การเคลื่อนไหวครั้งนี้กล่าวได้ว่าค่อนข้างจะรุนแรง
ในร้านเจินเป่าที่ชั้นสองล้วนเป็นห้องรับรอง แต่ละห้องให้การต้อนรับผู้ที่มีฐานะและเงินทอง
การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เมื่อครู่ทำให้คนในห้องรับรองทุกคนพากันวิ่งออกมาดูทันที
“สวรรค์ มี…มีคนแอบเล่นชู้ในร้านเจินเป่า!” สตรีสูงวัยนางหนึ่งตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงอันดังจนแหบแห้ง เมื่อตะโกนออกมาแล้วก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหินจุกอยู่ในลำคอ ริมฝีปากของนางสั่นคลอนเล็กน้อยก่อนจะตะโกนออกมาอีกว่า “มีชายสองคนร่วมหลับนอนกัน!”
น่าแปลกยิ่งนัก ผู้ที่มอบเงินให้นางกล่าวว่ามีคุณชายท่านหนึ่งต้องการจะเล่นชู้กับภรรยาของผู้อื่น ณ ที่แห่งนี้ และจ้างวานให้นางกรีดร้องออกมาเมื่อเห็นภาพนั้น แต่เหตุใดบัดนี้ภาพที่เห็นจึงไม่ใช่ชายหนุ่มหญิงสาวร่วมหลับนอนกันอยู่บนเตียง กลับเป็นชายหนุ่มสองคนเล่า
เอาเถิด ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องอื้อฉาวเช่นกัน นางมีหน้าที่เพียงตะโกนออกไปก็พอ
“เจ้าข้าเอ๊ย! รีบมาดูเร็วเข้า ชายหนุ่มร่างกายกำยำสองคนเล่นชู้กันในร้านเจินเป่ากลางวันแสกๆ!” หญิงชราตะโกนดังขึ้นกว่าเดิม
เดิมทีร้านเจินเป่าก็เป็นสถานที่ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางถนนอันมีชีวิตชีวา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้คนจำนวนมากวิ่งเข้าไปในร้าน
เจ้าของร้านแทบจะเป็นลม นางตะโกนออกมาว่า “นายท่าน รีบตื่นเข้าเถิด นายท่าน!”
ดูเหมือนว่าองครักษ์ของอวี้จิ่นจะลงมือหนักเกินไปเล็กน้อย ไท่จื่อและข้าหลวงที่กอดกันในร่างเปลือยเปล่ายังคงหลับสนิท
บัดนี้มีคนมากมายยืนล้อมรอบตรงหน้าประตูแล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา
“หึๆ เป็นคนจากจวนใดกันเล่า ลูกเต่าเsล่าใคร น่าขายหน้าเหลือเกิน หากเป็นบุตรชายข้าล่ะก็คงจะต้องตีให้ขาหักไปข้างหนึ่ง!”
“เหอะๆ เจ้าคงไม่อาจมีบุตรเช่นนี้ได้หรอก ไม่เห็นเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่หรืออย่างไร ล้วนเป็นผ้าเนื้อดี ต้องเป็นคุณชายจากจวนได้จวนหนึ่งอย่างแน่นอน”
“จะว่าไปแล้วก็แปลกยิ่ง เหตุใดจึงมาทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ที่ร้านเจินเป่าได้”
“ไม่อย่างนั้นจะให้ทำเช่นไรเล่า ชายหนุ่มสองคนทำเรื่องบัดสีบัดเถลิง หากถูกพบเข้าจะทำเยี่ยงไร!”
“อืม ก็มีเหตุผล”
เจ้าของร้านแทบจะบ้าคลั่ง นางรีบผลักผู้ที่ยืนอยู่ตรงประตูออกไปแล้วกล่าวว่า “ออกไปให้พ้น ออกไปกันเสียให้หมด!”
