War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1917
ตอนที่ 1,917 : ทำความเข้าใจ เวทย์พลังปราการเต่าทมิฬ
เป็นที่รู้กันดีว่าเส้นทางแห่งการบ่มเพาะฝึกตน…ยิ่งมายิ่งยากเย็น!
หากเป็นต้วนหลิงเทียนในอดีตล่ะก็ ด้วยรากวิญญาณสีเหลืองร้ายๆของเขา เกรงว่าคิดจะทะลวงให้ถึงเซียนมนุษย์ขั้นกลาง…หากไม่ใช่เวลาสัก 8 หรือ 10 ปีเกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้!
ทว่าตอนนี้เมื่อพรสวรรค์รากวิญญาณแปรเปลี่ยนไป ทั้งได้รับสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะอันประเสริฐ ทำให้เวลาที่ใช้ในการบ่มเพาะนั่นย่นย่อจาก 8 ปี 10 ปี กลายเป็นสามารถบรรลุได้ในเวลา 2 ปีแทน!
‘หากพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าเป็นสีเขียวล่ะก็ ความเร็วในการบ่มเพาะของข้าจะสูงขึ้นกว่านี้อีกมาก…กระทั่งหากข้ามีรากวิญญาณสีน้ำเงินเกรงว่าด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ คงใช้เวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น!’
คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนก็ปั่นป่วนอีกครั้ง
เขาอยากจะพุ่งออกจากเจดีย์เหาะไปหาเหล่าอัจฉริยะนิสัยชั่วที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีครามสีม่วงซะเหลือเกิน จะได้ดักทุบหัวพวกมันแล้วสูบกลืนช่วงชิงพรสวรรค์รากวิญญาณของมันมาเสีย!
‘แต่ต่อให้เป็นลัทธิบูชาไฟ อัจฉริยะดั่งปีศาจที่มีรากวิญญาณสีครามก็คงไม่ได้มีมากมายอะไร แถมไม่รู้ว่าจะมีอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณสีม่วงอยู่ด้วยหรือไม่? หากข้าได้กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วง ต่อให้พลังมันสูญไปกว่าครึ่งระหว่างการดำเนินการ แต่อย่างน้อยๆรากวิญญาณของข้าก็น่าจะกลายเป็นสีครามล่ะมั้ง!?’
พรสวรรค์รากวิญญาณสีคราม ก็เพียงอ่อนด้อยกว่าพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงเท่านั้น
คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาใจต้วนหลิงเทียนก็ฟุ้งซ่านถึงขั้นไม่อาจบ่มเพาะพลังได้อีกต่อไป
ตอนนี้เขากระหายอยากออกไปจับตัวผู้คนแล้วสูบกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันเสียให้เหี้ยน!
แต่แน่นอนล่ะว่าต้วนหลิงเทียนทำเพียงแค่คิดเท่านั้น
เขาไม่ใช่เดียรัจฉานเลือดเย็นไร้หัวใจ หากผู้อื่นไม่ร้ายต่อเขาก่อน ตัวเขาก็ไม่มีความคิดจะทำร้ายผู้อื่นอย่างไร้เหตุผล
“ไหนๆก็ยากจะสงบใจบ่มเพาะได้แล้ว…ลองออกไปเดินดูแท่นบูชาเต่าทมิฬ และลองทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬอะไรนั่นหน่อยดีกว่า…”
กล่าวพึมพำจบต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างออกจากชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที
เมื่อเก็บเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเรียบร้อยแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินออกจากบ้านชั้น 3
เมื่อเดินออกมาจากบ้านชั้น 3 ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าผู้คนที่มารวมตัวกันก่อนหน้าได้สลายตัวไปกันหมดแล้ว มองไปก็เห็นศิษย์เหาะเหินเดินอากาศสัญจรไปมาบางตา บ้างก็หยุดลอยสนทนากัน
อย่างไรก็ตามแต่ละคนไม่ได้มีใครให้ความสนใจเขาแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรเสียการเปิดประตูออกมาก็เป็นความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยากจะดึงดูดความสนใจใครได้
‘ด้วยมียอดใจกระบี่แบบนี้ไม่รู้ว่าข้าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงจะเข้าใจเวทย์พลังสายป้องกันอันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟ ปราการเต่าทมิฬ? มันคงไม่นานไปกว่าปฐมเวทย์กลืนกินหรอกนะ?’
