ตอนที่ 604 ไป๋ซวงที่ถูกทอดทิ้ง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 604 ไป๋ซวงที่ถูกทอดทิ้ง

หลินเพ่ยบอกกล่าวต่อครอบครัวไป๋ว่าพ่อแม่บุญธรรมของหล่อนปฏิบัติต่อหล่อนเป็นอย่างดี

แต่น่าเสียดายที่คนดีมักอายุสั้น เมื่อห้าปีก่อน พวกเขาทุกคนล้วนประสบอุบัติเหตุและถูกดินโคลนถล่มฝังร่างจนหาศพไม่พบ

เมื่อพูดถึง ‘โศกนาฏกรรม’ ที่เกิดขึ้น หลินเพ่ยก็แสร้งร่ำไห้

แม้จะเกลียดพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมาก แต่หล่อนก็ต้องสร้างบุคลิกที่ดีมีจิตใจเมตตาให้กับตัวเอง ดังนั้นจึงต้องแสร้งชื่นชมพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดว่าเป็นคนใจดีและทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูลูก

เมื่อได้ยินหล่อนกล่าวเช่นนั้น พ่อไป๋และแม่ไป๋ต่างก็พูดไม่ออก พวกเขาไม่สามารถช่วยอะไรได้ในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่เอะใจเมื่อหล่อนบอกว่าพ่อแม่บุญธรรมเป็นคนดี

แม่ไป๋น้ำตาไหลและถามด้วยเสียงสะอื้น “พ่อแม่บุญธรรมของหนูเสียไปเมื่อห้าปีที่แล้ว ตอนนั้นหนูอายุแค่สิบสามปี แล้วหนูรอดมาได้ยังไง?”

หลินเพ่ยยิ้มอย่างเขินอายพร้อมกระซิบ “หนูรอดมาได้จากการเป็นขอทานค่ะ”

หล่อนไม่สามารถพูดออกมาได้ว่าเติบโตในบ้านตระกูลหวัง

เพราะไม่อย่างนั้นพ่อและแม่ไป๋จะต้องเดินทางไปยังบ้านตระกูลหวังและกล่าวขอบคุณพวกเขา หากทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น แผนการก็จะล้มเหลวใช่หรือไม่?

เนื่องจากหล่อนบอกว่าตนเติบโตมาจากการเป็นขอทาน คำพูดเหล่านั้นจึงทำให้พ่อและแม่ไป๋รู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก

กุญแจสำคัญคือการลบเส้นทางการเติบโตที่แท้จริงของหล่อน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านไปได้

แม่ไป๋ร่ำไห้จนแทบขาดใจด้วยความสงสาร

หลังมื้ออาหารเย็น พวกเขาจึงพาหล่อนไปซื้อเสื้อผ้า

ลูกสาวคนเล็กของพวกเขางดงามเป็นอย่างมาก การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าทรุดโทรมไม่เพียงทำให้ความงามของหล่อนหม่นหมองลง แต่ยังทำให้คุณพ่อไป๋รู้สึกเศร้าโศกด้วย

พ่อไป๋บอกให้แม่ไป๋ซื้อเสื้อผ้าเพิ่มให้หลินเพ่ย โดยไม่หวั่งเกรงเรื่องเงิน

ไป๋ลู่และไป๋ซวงเดินเล่นด้วยกันอย่างมีความสุข

เมื่อทุกคนมาถึงห้างสรรพสินค้า ไป่ลู่ดึงหลินเพ่ยตรงไปยังร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่วอย่างสนิทสนม ก่อนจะกล่าวต่อแม่ไป๋ซึ่งอยู่ด้านข้าง “แม่คะ ไปซื้อเสื้อผ้าร้านจิ่นซิ่วให้น้องสาวหนูกันเถอะ เสื้อผ้าร้านจิ่นซิ่วสวย ๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ น้องสาวของหนูจะต้องดูดีแน่! ”

เสื้อผ้าร้านนี้สวยงามและเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ แต่ก็มีราคาแพงมากเช่นกัน

