บทที่ 606 เว่ยฉิงและกู้หวนจิ่นถูกขัง

หลังจากที่ลำแสงสีดำลอยหายไป รูปลักษณ์ของจินเซ่อที่นอนอยู่บนเตียงก็มีการเปลี่ยนแปลง นางดูเหมือนจูชุนเจียวที่ถูกประหารชีวิตโดยการตัดศีรษะทุกประการ จินเซ่อที่กำลังนอนอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าฝันร้ายของนางเพิ่งจะเริ่มต้น

จวนอู่โหว

ถังหลี่กำลังนอนหลับสนิท นางถูกดึงให้จมไปในห้วงฝัน ชายหนุ่มในชุดสีขาวปรากฎตัวขึ้น เขาดูมีความสุขมาก หมุนตัวไปรอบๆ ถังหลี่อย่างตื่นเต้น

“ลูกสาว ข่าวดี ข่าวดี!”

ลูกสาว?

ถังหลี่หรี่ตามองไปที่ลิขิตสวรรค์อย่างคุกคาม นางเป็นผู้อาวุโสของสกุลหลี่ เขายังคิดจะเป็นบิดาของนางอยู่อีกหรือ?

ชายหนุ่มในชุดขาวเปลี่ยนคำพูดทันที

“ถังถัง ข้าไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเขาอีกต่อไปแล้ว!”

“เทียนเต๋าที่อยู่กับจินเซ่อน่ะหรือ?” ถังหลี่ถาม เขาพยักหน้าทันที

“ใช่แล้ว เขากับข้าเหมือนกับขั้วที่แตกต่างกัน ขาวกับดำ ถึงจะไม่ได้พบเจอกันแต่ข้าสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเขา แต่ตอนนี้ข้าไม่รู้สึกถึงเขาอีกต่อไปแล้ว เขาหายไป!”

“ฮ่าวตุ้นและจินเซ่อถูกจ้าวชูจับได้ ข้าสงสัยว่าลิขิตสวรรค์พลังลดน้อยลงมาก เมื่อฮ่าวตุ้นเสียชีวิตลงทำให้เป้าหมายของจินเซ่อหายไป อาจจะเพราะโชคนางหมดลง เทียนเต๋าที่ปกป้องนางจึงได้ดับสูญไปก็เป็นได้ ” ถังหลี่วิเคราะห์

ชายหนุ่มในชุดขาวพยักหน้าช้าๆ

เขาจ้องมองถังหลี่ รู้สึกว่าวิสัยทัศน์ของตนเองช่างดีเยี่ยม เขาเลือกได้ถูกต้องแล้ว ลูกสาวของเขาคนนี้ฉลาด เด็ดเดี่ยว แน่วแน่ นางจัดการเรื่องต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ดวงวิญญาณที่โกงความตายคนนั้นฝืนชะตามาก่อกรรมชั่ว ในที่สุดตอนนี้ก็ไร้ความสามารถที่จะกระทำความชั่วได้อีกต่อไป

เมื่อรู้ว่าจินเซ่อพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์และไม่มีทางกลับมาได้ ถังหลี่รู้สึกว่าการนอนหลับของนางในวันนี้ช่างหวานหอมเป็นพิเศษ

วันถัดมา

เมื่อถังหลี่ตื่นขึ้นมา ข้างกายที่ว่างเปล่าทำให้หัวใจวูบโหวง สามีจากไปกว่ายี่สิบวันแล้ว ทำให้นางคิดถึงเขาเป็นอย่างมาก นางลุกขึ้นเปิดหน้าต่างมองไปทางทิศใต้ ห่างออกไปหลายพันลี้ แคว้นต้าฉี..สามีของนางอยู่ที่นั่น

…..

อิงเฉิงเป็นเมืองหลวงของต้าฉีตั้งอยู่ที่ดินแดนทางตอนใต้ ไม่มีฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงมีเพียงฤดูหนาวและฤดูร้อนเท่านั้น ฤดูร้อนของต้าฉียาวนาน ฤดูหนาวก็แสนสั้น บ้านในอิงเฉิงสร้างเป็นแถวยาวต่อกัน ทุกหลังมีผนังสีแดงและกระเบื้องสีดำ ยามที่โดนแสงตะวันจ้า ดูประหนึ่งจะแผดเผาจนไหม้ได้

ผู้คนที่เดินขวักไขว่ในท้องถนนล้วนสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อบางๆ พวกเขาดูเร่งรีบ แม้แต่รถม้าก็ยังขับกันอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าหากช้าเกินไปความร้อนจะเผาพวกเขาจนไหม้เกรียม บ้านทุกหลังเปิดหน้าต่างไว้แต่ในห้องยังคงร้อนระอุ

