สามัญชน แต่ขาดตำราศาสตร์ตัวเลขที่พวกชาวบ้านจะทำความเข้าใจได้ หม่อมฉันจึงเกิดความคิดให้บัณฑิตน้อยเรียบเรียง ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ ขึ้นมา แบบนี้ผู้ที่เป็นเหมือนหม่อมฉันก็จะสะดวกสบายกว่าเดิมเพคะ”

“แท้จริงก็เป็นแบบนี้เอง…” องค์รัชทายาทนึกถึงช่วงเวลาสนทนาเล่นกับหมู่โฮ่ว พระนางตรัสว่าหลินกู่เหนียงคนนี้คงไม่ได้เกิดมาพร้อมโชคหรอกกระมัง ? เพราะเพิ่งเข้าเมืองหลวงก็ช่วยฮ่องเต้ไว้จากอาชาพยศ พอกลับตำหนักหมินอ๋องแล้ว สุขภาพของหมินหวางเฟยก็ดีขึ้นทุกวัน วันที่กองทัพติงเป่ยกลับมาก็เป็นเพราะนางช่วยเอาไว้จึงทำให้ฮ่องเต้และองค์รัชทายาทปลอดภัย

และยังเป็นเพราะนาง จึงทำให้เจียงเจี้ยหยวนคนนี้ได้คิดทำตำราคำอธิบายขึ้นมา ดูท่าแล้วคำพูดของหมู่โฮ่วจะมีเหตุผลอยู่บ้าง…องค์รัชทายาทมีลางสังหรณ์ว่าต่อจากนี้ไม่นานตำราเล่มนี้จะต้องสร้างคลื่นลมอะไรบางอย่างขึ้นมาแน่นอน !

หลินเว่ยเว่ยที่ไม่ทันตั้งตัวก็กลายเป็นดาวนำโชคตัวน้อยอีกแล้ว “…”

ท่านลุงผู้ชนะหมากล้อมกระดานนี้ขององค์รัชทายาทก็ค่อย ๆ หันมามอง…หลินเว่ยเว่ยมีดวงตาเบิกกว้างทันที สวรรค์ ความงามนี้สุดยอดไปเลย ! ถ้าบอกว่าบัณฑิตน้อยเป็นหนุ่มรูปงามในคราบคนเย็นชาแล้ว ท่านลุงตรงเบื้องหน้าก็เป็นชายรูปงามในฉบับวัยผู้ใหญ่ ค่อนข้างเหมือนนักแสดงคนนั้นที่แสดงในเรื่องเอ้อร์หลางเสิน (เทพเจ้าสามตา) ที่นางดูในชาติก่อน สุดยอดมาก !

เจียงโม่หานเหลือบมองนาง ทันใดนั้นเขาก็ไม่พอใจในอาการ ‘น้ำลายหก’ ของนาง…สายตาอะไรกัน คนที่อายุจะเป็นบิดาเจ้าได้แล้วก็ยังทำหน้าตาหลงใหลได้ ? ไม่เลือกเกินไปหน่อยกระมัง ? เขาเข้าใจผิดว่าอยู่กับเขามานานถึงขนาดนี้แล้ว รสนิยมและมุมมองของนางก็ควรจะยกระดับตามไปด้วย เหตุใดยังตาบอดและทำท่าทางโง่เขลาเช่นนี้อีก ?

ท่านลุงรูปงามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เมื่อครู่เจียงเจี้ยหยวนพูดว่าจะใช้ตำราเล่มนี้เพื่อร่วมลงทุนกับร้านโม่เซียง จะร่วมลงทุนอย่างไร ? ”

“เท่าที่บัณฑิตทราบคือร้านโม่เซียงมีวิธีสองแบบในการร่วมลงทุนกับผู้อื่น แบบแรกคือให้เงินหนึ่งก้อนกับผู้เขียน ส่วนรายได้ที่มาจากการขายหนังสือจะไม่เกี่ยวข้องกับผู้เขียนอีก อีกแบบคือเมื่อตีพิมพ์ออกมาแล้วหักต้นทุนออก กำไรจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ต่อหกส่วน” เจียงโม่หานเตรียมตัวมาอย่างดี