แม่ไป๋ตอบกลับด้วยใบหน้าเปี่ยมความอารี

ไป๋ซวงไม่พูดอะไรและเดินตามพวกเขาไปอย่างเงียบงัน

เมื่อพวกเขามาถึงร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่ว แม่ไป๋และไป๋ลู่ต่างก็เลือกเสื้อผ้าใหม่ให้กับหลินเพ่ย ในขณะที่ไป๋ซวงผู้เป็นดังอัญมณีในตระกูลไป๋ถูกทิ้งไว้ท่ามกลางความเหน็บหนาวเปล่าเปลี่ยว

ไป๋ซวงรู้สึกทุกข์ระทมอย่างมากอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออก จึงทำได้เพียงเลือกเสื้อผ้าให้ตัวเองด้วยสีหน้าบึ้งตึง

หลังจากเลือกอยู่นาน ในที่สุดหล่อนก็เลือกชุดและกระโปรงให้กับตัวเอง

หล่อนหยิบกระโปรงสองตัวและเดินไปหาแม่ไป๋

ก่อนที่หล่อนจะทันพูดอะไร แม่ไป๋ก็คว้ากระโปรงสองตัวไว้ในมือแล้วพูดอย่างยินดี “ลูกเลือกให้ม่ายจื่อเหรอ? ตาถึงจริง ๆ สวยมาก!”

จากนั้นหล่อนก็เปรียบเทียบกระโปรงทั้งสองตัวบนหลินเพ่ย

สีหน้าของไป๋ซวงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “แม่…กระโปรงสองตัวนั้น หนูเลือกให้ตัวเอง”

แม่ไป๋ไม่แม้แต่จะมองมายังไป๋ซวง เพราะความสนใจทั้งหมดของหล่อนอยู่ที่หลินเพ่ยแล้ว “ลูกมีเสื้อผ้าเพียงพอแล้ว คราวนี้แม่จะซื้อให้ม่ายจื่อก่อน แล้วคราวหน้าลูกค่อยมาซื้อนะ”

ไป๋ซวงไม่พูดอะไร ทำได้เพียงกัดริมฝีปากอย่างขมขื่น

ก่อนที่ลูกสาวผู้พลัดพรากของตระกูลไป๋จะเดินทางมาที่นี่ ทุกคนในตระกูลไป๋ล้วนปฏิบัติต่อหล่อนเป็นอย่างดี

ไม่เกี่ยวว่าพวกเขาจะรู้สึกดีใจที่สามารถตามหาทายาทของตระกูลไป๋พบ เพราะหล่อนเองก็เป็นเจ้าหญิงน้อยตระกูลไป๋เช่นเดียวกัน

ในเวลานี้หล่อนรู้สึกสะเทือนใจจนแทบน้ำตาไหล ทุกคนปฏิบัติต่อหล่อนราวกับไม่มีตัวตนและกำลังทอดทิ้งหล่อนอย่างไร้ค่า

พวกเขาซื้อเสื้อผ้าใหม่มากมายให้กับหลินเพ่ย และทุกตัวล้วนมาจากร้านจิ่นซิ่ว

แม่ไป๋พาหล่อนไปตัดผมที่ร้านตัดผม

เมื่อกลับถึงบ้านก็จัดแจงให้พี่เลี้ยงต้มน้ำให้หล่อนอาบ

หลินเพ่ยเดินออกมาด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ หล่อนดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั้งดูสดใสและมีเสน่ห์

แม่ไป๋มองหล่อนอย่างเคลิบเคลิ้ม กวักมือเรียกให้มานั่งเคียงข้าง

แม่ไป๋ถามหล่อนถึงเรื่องการเรียน เพราะหากอ่านไม่ออกหรือเขียนไม่ได้ หล่อนจะว่าจ้างครูมาสอนลูกสาว

ตระกูลไป๋เป็นตระกูลบัณฑิตมาหลายชั่วอายุคน หากลูกสาวของตระกูลไป๋ไม่รู้หนังสือ หล่อนจะถูกหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน

ก่อนที่หลินเพ่ยจะพูดอะไร ไป๋ลู่ก็แทรกขึ้นทันที “แน่นอนว่าหล่อนอ่านออกเขียนได้ เพราะหากอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ หล่อนจะทิ้งที่อยู่ไว้ให้หนูบนรถไฟได้ยังไง?”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จู่ ๆ ไป๋ลู่ก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงขมวดคิ้วและพูดกับหลินเพ่ย “ฉันจำได้ว่าเธอรู้ภาษาอังกฤษด้วย เธอใช้ภาษาอังกฤษตอนที่ช่วยฉันไว้ เธอบอกว่าเธอเป็นขอทานหาเลี้ยงชีพใช่ไหม? แล้วเธอรู้ภาษาอังกฤษได้ยังไง?”