บรรดาผู้คนที่ถูกผลักออกไปจึงได้ผลักเจ้าของร้านกลับคืนด้วยความไม่พอใจ ทำให้เจ้าของร้านถูกผลักเสียจนกลิ้งหลุนๆ
“เหตุใดจึงต้องออกไปเล่า!” กว่าจะเข้ามาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“นั่นน่ะสิ ร้านเจินเป่าของเจ้าสามารถทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงเหล่านี้ได้ แต่กลับไม่กล้าให้พวกเราชายตามองงั้นหรือ”
ผู้คนที่เข้ามามุงดูกล่าวจบก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ไม่รู้ว่าผู้ใดคว้าไก่มาตัวหนึ่งแล้วเขวี้ยงไปด้านหน้า
ไก่ตัวนั้นบังเอิญเหลือเกินที่ไปตกอยู่บนใบหน้าของไท่จื่อ จนทำให้เขาตื่นขึ้น
เมื่อสายตามองไปเห็นผู้คนมากมายเข้ามารุมล้อม ไท่จื่อก็ตกตะลึง รีบผลักข้าหลวงที่ยังนอนทับอยู่บนร่างกายของเขาออกไปก่อนจะกระโดดขึ้นจากเตียง “เกิดเรื่องอันใดขึ้น!”
เมื่อเขากระโดดขึ้นมาเช่นนั้นจึงเพิ่งรู้สึกว่าร่างกายดูเย็นวาบ
ไท่จื่อก้มศีรษะลงมองดู เขาแทบจะเป็นลมล้มพับ เขารีบคว้าเสื้อผ้าขึ้นมาปิดบังร่างกาย จากนั้นกล่าวออกมาด้วยความโมโหว่า “พวกเจ้าจงไสหัวออกไปเสียให้หมด!”
เขาคิดว่านี่คือตงกงของเขา จึงได้ตะโกนตำหนิออกมาเพื่อให้ขันทีและนางกำนัลหวาดกลัวแยกย้ายกันไป
ผู้คนที่เข้ามามุงดูเหตุการณ์ไม่มีผู้ใดก้าวขาออกไปสักคน จู่ๆ ไม่รู้ว่าใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “ดูเร็วเข้า ชายคนนั้นไม่มีอวัยวะสืบพันธุ์!”
ไท่จื่อตกใจเสียจนเปิดผ้าที่ปิดของลับเอาไว้ออกดู เมื่อพบว่าเจ้าสิ่งนั้นยังคงอยู่ดังเดิมจึงได้ถอนหายใจออกมา
ที่สายตาทุกคนจับจ้องมองนั้นไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ไท่จื่อ แต่เป็นขันทีที่ถูกไท่จื่อเตะลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้นจนเห็นทั้งร่างได้อย่างถนัดชัดเจนนั่นเอง
เมื่อถูกถีบลงไปเช่นนั้น ข้าหลวงก็ตื่นขึ้นเช่นเดียวกันและกรีดร้องออกมาเสียงแหลม
เสียงกรีดร้องอันแหลมคมเช่นนั้น ประกอบกับใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาไม่มีหนวดเครา และที่ร่างกายท่อนล่างขาดสิ่งที่สื่อถึงความเป็นชาย…
ในที่สุดก็มีใครบางคนในกลุ่มผู้มุงดูได้สติกลับคืนมาแล้วกล่าวว่า “นี่คือคนในวัง…”
ประโยคต่อจากนั้นไม่ได้กล่าวออกมา แต่คนผู้นั้นรีบหันหลังเดินจากไปทันที
หากว่าได้เห็นฉากผู้ที่อยู่ในพระราชวังทำบัดสีบัดเถลิงกับข้าหลวง พวกเขาที่มามุงดูอยู่เช่นนี้จะถูกฆ่าปิดปากหรือไม่!
คนที่คิดเช่นนี้มีไม่น้อย ทุกคนจึงได้ทำดังเช่นคนที่ตะโกนออกมาเมื่อครู่และรีบวิ่งออกไปด้านนอก คิดในใจว่ายิ่งวิ่งไปไกลเท่าไรยิ่งดี
โชคร้ายที่พวกเขาวิ่งเข้ามาก่อนหน้านี้อย่างกระตือรือร้น จึงถูกคนด้านนอกห้อมล้อมเอาไว้ไม่น้อย ต่อให้อยากนี้ก็นี้ไม่พ้นเสียที
“ถอยไป!”