ในระหว่างเดินทางไปยังแท่นบูชาเต่าทมิฬ ความคิดต้วนหลิงเทียนก็ล่องลอยไปถึงเวทย์พลังระดับสูงอย่างปราการเต่าทมิฬอันเป็นเวทย์พลังประจำแท่นบูชาแห่งนี้
ถึงแม้ว่าตอนนี้ชื่อของต้วนหลิงเทียนจะเริ่มแพร่ไปในแท่นบูชาเต่าทมิฬแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็เคยได้ยินเพียงแค่ชื่อเขาเท่านั้น คนที่เคยเห็นหน้าค่าตาเขานับว่ามีน้อยคน
“เฮ่ย! พวกเจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วรึยัง เห็นว่าแท่นบูชาเต่าทมิฬเรามีศิษย์ใหม่ใจกล้าเข้ามา!”
“ศิษย์ใหม่ใจกล้าที่เจ้าว่า…ใช่ต้วนหลิงเทียนหรือไม่?”
“อ้าว เจ้าก็ได้ยินมาแล้วรึ?”
“เหอะๆ สหาย…ตอนนี้ในแท่นบูชาเต่าทมิฬเราหากมิใช่ผู้ที่กักตัวฝึกตนในห้อง ยังจะมีใครไม่ได้ยินเรื่องนี้?”
“จริง! ข้าเองก็อยู่ในแท่นบูชาเต่าทมิฬมา 6 ปีแล้ว แต่ข้าพึ่งเคยได้ยินเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ กลับมีศิษย์ที่หาญกล้าท้าทายอำนาจของอาวุโสหลี่อันต่อหน้าผู้คนแบบนี้ด้วย! อาวุโสหลี่อันจะอย่างไรก็คืออาวุโสเพลิงเงินอันดับหนึ่งแท่นบูชาเรา! กระทั่งอาวุโสเพลิงเงินอีก 4 คนที่เหลือยังไม่มีใครกล้าล่วงเกินด้วยซ้ำ!!”
“นั่นน่ะสิ ในแท่นบูชาเต่าทมิฬ…อาวุโสหลี่อันเสมือนอยู่ใต้หนึ่งแต่อยู่เหนือนับหมื่น! ต้วนหลิงเทียนคงยากจะมีคืนวันอันดีอะไร เพราะไปแข็งข้อกับอาวุโสหลี่อันแบบนี้!”
“เฮ่อ หากเพียงพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนคนนั้นเป็นสีน้ำเงินหรือสีครามนะ…อนิจจาข้าได้ยินมาว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้แซ่ต้วนเป็นเพียงสีเหลืองเท่านั้น…”
“เหอะๆ พรสวรรค์รากวิญญาณสีเหลือง? คนที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณเพียงแค่สีเหลืองกลับหาญกล้าต่อต้านอาวุโสหลี่อันรึ? บ้าไปแล้ว!!”
“เพระเหตุนั้นอย่างไรเล่า ถึงได้มีฉายา ‘ต้วนคุ้มคลั่ง’ คลอดออกมา…”
……
วาจาทำนองเดียวกันนี้ ต้วนหลิงเทียนได้ยินมาตลอดทาง
นอกจากนี้ไม่เพียงแต่เรื่องที่เขาฆ่าหยางหวู่ต่อหน้าหลี่อัน กระทั่งเรื่องที่เขาสั่งสอนศิษย์ของหลี่อันอย่างกู่ชุน กระทั่งถึงขั้นเรียกว่าเป็นการทรมาณก็ไม่ผิด มันก็ได้แพร่กระจายออกไปแล้วเช่นกัน
จังหวะนี้เหล่าศิษย์ของแท่นบูชาเต่าทมิฬถึงกับสรุปออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
ต้วนหลิงเทียนกล้ายั่วโทสะของอาวุโสหลี่อันขนาดนี้…ถึงไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โตแน่แล้ว!