หัวใจของหลินเพ่ยดิ่งวูบลงทันที เป็นไปได้ไหมว่าหล่อนเปิดเผยความลับเร็วเกินไป?

หล่อนจึงแถกลับ “ฉันเคยอาศัยอยู่ในโบสถ์คริสต์ในเจียงเฉิงช่วงหนึ่ง และนักบวชต่างชาติปฏิบัติต่อฉันเป็นอย่างดี ให้อาหาร และสอนภาษาอังกฤษให้ฉัน ดังนั้นฉันจึงรู้ประโยคง่าย ๆ สองสามประโยคในภาษาอังกฤษ แต่ก็รู้ไม่มากนัก”

ไป๋ลู่พยักหน้า ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่หล่อนจะได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความคิดของหล่อนก็ถูกแม่ไป๋ขัดจังหวะ

แม่ไป๋รู้สึกประหลาดใจ “ลูกสาวตระกูลไป๋ของเราฉลาดเฉลียวถึงขนาดนั้นเลยเหรอ? รู้ภาษาอังกฤษเสียด้วย แล้วเข้าใจไวยากรณ์จีนและคณิตศาสตร์ไหม?”

หลินเพ่ยกล่าวด้วยความเขินอาย “ถึงหนูจะใช้ชีวิตเป็นขอทาน แต่ก็ไม่เคยละทิ้งการเรียน ทุกครั้งที่มีโอกาสได้ไปโรงเรียน หนูจะยืนอยู่ข้างหน้าต่างและตั้งใจฟังสิ่งที่ครูสอน แม้จะถูกขับไล่ก็ไม่ไปไหน หากเทียบกันแล้ว ความรู้ของหนูในตอนนี้เทียบได้กับระดับมัธยมต้นน่ะค่ะ”

เมื่อเห็นว่าหลินเพ่ยฝักใฝ่ในด้านการเรียนแม้จะต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก แม่ไป๋ก็รู้สึกประทับใจและชื่นชมหล่อนเป็นอย่างมาก

หล่อนวางแผนที่จะให้ลูกสาวได้พักผ่อนสักหนึ่งถึงสองเดือน จากนั้นจึงจะขอให้ปู่และย่าของหล่อนช่วยฝากให้ทำงานในสถาบันของรัฐ

งานเบา เงินเดือนหนัก ความกดดันน้อย เหมาะกับหญิงสาวผู้อ่อนโยนอย่างหล่อน

ในยุคนี้ นักเรียนมัธยมต้นไม่ถือว่าไม่รู้หนังสือและสามารถทำงานในสถาบันของรัฐได้

หลินเพ่ยแอบดีใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้

ตอนนี้หล่อนเป็นลูกสาวคนสุดท้องของตระกูลไป๋ หากมีงานให้ทำ หล่อนก็จะมีเงินมาก และยิ่งไปกว่านั้น โอกาสที่จะได้แต่งงานกับชายผู้ร่ำรวยก็เพิ่มมากขึ้นด้วย

ในวันเดียวกัน พ่อไป๋ได้แจ้งให้ปู่ ย่า และญาติใกล้ชิดคนอื่น ๆ ทราบว่าลูกสาวคนเล็กของพวกเขากลับมาแล้ว

ญาติเหล่านั้นดีใจแทนพวกเขามากเมื่อรู้ว่า ลูกสาวตัวน้อยที่พลัดพรากจากกันมานานหลายปีกลับมาหาพวกเขา

ในวันเดียวกัน หลายคนต่างเดินทางมาเยี่ยมเยียนหลินเพ่ย หล่อนดูเหมือนแม่ไป๋ทุกประการจนไม่มีใครสงสัยว่าหล่อนเป็นตัวปลอม

