บทที่ 436 สารภาพ
เมื่อครั้งที่องค์หญิงตัดสินใจรับเลี้ยงเขา ตอนนั้นเขายังเป็นทารกน้อยในห่อผ้า ย่อมไม่รู้เรื่องอะไร ซึ่งนางได้เล่าให้เขาฟังอีกทีในภายหลัง
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง” กู้เจียวเอ่ย “แล้ว เซวียนผิงโหวรู้เรื่องนี้หรือไม่”
เซียวลิ่วหลังเหม่ออยู่พักหนึ่งก่อนตอบ “รู้สิ ก็ตั้งแต่ตอนนั้นองค์หญิงเลยเข้าใจผิดคิดว่าบ่าวคนนั้นกับลูกของนางถูกโจรฆ่าตาย นางเพิ่งจะมารู้ความจริงก็เมื่อสี่ปีก่อนว่าที่ผ่านมาตัวเองเลี้ยงดูบุตรของผู้ที่เป็นฆาตกรตัวจริงมาตลอดสิบสี่ปี”
หลังจากรู้เรื่องทั้งหมด ร่างกายและจิตใจขององค์หญิงซิ่นหยางก็เริ่มพังทลายลง
นางไม่มีวันลืมลูกชายของตัวเอง และไม่เคยมองว่าเซียวลิ่วหลังเป็นตัวแทนลูกชายที่ตายไป แต่เลี้ยงดูเขาราวกับเป็นลูกชายคนที่สอง
องค์หญิงใช้แรงกายแรงใจทั้งหมดที่มีคอยบ่มเพาะเลี้ยงดูและสั่งสอนเขา จนกลายมาเป็นท่านโหวน้อยอันเลื่องชื่อของแคว้นเจา
และเพราะเหตุนี้ นางถึงได้ใจแตกสลาย
ในเมื่อบ่าวนางนั้นตาย สิ่งที่นางทำได้คือฆ่าเขาเสีย!
นี่เป็นความคิดอันชั่วร้ายที่วนอยู่ในด้านมืดของนาง
“ข้าเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่อง” เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง
ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ไม่รู้ว่าภายในใจของเขาเป็นเช่นนั้นหรือไม่
กู้เจียวนิ่งเงียบไป ก่อนจะถามต่อ “เช่นนั้น เหตุการณ์เพลิงไหม้เมื่อสี่ปีก่อน…”
เซียวลิ่วหลังพยักหน้า “นางอยากฆ่าข้า อยากให้เราสองแม่ลูกตายไปด้วยกัน เพียงแต่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น คนที่ถูกไฟคลอกตายกลับไม่ใช่ข้า ส่วนนางเองก็ถูกหลงอีช่วยไว้”
เหตุไม่คาดฝันที่ว่านั้นเขาไม่ได้อธิบายอะไร แต่กู้เจียวมองว่าต้องเกี่ยวข้องกับเซียวลิ่วหลังตัวจริงแน่นอน
เขาเคยบอกกับนางไว้ว่า เขาอาจจะไม่ใช่คนที่นางรู้จัก ตอนแรกกู้เจียวก็นึกว่าเขาจะหมายถึงเซียวลิ่วหลัง ที่แท้ เขากำลังพูดถึงเซียวเหิงอยู่
“บางครั้งข้าก็คิดนะ เหตุใดคนที่ตายถึงไม่ใช่ข้า ทำไมข้าถึงยังมีชีวิตอยู่ กี่ชีวิตที่ต้อง…สูญเสียไป คนอย่างข้า…คนสกปรก ไร้ซึ่งความเป็นคนอย่างข้า! ” เซียวลิ่วหลังพูดระบายความเจ็บปวดอันยิ่งใหญ่ในใจของเขา
กู้เจียวดึงมือของเขามากุม
“สามีของข้า เจ้าไม่สกปรกนะ”
“แล้วก็ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดเจ้า”
พอตกกลางคืน อากาศเริ่มหนาวเย็น
เหล่าบ้านเรือนที่อยู่ตามถนนเริ่มเงียบสงัด
หลังจากที่องค์หญิงซิ่นหยางตื่นขึ้น อวี้จิ่นเข้ามาในห้องพร้อมกาน้ำร้อน “องค์หญิงรู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ”
องค์หญิงลุกขึ้นนั่งบนเตียงพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบา “นี่ข้าเป็นลมอีกแล้วหรือ”