ได้ยินคำพูดดังกล่าวจากผู้คนที่ผ่าน ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อวันก่อน ที่จริงหากตอนที่หยางหวู่บุตรชายคนรองของอาวุโสลำดับ 5 แห่งวังอุดรไพศาลมาหาเรื่องเขา หลังอาวุโสเถิงชานเข้ามาแทรกแซงและเสมือนได้ทำโทษหยางหวู่ไปแล้วกลายๆ เรื่องราวมันก็คงจบลงแต่เพียงเท่านี้ ไม่มีอะไร
ทว่าในตอนนั้นเองหลี่อันกลับปรากฏตัวออกมา กระทั่งคิดลงมือฆ่าเขาโดยไม่สนผิดถูก! ยังกล่าวอ้างว่าในเมื่อ 2 คนทะเลาะกันย่อมต้องผิดทั้งคู่ และต้องโดนลงโทษทั้งคู่!
หากไม่ใช่เพราะอาวุโสเถิงชานไหวตัวทัน เร่งซัดฝ่ามือสลายพลังฝ่ามือสังหารของหลี่อันไปกว่า 5 ส่วน และร่างกายของเขาแข็งแกร่งผิดมนุษย์มนา เกรงว่าคงตกตายคาที่ไปแล้ว!
ดั้งนั้นแล้วตั้งแต่วินาทีนั้นเอง เขาก็เห็นหลี่อันเป็นศัตรูคู่ฟ้าที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันกับเขาได้!
ด้วยเหตุนี้ตอนที่หยางหวู่ตกอยู่ในกำมือเขา ให้หลี่อันมันกล่าววาจาข่มขู่อะไรเขาก็ไม่แยแสทั้งสิ้น! ไม่เหลือหนทางให้ประนีประนอมสืบไป!!
และในเมื่อต่อให้จะต้องแตกหักกับหลี่อันเขาก็ไม่กลัว เขาจึงหักคอหยางหวู่มันเสียตรงนั้น! และนั่นย่อมไม่ต่างอะไรกับหยามน้ำหน้าหลี่อันถึงขีดสุด!!
อย่างไรเสียในเมื่อเขาเห็นหลี่อันเป็นศัตรูที่ต้องฆ่าให้ตายในสักวัน จะมีเรื่องมีราวล่วงเกินมันเพิ่มอีกเรื่อง สองเรื่องหรือมากกว่านั้นจะเป็นอะไรไป!?
“แท่นบูชาเต่าทมิฬ…”
หลังจากเหินร่างมาไม่นาน จัตุรัสมหึมาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน รูปปั้นขนาดใหญ่โตมหึมาปานมีชีวิตยังคงตั้งตระหง่านเหมือนเมื่อวาน นับว่าดึงดูดความสนใจของต้วนหลิงเทียนได้ไม่น้อย
‘เวทย์พลังสายป้องกันระดับสูงปราการเต่าทมิฬที่ว่า…ถูกบันทึกไว้ในรูปปั้นเต่าทมิฬตัวนี้เหรอ?’
เมื่อมาถึงที่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เข้าไปชมสำรวจรูปปั้นใกล้ๆ
ขณะเดียวกันเขาก็พบเห็นศิษย์มากมายใกล้ๆรูปปั้น แต่ละคนก็คล้ายกำลังพยายามทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬอยู่เช่นกัน บ้างก็นั่งบนพื้นจัตุรัส บ้างก็ลอยล่องกลางอากาศ
บางคนก็หลับตาเข้าฌานคล้ายกำลังจดจ่ออะไรบางอย่าง
บางคนก็ยืนมองรูปปั้นเต่าทมิฬด้วยสายตาหลงไหลแฝงความเคารพ
‘ไหนมาดูกันว่าเวทย์พลังป้องกันระดับสูง ปราการเต่าทมิฬในรูปปั้นมันเป็นยังไง….’
ต้วนหลิงเทียนพกพาความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า เพราะถือดีว่ามีเคล็ดยอดใจกระบี่!
‘แต่พยายามจดจำข้อมูลทั้งหมดของเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬนี่ก่อน แล้วค่อยๆเอาไปตีความและทำความเข้าใจในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่บ้านพักดีกว่า…’
‘แบบนี้จะได้ประหยัดเวลาลงไปมาก อย่างไรการไหลของห้วงเวลาบนชั้น 4 ก็ช้ากว่าภายนอกนี่ถึง 10 เท่า’
สองตาต้วนหลิงเทียนมองตกลงไปยังรูปปั้นเต่าทมิฬทันที
สำนึกเทวะแผ่ออกไปผสานเข้ารูปปั้นได้ไมทันไร ข้อมูลมหาศาลชุดหนึ่งก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเขา
ข้อมูลที่ว่าแน่นอนว่าเป็นข้อมูลของเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬ!
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้แทบจะทันที
ว่าในขณะที่สำนึกเทวะของเขาชำแรกเข้าไปในรูปปั้นนั้น เขาพลันสัมผัสได้ถึงพลังกดดันมหาศาลขุมหนึ่งที่แผ่ซ่านออกมาจากรูปปั้น!
และในขณะที่พลังกดดันไร้สภาพขุมดังกล่าวกำลังเคี่ยวกรำร่างเขา ทั่วร่างของเขาก็ปรากฏพลังเซียนสุริยันโคจรปกคลุมเอาไว้เพื่อป้องกันตามสัญชาตญาณ
เรียกว่าเป็นการตอบสนองของจิตใต้สำนึก!
‘หืม? สถานการณ์คล้ายกันนัก…’
ก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ตอนนี้พอเขาสังเกตอยู่พักหนึ่งเขาก็พบว่า…
เหล่าศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬที่อยู่โดยรอบ แต่ละคนนั้นทั่วร่างล้วนมีม่านพลังฉาบคลุมป้องกันอยู่ทั้งสิ้น
‘หากข้าเดาไม่ผิด พลังกดดันนี่จะมากจะน้อยต้องส่งผลกระทบเกี่ยวกับการทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬแน่นอน ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมทุกคนถึงเลือกจะอยู่ทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬตรงนี้…’
‘แต่ว่าพลังกดดันเพียงเท่านี้ไม่ได้ส่งผลอะไรกับข้าเป็นพิเศษ…’
ต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆรูปปั้นเต่าทมิฬหลังทานรับพลังกดดันไปอีกเล็กน้อย เขาก็พบว่าอาศัยพลังกดดันเพียงเท่านี้มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย…
เช่นนั้นหลังผ่านไปอีกสักพัก เมื่อต้วนหลิงเทียนได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬครบถ้วน เขาก็ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป แต่เลือกที่จะกลับไปทำความเข้าใจที่บ้านพักแทน…
‘ข้าจะกลับไปทำความเข้าใจมัน…ตราบใดที่ข้าสามารถเข้าใจและเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังเทมิฬจนใช้งานมันได้สำเร็จ ข้าก็สามารถออกจากแท่นบูชาเต่าทมิฬแห่งนี้เพื่อเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่น กลายเป็นศิษย์ฝ่ายในของลัทธิบูชาไฟได้ทันที!’
พอคิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รั้งรออยู่ต่อให้เสียเวลาอะไรอีก ร่างเหินทะยานกลับบ้านพักทันที
ภรรยาและลูกสาวของเขาถูกจองจำอยู่ในหอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟ ทั้งคู่ยังอยู่ในพื้นที่ๆเขายากจะเข้าถึงนัก!