คนที่อยู่ด้านหลังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น พวกเขาเพียงอยากรู้อยากเห็น จึงได้พยายามเบียดเสียดไปด้านหน้า เมื่อคนด้านหน้าเหล่านั้นพยายามเบียดตัวจะออกนี้ และผลักพวกเขาที่ขวางกั้นเอาไว้ จึงทำให้คนจำนวนมากร่วงหล่นจากราวบันไดลงมา
ฉาก ณ ที่นั้นเกิดความโกลาหลขึ้นทันใด
ไท่จื่อรีบทำการสวมเสื้อผ้า มือของเขาที่กำสายเข็มขัดรัดเอวก็สั่นคลอน
“ฝ่า…เจ้านาย ทำเช่นไรดีขอรับ” ข้าหลวงผู้นั้นเดินเอามือถือกางเกงด้วยแววตาแทบจะร้องไห้ออกมา
“ไสหัวไปเสีย!” ไท่จื่อตะคอกใส่ข้าหลวงผู้นั้น แล้วรีบมุ่งเข้าไปตรงข้างหน้าต่าง เขาก้าวขาข้างหนึ่งเพื่อปีนออกไป
ข้าหลวงตกใจเสียจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เขาเข้าไปกอดขาข้างหนึ่งของไท่จื่อเอาไว้แน่น “เจ้านายขอรับ อย่ากระโดดนะขอรับ!”
ไท่จื่อใช้แรงผลักข้าหลวงผู้นั้นออกไป
ไม่ให้กระโดดหรือ การที่เขาถูกผู้คนมากมายรายล้อมอยู่ที่นี่ หากมีคนรู้ว่าเขาคือไท่จื่อออกมาทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงอยู่กับข้าหลวงในที่แห่งนี้จะทำเช่นไร!
ในเวลาเช่นนี้ ไท่จื่อไม่อาจมานั่งคำนึงถึงเรื่องที่เจียงอีหนีรอดไปได้อย่างไร ในสมองของเขาบัดนี้มีเพียงความคิดเดียวนั่นก็คือ ต้องรีบหนีไปให้ไกล ไปให้ไกลจากสถานที่บ้าบอแห่งนี้!
ไท่จื่อจึงได้กระโดดออกไปจากหน้าต่างชั้นสองของร้านเจินเป่า ร่างของเขาตกลงไปอยู่ตรงหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยซึ่งเดินออกลาดตระเวนอยู่บริเวณนั้นพอดี
หน่วยรักษาความปลอดภัยผู้นั้นถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง “นี่คือคนร้ายงั้นหรือ ทหาร มากุมตัวเขาไป!”
ขณะนั้นเขากำลังเดินตรวจการณ์อยู่บนท้องถนน จู่ๆ ก็มีชาวบ้านเข้ามารายงานว่า ที่ร้านเจินเป่ามีคนร้ายกำลังก่อคดี อีกทั้งมีผู้ถึงแก่ชีวิตจะปล่อยไปได้อย่างไร
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยรีบพาลูกน้องวิ่งตรงเข้ามา
เมื่อเห็นไท่จื่อที่ล้มอยู่ตรงหน้า หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยจึงยิ้มออกมาด้วยความเจ้าเล่ห์ว่า “ยังคิดหนีอีกหรือ ฝันไปเถิด!”
ไท่จื่อผู้ที่ตกลงมายังมีอาการจุกอยู่ จึงไม่สามารถส่งเสียงใดออกมาได้ เขากำลังจะถูกหน่วยรักษาความปลอดภัยกุมตัวไป ข้าหลวงตะโกนออกมาด้วยเสียงแหลมว่า “จะนำตัวไปไม่ได้!”