ท่านลุงรูปงามค่อย ๆ เก็บหมากล้อมทีละตัว เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ! ทว่าวิธีร่วมลงทุนพวกนี้ล้วนเป็นของนักเขียนที่มีชื่อเสียง เจียงเจี้ยหยวนคิดว่าตัวเองสามารถเทียบกับพวกเขาได้หรือไม่ ? ”

เจียงโม่หานยิ้มบาง ๆ “แม้ด้านชื่อเสียงของบัณฑิตจะยังห่างชั้นจากพวกเขา แต่ด้านความรู้เรื่องคณิตศาสตร์แล้วมั่นใจว่าตัวเองเหนือกว่า”

ท่านลุงรูปงามหัวเราะเบา ๆ “ถ้าเช่นนั้น…เจียงเจี้ยหยวนคิดจะเลือกวิธีร่วมลงทุนแบบใด ? ”

“แบบที่สอง ! แต่หลังจากหักต้นทุนออกแล้วต้องแบ่งเป็นครึ่งต่อครึ่ง ! ” น้ำเสียงของเจียงโม่หานนิ่งสงบราวกับพูดคุยเรื่องทั่วไป ไม่เหมือนปัญญาชนแต่อย่างใด ดูมั่นใจในตัวเองและหมิ่นเงินน้อยอยู่ในที

ท่านลุงรูปงามพลิกดูต้นฉบับ อ่านสองหน้าแรกอย่างละเอียดแล้วเงียบไปอีกพักใหญ่ “สองสามบทแรก ข้าจะเก็บไว้ให้คนวิพากษ์วิจารณ์ก่อน หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริง ๆ หนังสือเล่มนี้ก็ควรค่าแก่การตีพิมพ์ ข้าจะคุยรายละเอียดกับเจียงเจี้ยหยวนอีกที ! ” ขณะพูด เขาก็ยกชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบ

เจียงโม่หานลุกขึ้นยืนพลางพูด “บัณฑิตจะรอฟังข่าวดี ! ”

หลินเว่ยเว่ยวางจอกชาที่ยกขึ้นมาช่วยอุ่นมือลง จากนั้นก็ลุกขึ้นพูดกับองค์รัชทายาท “องค์รัชทายาท โปรดบอกองค์หญิงเจียวเจียวด้วยว่าพรุ่งนี้หม่อมฉันจะทำเค้กครีม ยินดีต้อนรับองค์หญิงมาร่วมลิ้มรส องค์รัชทายาทและกั๋วจิ้วเย่ (ท่านลุงขององค์รัชทายาท) เว่ยเว่ยขอตัวก่อน ! ”

องค์รัชทายาทพยักดวงพักตร์ “เปิ่นหวางจะช่วยบอกให้เจ้าแน่นอน…” แม้จะตรัสเช่นนี้ แต่ในหทัยกลับเต็มไปด้วยความสงสัย ‘เค้กครีมคืออะไร ? ขนมหรืออาหาร ? หลินเว่ยเว่ยคนนี้ก็ช่างตระหนี่จริง ๆ เลย เหตุใดชวนแต่เจียวเจียว ไม่ชวนเปิ่นหวางบ้าง ? ’

หลังออกมาจากร้านโม่เซียงแล้ว ชุนซิ่งก็ช่วยใส่เสื้อคลุมให้หลินเว่ยเว่ย นางพ่นลมหายใจสีขาวขุ่นออกมายาว ๆ “คุยกับปัญญาชนอย่างพวกเจ้าช่างสิ้นเปลืองพลังงานเหลือเกิน ! ลิ้นของข้าแทบจะพันกันอยู่แล้ว ! ”

“ใครขอให้เจ้าใช้สำบัดสำนวน ? ตอนนี้เจ้าเป็นถึงองค์หญิงเว่ยเว่ยผู้โด่งดัง ไม่ต้องเอาแต่ฝืนตัวเองหรอก ผ่อนคลายหน่อย เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นแบบนั้น ! ” เจียงโม่หานอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ทว่าเขาก็ยังดีใจที่เด็กสาวตรงหน้ายังดูสดใสร่าเริงอยู่มาก !