ญาติหลายคนมอบอั่งเปาซองใบใหญ่ให้หลินเพ่ย และแนะนำว่าพ่อและแม่ไป๋ควรจัดงานเลี้ยงต้อนรับหล่อน โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้หลินเพ่ยได้พบปะกับครอบครัวและญาติมิตรเพื่อจดจำบรรพบุรุษของตน พร้อมแนะนำให้เธอได้รู้จักกับคนหนุ่มสาวในแวดวงเดียวกัน

เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของหลินเพ่ยก็เต้นรัวด้วยความตื่นเต้น

แม้ชนชั้นของตระกูลไป๋จะไม่ใช่ชนชั้นสูงในเมืองหลวง แต่ก็เกินเอื้อมสำหรับคนธรรมดา

แม้คนในแวดวงสังคมของพวกเขาจะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือบุคคลสำคัญ แต่พวกเขาก็ล้วนเป็นบุคคลมีอำนาจ

สิ่งเดียวที่หล่อนเป็นกังวลในตอนนี้คือ หากเข้าสู่สังคมของคนเหล่านั้นแล้วจะตามคนรวยพวกนั้นทันหรือไม่?

หล่อนวางแผนจับผู้ชายรวยมาโดยตลอดเพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น

พ่อไป๋ แม่ไป๋ ปู่และย่าไป๋ต่างพูดคุยกันและตัดสินใจตกลงจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของหล่อนในอีกสามวันข้างหน้า เพื่อให้หลินเพ่ยได้ทำความรู้จักกับญาติมิตรของตน

ด้วยเหตุนี้ แม่ไป๋จึงซื้อสร้อยคอทองคำให้หลินเพ่ย และขอให้หล่อนสวมมันในวันจัดงานเลี้ยงต้อนรับ

ลูกสาวของตระกูลไป๋ต้องงดงามกว่าใคร

ในคืนแรกของการพบปะญาติมิตร พ่อไป๋และแม่ไป๋รวมถึงญาติสนิทบางส่วนต่างไปรวมตัวกันเพื่อพูดคุยและเตรียมการขั้นสุดท้ายสำหรับการจัดงานเลี้ยงต้อนรับ

ไป๋ลู่และไป๋ซวงทำได้เพียงเฝ้าดู

หลินเพ่ยเองก็ต้องการเห็นและรับรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เป็นเพราะหล่อนเกรงกลัวว่าพ่อและแม่ไป๋จะมองหล่อนในทางไม่ดี

แม้หล่อนจะมาอยู่ที่บ้านตระกูลไป๋ได้ไม่กี่วัน แต่หล่อนก็ค้นพบแล้วว่าพ่อไป๋และแม่ไป๋ชื่นชอบลูกสาวที่เรียบร้อยว่านอนสอนง่าย

ไม่น่าแปลกใจที่ไป๋ซวงนั้นสุขุมและเชื่อฟัง แต่เมื่อออกจากบ้านของตระกูลไป๋ หล่อนกลับดูแตกต่างจากเดิมลิบลับ

หลินเพ่ยนั่งดูข่าวอยู่บนโซฟาคนเดียว

หลังจากดูข่าวไปครู่หนึ่ง ข่าวประจำมณฑลหูเป่ยก็ออกอากาศ

หลินเพ่ยเหม่อลอยครู่หนึ่ง จ้องมองทีวีอย่างตั้งใจ

หล่อนมาจากมณฑลหูเป่ย ดังนั้นจึงสนใจข่าวของมณฑลนี้เป็นธรรมดา

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ข่าวที่ออกอากาศ หล่อนก็กลัวจนเกือบจะเสียสติ รีบปิดทีวีทันทีโดยสัญชาตญาณ

ทันทีที่ปิดทีวี มือปริศนาก็พลันเหยียดออกไปและกดเปิดทีวีอีกครั้งก่อนจะต่อว่า “เธอปิดทีวีทำไม? ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าครอบครัวของเราชอบดูข่าวมาก”

แน่นอนว่าเจ้าของน้ำเสียงนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไป๋ลู่

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

น่าน จะโป๊ะแล้วไหมยัยเพ่ย อย่าลืมว่าตอนนี้น้องสาวจ้องจะเล่นเธออยู่นะ เชื่อว่าถ้าล้มมาปุ๊บ ยัยไป๋ซวงต้องแทงพี่ซ้ำแน่นอน

ไหหม่า(海馬)