บทที่ 547 ลงใต้ไปดู

บทที่ 547 ลงใต้ไปดู

“อาเขย ผมพูดเบาเท่านี้พอไหมครับ?” เสี่ยวซื่อลดเสียงลงจริง ๆ

“อืม ได้สิ มาคุยกัน! มาหาอามีเรื่องอะไรล่ะ?” จื่ออันยิ้ม “อย่าคิดที่จะให้ฉันเขียนจดหมายแนะนำหาเงินเชียวนะ ไม่ทำให้หรอก!”

ถึงจะอยากช่วย แต่จื่ออันไม่มีความคิดจะทำผิดกฎหมาย

เสี่ยวซื่อเกาหัว “ไม่มีทางหรอกครับ ผมไม่ได้โลภขนาดนั้น ผมกำลังจะถามอาว่าที่ลี่เฉิง (เขตหนึ่งในมณฑลฝูเจี้ยน) กับหรงเฉิง (ฝูโจวในปัจจุบัน) ทำธุรกิจดีขนาดนั้นเลยหรือครับ?”

“คนทำได้มันก็ได้ ทำไม่ได้มันก็ไม่ได้ บางคนหมดเนื้อหมดตัวก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

การทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องที่ทำแล้วจะราบรื่นไปตลอด

“เป็นเรื่องปกติที่จะขาดทุนและได้กำไรสินะครับ” เสี่ยวซื่อพยักหน้าเห็นด้วย “อาเขย หลังปีใหม่อาจะกลับไปลี่เฉิงใช่ไหมครับ?”

จื่ออันพยักหน้า

“อาพาผมลงใต้ไปด้วยได้ไหมครับ ผมโตแล้วแต่ยังไม่เคยไปเลย!” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มสดใส

เขาได้แต่สงสัยว่ายิ้มแบบนั้นหน้าไม่เป็นตะคริวหรือไง? จากนั้นก็เอื้อมมือไปถูยิ้มออกจากหน้าหลาน

“ยิ้มน่าเกลียดจริง ๆ!”

เสี่ยวซื่อหน้าสลดทันที

“อาเขย ผมแค่อยากไปดูเฉย ๆ เอง”

“ทางใต้ไม่มีอะไรดีขนาดนั้น ตั้งใจเรียนอยู่เมืองหลวงดีกว่า!”

“อาครับ บรรพบุรุษพูดไว้ไม่ใช่หรือครับว่าการเดินทางหลายพันลี้ดีกว่าอ่านหนังสือหลายพันเล่มอีก พวกเราต้องเดินทางออกสำรวจจะได้เป็นประโยชน์ไงครับ” เสี่ยวเถียนออดอ้อน

หลังจากนี้เราต้องทำธุรกิจอีก หน้าหนาไว้ก่อนเป็นสิ่งจำเป็นนะ! อาเขยไม่เห็นด้วยไม่สำคัญ พยายามทำให้เขาเห็นด้วยก็พอแล้ว!

“เธอลองคิดดูนะ ไปก็ลำบาก ต้องกลับมาเมืองหลวงก่อนเปิดเรียนอีก แล้ววันที่อยู่จะทำอะไรล่ะ?”

ถ้าเด็ก ๆ ไม่มีความคิดจะทำธุรกิจ จื่ออันไม่สนับสนุนหรอกนะ

แต่เพราะเด็ก ๆ มีความคิดเหล่านั้น เขาทำได้แค่ดันหลังไปให้สุด

“สองวันนี้ผมจะคิดให้ดีครับ ยังมีเวลาให้คิดอยู่” เด็กหนุ่มรีบเอ่ยก่อนผู้เป็นอาจจะปล่อยมือ

“อย่าสร้างปัญหาให้อาเขยเขาสิ หมดปีใหม่ก็กลับไปตั้งใจเรียนเถอะ!”