ในเรือนรับรองหลังหนึ่งมีบุรุษสองคนนั่งเล่นหมากกระดานอยู่ด้วยกัน พวกเขาหน้าตาดีทั้งคู่แต่ดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บุรุษหนึ่งมีโครงหน้าชัด เบ้าตาลึก ร่างกายสูงใหญ่แข็งแรง เสื้อผ้าเนื้อบางทำให้เห็นโครงร่างที่ล่ำสันสมชายชาตรี

ส่วนอีกผู้หนึ่งเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้านุ่มนวลประณีต ดวงตาดอกท้อดูไม่แข็งกร้าวเท่ากับอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม เขาดูอ่อนโยนกว่า พวกเขาคือเว่ยฉิงและกู้หวนจิ่น รูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาของทั้งสองคนถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อที่ไหลจนท่วมกาย

เว่ยฉิงเช็ดเหงื่อออกพร้อมหยิบหมากรุกขึ้นมาวาง แต่ถูกกู้หวนจิ่นทักขึ้น

“น้องเขย ข้าว่าเจ้าอยู่ตรงนี้ดีกว่า” กู้หวนจิ่นชี้ไปที่ตำแหน่งหนึ่ง เว่ยฉิงเหลือบมองไปที่ฝ่ายตรงข้าม

“ยามดูห้ามพูด ยามเล่นห้ามเจรจา”

กู้หวนจิ่นนิ่งอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก

“หากข้าไม่พูดแล้วปล่อยท่านเล่นต่อไป ข้าจะเอาชนะท่านได้อย่างง่ายดายนะ ข้าไม่เคยเห็นใครเล่นหมากแบบนี้เลย”กู้หวนจิ่นเก่งหมากกระดาน ทว่าทักษะการเล่นของเว่ยฉิงนั้น…ทุกครั้งที่เล่น ตอนจบจะเลวร้ายเสมอ เขาจึงต้องเตือนเว่ยฉิงบ่อยครั้ง

“ประสบการณ์ในการเล่นของข้าอาจจะดีกว่ามือซ้ายขวาของเจ้า” เว่ยฉิงพูดอย่างจริงใจ

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี เพราะข้าแทบไม่เหลือมือให้เช็ดเหงื่อแล้ว”

“….” เขาต้องทำให้หน้าที่เป็นมือให้คนผู้นี้ด้วยหรือ?

“ท่านคิดว่าเจ้าเมืองจะขังพวกเราอีกนานเพียงใด?”

เว่ยฉิงส่ายหน้า พวกเขาสองคนมาถึงเมืองอิงเฉิงเมื่อหกวันก่อน ทั้งคู่เข้ามาในเมืองในฐานะพ่อค้า พวกเขาพยายามจะเข้าพบองค์ชายแปดผู้ไม่สนับสนุนการผูกสัมพันธไมตรี หวังจะเกลี้ยกล่อมให้องค์ชายแปดพาพวกเขาเข้าเฝ้าฮ่องเต้

เมื่อพวกเขาเกลี้ยกล่อมได้ ทั้งสองจึงได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ กู้หวนจิ่นพูดจาฉะฉาน เขาวิเคราะห์ทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ฮ่องเต้ของต้าฉียังทรงพระเยาว์ จึงไม่คล้อยตามคำพูดของพวกเขา ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะพูดคุยกันจบ มีคนรีบมาเชิญทั้งสองอย่างสุภาพไปที่จวนรับรองโดยกล่าวว่าพวกเขาเดินทางมาเป็นเวลานาน คงจะเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า ดังนั้นจึงอยากให้พวกเขาได้พักผ่อน ถึงจะพูดว่าเป็นการพักผ่อน แต่ความจริงแล้วคือพาพวกเขาไปกักบริเวณเอาไว้

ผู้ที่ส่งยามมาเฝ้าพวกเขาคือเซี่ยซิ่วอัครเสนาบดีของแคว้นฉีที่สนับสนุนให้ผูกพันธมิตรและต่อต้านต้าโจว

ต้าฉีและต้าโจวล้วนแตกต่างกัน อำนาจของราชวงศ์โจวมีความเข้มข้นมากในขณะที่ต้าฉีมีตระกูลขุนนางถ่วงดุลมากมาย เหตุที่ต้าฉีเป็นเช่นนี้ก็คงต้องย้อนกลับไปเมื่อสองร้อยปีก่อน ที่บนแผ่นดินนี้มีเพียงแคว้นต้าฉีเพียงแคว้นเดียวเท่านั้น