“ใช่แล้วเพคะ โชคยังดีที่ทรงล้มบนเตียงพอดี ไม่อย่างนั้นล่ะแย่แน่เลยเพคะ” อวี้จิ่นเอ่ยด้วยความกังวล
มีอยู่ครั้งหนึ่ง องค์หญิงเคยเป็นลมหมดสติที่ทะเลสาบ เป็นจังหวะที่หลงอีไม่อยู่พอดี อวี้จิ่นรั้งร่างขององค์หญิงไว้ไม่ไหว ท้ายที่สุดทั้งคู่เลยตกลงไปในทะเลสาบพร้อมกัน
องค์หญิงก้มลงดูรอยเข็มที่บริเวณข้อพับ เลยรู้ในทันทีว่ากู้เจียวมาที่นี่แล้ว “นางเอาของแปลกๆ มาใช้อีกแล้วสินะ”
อวี้จิ่นหัวเราะ “ต้องยกความดีความชอบให้ท่านหมอกู้เลยนะเพคะ”
“ไม่รู้ว่านางไปร่ำเรียนวิชาแปลกๆ แบบนั้นมาจากที่ไหน” องค์หญิงบ่นพึมพำ
หลังจากที่อวี้จิ่นล้างหน้าให้องค์หญิงเสร็จ ก็จัดแจงเตรียมยาที่กู้เจียวจ่ายไว้ให้พร้อมกับน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว “ท่านหมอกู้บอกว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพระองค์จะต้องเสวยยาประเภทนี้เพิ่มไปด้วยเพคะ”
“อืม” องค์หญิงไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธ อย่างน้อยยานั้นก็ไม่มีรสขม
หลังจากถวายโอสถเสร็จ ท้องก็เริ่มหิว
อวี้จิ่นถือถาดข้าวต้มพร้อมกับของว่างจากนั้นวางไว้ที่เตียง “ท่านหมอกำชับว่าช่วงนี้พระองค์ต้องเสวยอาหารอ่อนเท่านั้น ก็เลยให้หม่อมฉันทำข้าวต้มเจ้าค่ะ”
องค์หญิงตักข้าวต้มขึ้นมาหนึ่งช้อน “อะไรๆ ก็ท่านหมอกู้ นี่เจ้าไปหลงเสน่ห์อะไรนางเข้าแล้วอย่างนั้นหรือ”
อวี้จิ่นหัวเราะแล้วนั่งลงข้างเตียง
องค์หญิงเสวยไปได้ไม่กี่คำก็วางมือลง เพราะทรงไม่มีความอยากอาหารแต่อย่างใด
“เสวยอีกนิดสิเพคะ” อี้จิ่นพยายามเอ่ยเตือน
“ไม่เอาแล้ว” องค์หญิงเบือนหน้าหนี
อวี้จิ่นคะยั้นคะยอเอาชามเข้าไปใกล้ๆ พระองค์ “อีกซักห้าคำนะเพคะ”
“…เฮ้อ เจ้านี่นะ”
องค์หญิงซิ่นยางจึงต้องจำใจเสวยต่อ
หลังจากเสร็จมื้ออาหาร พอเห็นว่าอวี้จิ่นยังคงไม่ไปไหน องค์หญิงจึงเกิดสงสัย “ยังมีอะไรอีกรึ ถึงยังไม่ออกไป”
อวี้จิ่นลังเลอยู่นานสองนาน ก่อนจะตัดสินใจรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถามออกไป “คือว่า องค์หญิง…ทรงรังเกียจท่านโหวน้อยขนาดนั้นเลยหรือเพคะ”
“เหตุใดเจ้าเอ่ยถึงเขา” องค์หญิงเอ่ยถามสีหน้านิ่งเรียบ
“ก็ตั้งแต่องค์หญิงเสด็จออกจากโรงหมอ ก็ทรงอารมณ์ไม่ปกติเลยเพคะ ในเมื่อพระองค์ก็เห็นแล้วว่าเขามีชีวิตอยู่ในสภาพแบบนั้น แย่เสียยิ่งกว่าตาย หากพระองค์ทรงชังเขาจริง ป่านนี้พระองค์คงมีความสุขมากๆ ไม่ใช่หรือเพคะ แต่พระองค์กลับทรุดกว่าเดิมแล้วเป็นลมไป ที่จริง…พระองค์ก็ยังเอ็นดูท่านโหวน้อยยู่ใช่ไหมเพคะ”
“เจ้านี่พูดจาไร้สาระอีกแล้วนะ” องค์หญิงเอ่ยพลางเอามือคว้าช้อนแล้วตักข้าวต้มเข้าปากโดยไม่รู้ตัว
อวี้จิ่นดูแลนางมานานนับหลายปี มีหรือจะไม่รู้อุปนิสัยของนาง ที่ทรงตักของกินแต่ปากบอกไม่กินเช่นนี้ หมายความว่า อวี้จิ่นทายความในใจของนางได้ถูกเผ็งสินะ