เมื่อกลับมาถึงบ้านพักแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็กลับเข้าไปในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอีกครั้งทันที และเริ่มตีความ ทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬจากข้อมูลที่จดจำมา
ต้องบอกเลยว่า ปราการเต่าทมิฬ นี้สมแล้วที่เป็นเวทย์พลังสายป้องกันอันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟ ความยากของมันไม่ใช่อะไรที่ใครก็จะสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายๆ
อย่างน้อยๆต้วนหลิงเทียนที่ใช้เวลาอยู่ในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 ไปครึ่งปี ก็พึ่งทำได้แค่เข้าใจเคล็ดความบทต้นของปราการเต่าทมิฬเท่านั้น!
ยังคงอีกไกล กว่าที่เขาจะทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬได้สมบูรณ์!
“ทำไมมันถึงได้เข้าใจยากกว่าปฐมเวทย์กลืนกินนักนะ…”
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ต้วนหลิงเทียนที่หลับตามาเนิ่นนาน ในที่สุดก็ลืมตาขึ้น แววตาฉายความขึงขังไม่น้อย
เรื่องนี้ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็งุนงง
อย่างไรก็ตามคิดไปไม่ทันไรเขาก็ตระหนักได้ถึงต้นตอของปัญหา…
‘ในพื้นที่สืบทอดมรดกเวทย์พลังนั่น ข้าได้เห็นชายชราอันเป็นบททดสอบสุดท้าย ใช้เวทย์พลังกับตา ทำให้ข้ารู้ว่าปฐมเวทย์พลังเป็นอะไร แล้วมันทำงานอย่างไรบังเกิดผลแบบไหน…ดังนั้นนอกจากที่ข้าจะเข้าใจเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินได้เร็วเพราะยอดใจกระบี่ ยังมีเหตุผลนี้ด้วย…’
‘กล่าวได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเวทย์พลังกระบี่สายจู่โจมระดับสูงอย่างเซียนอมตะข้ามภพ หรือปฐมเวทย์กลืนกิน ข้าก็ได้เห็นอานุภาพและลักษณะการทำงานของมันกับตาจึงเข้าใจได้ไม่ยาก…เสมือนมีแนวทางให้ก้าวเดินตามโดยไม่หลงทาง! แต่ปราการเต่าทมิฬนี่ข้าไม่รู้เลยว่ามันต้องสำแดงพลังอย่างไร มีลักษณะอะไรอย่างไร…’
พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจอย่างทอดถอน
“ครึ่งปีงั้นหรือ…ถ้างั้นข้างนอกก็ผ่านไป 18 วันแล้ว”
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็หลับตาลงอีกครั้ง และพยายามตีความข้อมูลของเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬต่อ
ในเวลาเดียวกันนั้น
ที่บ้านพักชั้น 3 อีกแห่ง เมื่อผ่านไปกว่าครึ่งเดือน ในที่สุดกู่ชุนที่ถูกกระบี่เฉือนไปนับหมื่นแผล ตอนนี้ก็ได้รักษาตัวจนฟื้นฟูดีขึ้นมากแล้ว มันจึงคิดบ่มเพาะพลังต่อ
“สารเลวแซ่ต้วน เจ้ารอให้ข้าทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นกลางก่อนเถอะ…แล้วข้าจะจัดการเจ้าให้สาสมใจ! เอาให้เจ้าสำนึกเสียใจที่ทำกับข้าเช่นนั้น!!”
เพื่อที่จะล้างแค้นต้วนหลิงเทียนให้จงได้ ตอนนี้กู่ชุนบังเกิดความแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นับว่าความแค้นเป็นแรงผลักดันอันดีจริงๆ…!
จนเมื่อมันเริ่มทำสมาธิหมายสัมผัสถึงพลังวิญญาณฟ้าดินรอบกายเพื่อดูดซับเข้าร่างแล้วโคจรบ่มเพาะพลังนั้นเอง หน้าของมันก็เปลี่ยนสีทันที “นิ…นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน?! ข้า…ข้า…ไฉนไม่รู้สึกถึงพลังวิญญาณฟ้าดินเล่า!?”