หลินเว่ยเว่ยกะพริบตา “ทำได้จริงหรือ ? ”

“แน่นอน ! ” เจียงโม่หานพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ด้วยฐานะของเจ้าในเวลานี้ ไม่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนอื่นพอใจ ถ้าคนอื่นไม่ปรับตัวเข้ากับเจ้าเอง ก็ไม่ต้องใส่ใจ ! ”

“เอาเถิด ! ” หลินเว่ยเว่ยเหยียบบนหิมะหนานุ่มแล้วมองร้านค้าตลอดสองข้างทาง ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาและรถม้าขับผ่านเป็นครั้งคราว…แม้จะเป็นวันที่หิมะตก ถนนในเมืองหลวงก็ไม่เคยเงียบสงบ

ชุนซิ่งรีบกางร่มแล้วเดินตามไป “จวิ้นจู่ ไม่กลับตำหนักหรือเจ้าคะ ? ”

หลินเว่ยเว่ยสูงกว่านางครึ่งศีรษะ มือที่ชูร่มขึ้นไปของชุนซิ่งจึงดูกินแรงสุด ๆ เจียงโม่หานรับร่มมาจากนางแล้วกางให้หลินเว่ยเว่ยแทน จากนั้นก็คอยเดินเคียงข้างกันไป

หลินจื่อเหยียนมองร่มในมือตัวเอง หลังกางออกแล้ว เขาก็พยายามเดินตามทั้งคู่ไปแบบไม่มีใครหันมามอง เขารู้สึกว่าการมีตัวตนอยู่ช่างเหลือน้อยยิ่งกว่าพวกบ่าวรับใช้เสียอีก !

“หืม ? ” หลินจื่อเหยียนมองผู้คนที่เดินอยู่บนถนนด้วยความเหนื่อยหน่าย แต่คาดไม่ถึงว่าจะเจอคนคุ้นหน้า “พี่รอง ท่านรีบดูสิ นั่นคุณชายลู่ไม่ใช่หรือ ? ”

หลินเว่ยเว่ยมองตามสายตาของน้องชาย…เป็นอย่างที่คิด ลู่เหวินจวินกำลังออกมาจากร้านขายเมล็ดถั่วคั่ว หลินจื่อเหยียนจึงโบกมือแล้วตะโกนเรียก “คุณชายลู่ คุณชายลู่ ! ”

เมื่อลู่เหวินจวินหันมาเห็นทั้งสามคน ก็รีบยกมือขยี้ตาทันที…เพราะเขากำลังอยากชวนหลินกู่เหนียงออกมาข้างนอก คาดไม่ถึงว่าจะได้พบกันบนถนนเช่นนี้ !

“หลินกู่…ลู่เหวินจวินขอถวายพระพรองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ! ” ลู่เหวินจวินรีบประสานมือแล้วน้อมคารวะแบบทำมุมตั้งฉากเก้าสิบองศาพอดิบพอดี

หลินเว่ยเว่ยกลอกตาใส่ “ท่านเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะโยนท่านขึ้นบนหลังคาได้ ? ”

ลู่เหวินจวินเห็นท่าทีที่นางมีต่อตนว่ายังไม่ได้เปลี่ยนไป ใจที่เคยประหม่าจึงค่อย ๆ ผ่อนคลาย ขณะมองยอดหลังคาที่สูงตระหง่านทั้งสองข้างทาง เขาก็พูดออกมาเบา ๆ “องค์หญิง กระหม่อมกลัวความสูง ถ้าตกลงมาอีกคงต้องรบกวนให้องค์หญิงช่วยกระหม่อมอีกรอบ…”