คุณย่าซูกลัวลูกเขยจะอึดอัดใจเลยรีบหันไปเอ็ดหลานชายทันที

“ไม่เป็นไรครับแม่ พวกเขามีความทะเยอทะยานดี! เสี่ยวหย่วน โตขึ้นเมื่อไรเรียนรู้จากพวกพี่ ๆ เขานะ!”

แต่ใครจะไปรู้ว่าเจ้าตัวน้อยกลับตอบอย่างฉะฉานว่า “เรียนรู้จากพี่สาว!”

ประโยคนั้นทำให้ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะทันที! โดยเฉพาะคุณย่าซูที่หัวเราะจนท้องแข็ง

“เด็กดีของย่าต้องเรียนรู้จากพี่สาวไว้เยอะๆ นะ ไม่ต้องไปเรียนจากพี่ชายที่ซนเป็นลิงแบบนี้หรอก!”

ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ทุกคนไม่ได้ทำอะไรเท่าไร คุณย่าซูเลยชวนทุกคนมาช่วยกันทำอาหารประจำภาคของเรา

หนึ่งคือให้ลูกสาวกับลูกเขย สองคือให้ต่งหยวนจง ฉือเก๋อและครอบครัวคนอื่น ๆ ที่เมืองหลวง

วันเวลาในแต่ละวันผ่านไปอย่างวุ่นวาย สามีภรรยาเฉินขึ้นรถไฟในวันที่เจ็ดของปีใหม่ ส่วนคุณย่าซูและคนอื่น ๆ ตัดสินใจเดินทางพร้อมกันด้วย

ช่วงบ่ายของวันที่หก พวกเราเดินทางไปตัวอำเภอ

ครอบครัวจู้จื่อรู้ข่าวก็ส่งของขวัญมาให้พวกคุณย่าซูเยอะแยะมากมาย

แม้หญิงชราจะปฏิเสธแต่อีกฝ่ายก็ยืนกรานจะให้ ทั้งยังเอ่ยซ้ำ ๆ ว่าขอบคุณที่ทำให้เขามีชีวิตที่ดีแบบนี้ได้

หัวหน้าซูให้หลี่จู้จื่อขับรถไถ (เป็นรถไถของจีนที่มีรถพ่วงข้างท้าย) พาคนบ้านซูไปส่ง

รอบนี้เธอมีประสบการณ์แล้ว เธอเอาผ้ามาให้ทุกคนเพื่อที่จะได้สร้างความอบอุ่นและบังลมได้บ้าง แต่พอมาถึงตัวอำเภอก็ยังหนาวจนร่างกายชาอยู่ดี

ทุกคนช่วยกันขนฟืนคนละไม้คนละมือ จุดไฟใส่เตียงเตาและตั้งน้ำร้อนให้ได้ดื่มกัน จากนั้นร่างกายพวกเขาก็ค่อย ๆ อุ่นขึ้น

คุณย่าซูผลิยิ้ม “พอได้มาก็ถึงเวลากลับ หลายวันที่ผ่านมายุ่งไม่น้อยเลยเนอะ”

คุณปู่ซูเองก็คิดเช่นกัน ปีใหม่แล้วก็ต้องกลับบ้าน ตอนนี้ก็เหนื่อยอยู่หรอกแต่อีกเดี๋ยวจะซึมกัน ถึงอย่างนั้นปีใหม่คาดว่าคงอยากกลับมาช่วงปีใหม่อยู่ดี

คนเราก็แบบนี้แหละ!

สองพี่น้องเหล่าต้าเหล่าเอ้อร์มองห้องอันว่างเปล่าก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา

ถ้ามีทุกคนอยู่ให้คึกคักด้วยคงจะดีไม่น้อยเลย!

ยังมีอู่ร่างอีก พริบตาเดียวพี่ ๆ น้อง ๆ ก็ไปกันหมดแล้ว เหลือแค่เขาตัวคนเดียว ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนทิ้งเลยนะ?