แต่เดิม แคว้นต้าฉีมีชื่อว่าเฉียนฉี ในปีสุดท้ายของอดีตราชวงศ์ฉี แผ่นดินตกอยู่ในความโกลาหล บรรดาผู้กล้าต่างลุกฮือขึ้นมาขับไล่ ราชวงศ์ฉีจึงได้อพยพไปตั้งรกรากทางใต้ ส่วนทางตอนเหนือก็ถูกปกครองด้วยสองแคว้นคือฉู่และเหลียง

หลังจากผ่านไปหลายร้อยปี แผ่นดินของแคว้นฉู่ได้เกิดแห้งแล้งขึ้นมา ทว่าต้าเหลียงยังคงอุดมสมบูรณ์ แต่กลับเต็มไปด้วยสงครามและการแก่งแย่งชิงดีกัน ร้อยปีผ่านไปราชวงศ์เหลียงจึงได้ล่มสลายลง ราชวงศ์โจวจึงได้ก่อตั้งขึ้นมา

ต้าฉียังคงเป็นต้าฉีดั่งเช่นในอดีต ตระกูลชนชั้นสูงต่างเกี่ยวเนื่องพัวพันกันไปมา ทำให้ตระกูลขุนนางเหล่านี้มีอำนาจแข่งขันกับราชวงศ์ได้ ทุกวันนี้แม้ว่าเหล่าขุนนางจะยินยอมมอบอำนาจให้แก่ราชวงศ์แล้ว แต่เสนาบดีแคว้นฉีผู้กุมอำนาจทางฝั่งขุนนางย่อมมีน้ำหนักในคำพูดพอสมควร

“ท่านคิดว่าฮ่องเต้แคว้นฉีเป็นอย่างไร? กู้หวนจิ่นถามอีกครั้ง

“ยังทรงพระเยาว์แต่ทรงสุขุมไม่แสดงอารมณ์และความรู้สึก..” เว่ยฉิงพูด

“ตอนที่พระองค์ตรัสถามสองสามข้อในวันนั้น ทว่ากลับไม่ทรงแสดงท่าทีอย่างไร”

“เวรเอ๊ย! เขาเจ้าเล่ห์มาก อายุเทียบเท่าองค์ชายหกของเราเท่านั้น แต่กลอุบายของเขาดูมีชั้นเชิงมากกว่าองค์ชายหกหลายขุมนัก” กู้หวนจิ่นถอนหายใจเบาๆ

“ข้าอยากรีบแก้ไขทุกอย่างให้สำเร็จโดยเร็ว ฤดูกาลที่จะถึงนี้ ข้าอยากจะชวนอาจื่อไปเล่นว่าวด้วยกัน”

“ถ้าถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ ข้าจะได้กลับไปงีบหลับไปกับภรรยาของข้า” เว่ยฉิงพูด กู้หวนจิ่นมองเขาแล้วพูดไม่ออก

“…..”

ในแง่ของการแสดงความรักแล้วน้องเขยของเขาย่อมนำหน้าเขาไปไกล

“ข้าต้องหาโอกาสเข้าเฝ้าฮ่องเต้ฉีอีกครั้ง” กู้หวนจิ่นพูดอย่างจริงจัง

น่าเสียดายที่ตอนนี้เขายังออกจากจวนรับรองไม่ได้เลย

“ร้อนมาก ไปเดินเล่นกันดีหรือไม่?” เว่ยฉิงลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป

กู้หวนจิ่นตามหลังไปติดๆ พวกเขาเดินไปรอบๆ ผ่านประตูหน้าและหลัง ทั้งสองหยุดที่บริเวณกำแพง พวกเขามองหน้ากันแล้วกระโดดขึ้นไปบนกำแพงที่ว่านั่น

ก็แค่กำแพงเตี้ยๆ เท่านั้น!

แต่เมื่อกู้หวนจิ่นก้มหน้าลงมอง ที่ด้านล่างมีง้าวของผู้คุมยื่นมาทางพวกเขา

“มันร้อนมาก พวกข้าขึ้นมารับลมอีกประเดี๋ยวก็จะลงไปแล้ว” เขาหันหลังถอยไปยืนด้านข้างของเว่ยฉิง

“มียามคุ้มกันตลอด เสนาบดีผู้นี้ช่างระแวดระวังเสียจริง”