เขารีบกระโดดลงมาจากทางหน้าต่างเช่นเดียวกัน หลังจากส่งเสียงร้องอันเจ็บปวดออกมาแล้ว ก็แน่นิ่งไป
เนื่องด้วยท่าทางอันรีบร้อน จึงทำให้ใบหน้ากระแทกพื้น…
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเหลือบมองดูผู้ที่หมดสติอยู่บนพื้น จากนั้นโบกมือขึ้นสั่งว่า “นำตัวไปให้หมด!”
ความสามารถเพียงเท่านี้ยังคิดจะก่อการร้าย?
เมื่อครู่ที่กระโดดลงมาจากชั้นสอง หากว่าเป็นเขา ความสูงเพียงเท่านี้ไม่แม้แต่จะกะพริบตา ช่างเป็นพวกไร้ประโยชน์เสียจริงเจ้าสองคนนี่
ไท่จื่อถูกลากตัวออกไปได้ประมาณสิบจั้ง ในที่สุดเขาก็ได้สติกลับคืนมา จึงได้กัดฟันแล้วกล่าวว่า “ไอ้พวกสารเลว ปล่อยตัวข้าบัดเดี๋ยวนี้!”
“เหอะๆ ทำเรื่องชั่วๆ แล้วยังไม่รู้สำนึก”
หน้าประตูร้านเจินเป่าตกอยู่ในความโกลาหล หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยได้ส่งคนไปสอบสวนแล้ว พวกเขาเชื่อมั่นมากขึ้นเกี่ยวกับรายงานลับของใครบางคน
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร!”
เดิมทีวันนี้ไท่จื่อเดินทางไปยังกรมพระคลังเพื่อเรียนรู้งาน หลังออกจากกรมพระคลังก็ได้จงใจเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่ซื้อจากร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป ถึงแม้ว่าเนื้อผ้าจะดี แต่ในสายตาชาวบ้านทั่วไปก็เพียงแค่ดูดี ไม่ได้หรูหราแต่อย่างใด
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยหันมามองแล้วหัวเราะด้วยความเยือกเย็น “ทำไมหรือ เจ้าคือคุณชายจากจวนใหญ่? ข้าขอบอกกับเจ้าเอาไว้ว่า ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นคุณชายจากจวนใด ในวันนี้ที่เจ้ากระทำความผิด เจ้าก็ต้องเดินทางไปรายงานตัวกับข้าที่ศาลาว่าการ”
เมื่อได้ยินคำว่าศาลาว่าการ ไท่จื่อก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันควัน เขารีบกล่าวออกมาว่า “ข้าคือองค์รัชทายาท พวกเจ้ารีบปล่อยข้าไปเสีย!”
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยหัวเราะขึ้น “เจ้าคือไท่จื่อ? เช่นนั้นข้าคงเป็นอ๋องกระมัง อย่าได้กล่าววาจาสามหาวไร้สาระ ระวังจะถูกประหารเก้าชั่วโคตร!”
“ข้าคือองค์รัชทายาทจริงๆ รีบปล่อยตัวข้าเดี๋ยวนี้!” ไท่จื่อดิ้นรนไม่เป็นผล แต่ก็ไม่กล้าตะโกนออกมาเสียงดัง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่ากังวลเพียงใด
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วหยิบผ้าเช็ดเหงื่อออกมาอุดปากไท่จื่อเอาไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ข้าจะปล่อยให้เจ้าโวยวายต่อไปไม่ได้แน่ เจ้าอย่าได้ทำให้ชื่อเสียงของผู้อื่นต้องเสื่อมเสีย!”
“อ้า อือ ไอ้ อื่อ...” ไท่จื่อไม่อาจร้องออกมาได้ จึงมองไปทางข้าหลวง
ข้าหลวงที่เอาหน้าทิ่มลงสู่พื้น กระแทกเสียจนหน้าตาบวม ทั้งยังอยู่ในอาการมึนงง
ไท่จื่อรู้สึกสิ้นหวังยิ่งนัก ในสมองของเขามีเพียงความคิดหนึ่งว่า ตนช่างโง่เง่าจริง เขาไม่ควรนำองครักษ์ลับทิ้งไว้ที่หน่วยองครักษ์ ควรให้ติดตามมาด้วย!