“เสี่ยวอู่ ไม่เป็นไรนะ ที่นี่ยังมีพวกเราอยู่ ลูกอยู่บ้านก็ได้” หวังเซียงฮวาเข้าใจความเหงาของเด็กดี จึงเอ่ยปลอบ

เด็กหนุ่มยิ้ม “ผมไม่เป็นไรครับ หลายวันที่ผ่านมาอาเขยก็สอนศิลปะป้องกันตัวไว้นิดหน่อย ผมจะฝึกต่อไป แล้วก็เสี่ยวเถียนบอกให้ผมตั้งใจเรียนด้วย”

ก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจว่าทำไมน้องอยากให้พวกเราตั้งใจเรียนขนาดนั้น แต่หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยถึงได้รู้

ตอนแรกเขาคิดว่าตนเองเก่งนะ แต่พอมาเจอของจริงก็เลยรู้ว่าตัวเองมีเรื่องที่ยังไม่เข้าใจอีกมาก

มีหลายคนที่เรียนสู้เขาไม่ได้ แต่ในเรื่องความรู้ด้านกองทัพกลับเตรียมพร้อมกว่าเขาเยอะ สิ่งพวกนี้เขาต้องคอยชดเชยทีละนิด ๆ

อู่ร่างอยากจะเป็นทหารที่ยอดเยี่ยม จะทำตัวเหลวไหลไม่ได้!

ในเมื่อเราเลือกเส้นทางที่ต่างไปจากคนอื่น ๆ มันก็ต้องโดดเดี่ยวกว่าคนอื่น ๆ อยู่แล้ว!

กลับมาที่ตัวอำเภอ ครอบครัวที่แสนยิ่งใหญ่มีจำนวนน้อยลง อีกทั้งยังมีความรู้สึกไม่คุ้นชินด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหลียงซิ่วและคุณย่าซู พวกเราไม่ได้รวมตัวกันเลยสักนิด ทำไมต้องแยกกันด้วยนะ?

คนทั้งสองนอนไม่หลับมาสองคืนแล้ว

ในวันที่มาขึ้นรถไฟเช้าวันถัดมา ใต้ตาของสองแม่ลูกสะใภ้มีรอยดำคล้ำ

ถึงจะมาด้วยกันแต่ไม่ได้ไปด้วยกัน

ครอบครัวเถาฮวา เหลียงซิ่ว พ่อสามีแม่สามี พาเด็ก ๆ กลับเมืองหลวง เราขึ้นรถไฟสิบโมงกว่า ๆ โดยมีครอบครัวจื่ออัน พวกเด็ก ๆ และเหล่าซานมาช่วยกันส่งเราขึ้นรถไฟ

หลังจากรถเคลื่อนขบวนต้องรออีกสี่สิบนาทีกว่าจะไปทางใต้

เสี่ยวเถียนที่ควรกลับเมืองหลวง เปลี่ยนเส้นทางไปทางใต้แทนเพราะอยากรู้ว่าบ้านเมืองที่เพิ่งเปิดจะเป็นยังไงบ้าง

ไม่มีความคิดอื่นใดนอกจากอยากรู้

ด้วยความรักหลานไม่มีการห้ามอะไรอยู่แล้ว

เสี่ยวเถียนอยากจะไป พ่อก็เลยอาสาไปกับลูกด้วย

คนกลุ่มนี้ล้วนตื่นเต้นกันมาก เราไม่เคยไปทางใต้มาก่อนเลยและก็ต้องแปลกใจที่อากาศร้อนขึ้นทุกที

หน้าหนาวแท้ ๆ ทำไมอากาศกลับยิ่งร้อนนะ?

หรือเรากำลังเปลี่ยนจากฤดูหนาวเป็นฤดูร้อน?

ในตอนที่ใส่เสื้อคลุมผ้าฝ้ายไม่ไหว รถไฟเกือบจะถึงชานชาลา

เป็นเวลาสามวันสองคืนที่เราอยู่บนนี้