อวี้จิ่นเอ่ยต่อ “หม่อมฉันมิได้พูดไร้สาระนะเพคะ เหตุการณ์เพลิงไหม้ในวันนั้นท่านมิได้เป็นผู้ก่อ เพราะท่านดันเกิดใจอ่อนขึ้นมาก่อน ที่จริงภายในใจของท่านยังตัดขาดความเป็นแม่ลูกกับท่านโหวน้อยมิได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ใยยังทรงไม่ยอมรับท่านโหวน้อยอีกเล่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนมิใช่ความผิดของเขาเลยสักนิด เขาเป็นแค่เด็กน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งไม่ใช่ความผิดของท่ายด้วยเพคะ ทรงอย่าได้ทรมานท่านโหวน้อยอีกเลย รวมถึงตัวท่านเองด้วยเพคะ! ”
สีหน้าขององค์หญิงซิ่นหยางเต็มไปด้วยความสับสนว้าวุ่น
นางพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็นิ่งไป จากนั้นก็วางช้อนลงแล้วเอ่ย “เหตุเพลิงครั้งนั้นมีใครบางคนอยู่เบื้องหลัง แต่ไม่ว่าข้าจะตามสืบอย่างไรก็หาไม่เจอว่าเป็นผู้ใด อีกทั้ง…”
“อีกทั้งอะไรหรือเพคะ”
องค์หญิงซิ่นหยางถอนหายใจหนึ่งที พลางลดเสียงให้ต่ำลง “ช่างเถอะ ไม่มีอะไร”
หลังจากพาคนไปส่งที่ตรอกปี้สุ่ยเสร็จ เสี่ยวซานก็รีบเร่งรถม้ากลับไปยังโรงหมอ
กู้เจียวอุ้มจิ้งคงน้อยที่กำลังหลับปุ๋ยขึ้นมาโดยไม่ทิ้งจังหวะให้เซียวลิ่วหลังเข้ามาห้ามเลยแม้แต่นิด เซียวลิ่วหลังก้มมองดูมือของตัวเองที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผล ก่อนจะมองไปที่ขาข้างขวาอันไร้เรี่ยวแรงของเขา ความรู้สึกไร้ค่าและรังเกียจก็วาบเข้ามาในหัว
เขาเกลียดที่ตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
เนื้อตัวของจิ้งคงเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน กู้เจียวจึงต้องปูผ้ารองบนเตียง แล้ววางเขาลง ก่อนจะเตรียมออกไปต้มน้ำ
“ข้าทำเอง” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
เขาไม่เคยปล่อยให้กู้เจียวเข้ามาอาบน้ำให้เจ้าตัวเล็ก บางครั้งก็เป็นกู้เสี่ยวซุ่นไม่ก็กู้เหยี่ยนมาช่วยอาบให้
“ได้” กู้เจียวใช้เท้าลากเก้าอี้ออกมา แล้ววางขันกับผ้าเช็ดตัวไว้บนนั้น
เซียวลิ่วหลังพลิกร่างเจ้าตัวเล็กไปมา ทั้งเช็ดตัวทั้งใส่เสื้อให้ แต่กระนั้นเจ้าตัวเล็กก็ไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมาเลย
“วันนี้เล่นอะไรมา หืม ถึงได้หมดแรงขนาดนี้” กู้เจียวยืนกอดอกพิงตู้เสื้อผ้า พลางเลิกคิ้วเอ่ยถาม
ก็ไปเล่นเด็ดดอกไม้ขององค์หญิงกับหลงอีมาน่ะสิ
แน่นอนว่าเซียวลิ่วหลังไม่ได้บอกออกไป
หลังจากอาบน้ำให้จิ้งคงเสร็จ เซียวลิ่วหลังเตรียมจะไปเทน้ำ แต่กู้เจียวกลับคว้าขันน้ำไปแล้ว
แน่นอนว่ากิจกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตเท่านั้น แต่หากบ่อยเข้ามันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไป จากความเฉยเมยในตอนแรก ตอนนี้เขาไม่สามารถเพิกเฉยได้อีกต่อไป
เขาไม่เคยสนใจเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองหรือความพิการของเขา เพราะเขามองว่าตัวเองสมควรได้รับมัน
แต่นางล่ะ แล้วนางผิดอะไร ถึงต้องมาเจอกับคนอย่างเขา
ครั้งหนึ่งเขาเคยหลอกตัวเองว่าตราบเท่าที่เขาทำงานหนัก บางทีพวกเขาอาจจะอยู่อย่างสงบสุขได้
แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผยในที่สุด ความลับทั้งหมดของเขาก็ถูกเปิดโปง เขาถึงตระหนักได้ว่าความพยายามทั้งหมดของเขานั้นช่างเปราะบางนัก
เขาเป็นบุตรของบ่าวไพร่ เลือดชั้นต่ำและสกปรกไหลวนในร่างกายเขา การเกิดของเขาเป็นบาป และการอยู่รอดของเขาก็เป็นบาปเช่นกัน เขาเหยียบเถ้ากระดูกพี่น้องของเขา เขาไม่คู่ควรไปสัมผัสสิ่งสวยงามเหล่านั้น
เหมือนที่ท่านโหวกู้พูดไว้ไม่มีผิด เขาไม่คู่ควรกับนาง เขาควรจะอยู่ห่างนางให้มากที่สุด
ขณะที่เซียวลิ่วหลังนั่งอยู่ในห้อง สักพักก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากทางลานนอกเรือน
ดึกขนาดนี้แล้ว นางยังไม่นอนอีกรึ มัวแต่ทำอะไรอยู่นะ
เขาอยากออกไปดู แต่อีกใจก็คิดว่าไม่ควร
ในเมื่อตัดสินใจจะวางมือแล้ว ไม่ว่านางจะทำอะไร ก็ไม่เกี่ยวกับเขาอีกแล้ว
นางยังเด็ก และวันหนึ่ง นางจะเข้าใจว่ามีผู้ชายดีๆ มากมายในโลก และเขาเป็นเพียงคนที่นางไม่ควรพบเจอ
เขาหลับตาลงและพยายามอย่างยิ่งที่จะสงบสติอารมณ์ แต่เขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อเสียงนั่นได้
ช่างปะไร
ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องบอกลาอยู่ดี จะวันไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ
“ว้าว~” เป็นเสียงละเมอของจิ้งคงที่กำลังเตะผ้าห่ม
เซียวลิ่วหลังเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปห่มผ้าให้
จากนั้นเขาเดินออกมานอกห้อง มุ่งหน้าไปยังลานนอกเรือน
แล้วก็เป็นอันต้องตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า
ภายใต้แสงจันทร์และลมหนาว เขาเห็นนางกำลังก้มลงและเหยียบม้านั่งหินเพื่อตัดฟืนเพียงลำพัง
ดูเหมือนนางจะตัวสูงขึ้นกว่าเมื่อสองปีก่อน แต่เรือนร่างของนางยังคงเรียวบางเช่นเดิม
คงเป็นเพราะไม่ต้องการปลุกให้ใครตื่น นางจึงพยายามออกแรงให้เบาที่สุด แต่จริงๆ แล้วการตัดฟืนแบบนี้เป็นอะไรที่กินแรงอย่างมาก
เขาเห็นหยดเหงื่อบนหน้าผากของนาง
เซียวลิ่วหลังเดินเข้าไป และเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้าทำอะไรอยู่”
“ข้าทำให้เจ้าตื่นรึ” กู้เจียวถาม
“เปล่าเลย ข้ายังไม่หลับน่ะ” เซียวลิ่วหลังส่ายหัว
หลังจากนั้นสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่เลื่อยและไม้ในมือนาง
กู้เจียวเบะปาก พลางเอ่ยกับเขา “ข้าเห็นว่าเจ้าทำไม้เท้าอันเก่าหาย ก็เลยจะทำอันใหม่ให้”