สีวู่หยาขมวดคิ้ว ตัวเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ในตอนนี้สีวู่หยากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในขณะที่ลูบไล้พัดขนนกยูงที่อยู่ในมือ
ยู่เฉิงไห่เหลือบมองไปที่สีวู่หยาก่อนจะพูดออกมา “เจ้าเดาได้อย่างงั้นสินะ?”
“ถูกต้องแล้ว” คำตอบของสีวู่หยาเป็นเพียงคำตอบสั้นๆ สีวู่หยารู้ว่าวันนี้จะต้องมาถึง ตัวเขารู้มาตลอดตั้งแต่เก็บบันทึกไว้ นี่คือเหตุผลที่ทำให้สีวู่หยาเก็บซ่อนมัน ตัวเขาไม่รู้เลยว่าคนอื่นๆ จะคาดเดาได้ไหม แต่ไม่ว่าจะคิดแบบไหนสีวู่หยาก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลย มันเป็นความจริง
ในตอนที่ยู่เฉิงไห่ถูกขายให้กับชาวลั่วหลานในครั้งที่ยังเป็นเด็ก ยู่เฉิงไห่ต้องผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วนก่อนที่จะหลั่งเลือดตายด้วยฝีมือของเหล่าชนชั้นสูง การเสียชีวิตครั้งแรกของยู่เฉิงไห่ได้พรากอายุขัยไปกว่า 300 ปีไปจากตัวเขา และความตายครั้งที่สองเกิดขึ้นหลังการต่อสู้กับผู้เป็นอาจารย์ และเช่นกัน ยู่เฉิงไห่ก็ได้เสียอายุขัยไปกว่า 300 ปี เวลาอีก 300 ปีตัวเขาได้ใช้มันฝึกฝนตัวเองในศาลาปีศาจลอยฟ้า ในตอนนี้อายุของเขาใกล้จะหมดเต็มที ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้ยู่เฉิงไห่เอาชนะขีดจำกัดที่ยิ่งใหญ่ที่มีเพียง 1,000 ปีได้ มันเป็นอย่างที่ยู่เฉิงไห่ได้พูดไว้ ตอนนี้ตัวเขาเหลือเวลาไม่มากนัก
ยู่เฉิงไห่ยักไหล่ก่อนที่จะพูดต่อ “นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…ข้าน่ะได้พอใจในวิถีชีวิตของข้าแล้ว”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าอยากรู้มาโดยตลอด…ท่านน่ะเหลือเวลาไม่มากนัก แต่ทำไมท่านถึงยังตั้งใจที่จะทำลายเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ล่ะ?” สีวู่หยาเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะพูดต่อ “ได้โปรดบอกกข้าตามตรงเถอะ ในอดีตข้าไม่เคยถามท่านเรื่องนี้มาก่อน แต่ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ท่านยังจะตั้งใจปิดบังเรื่องนี้กับข้าอีกอย่างงั้นเหรอ?” สีวู่หยาไม่สามารถหาเหตุผลในการกระทำของยู่เฉิงไห่ได้เลย เนื่องจากยู่เฉิงไห่มีชีวิตอยู่ไม่นาน แล้วมันจะมีความหมายอะไรกันที่จะพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้? มันเป็นการกระทำเพื่อที่จะมอบให้กับใครกัน?
ยู่เฉิงไห่นั่งลงก่อนที่จะพูดออกมาอย่างจริงจัง “อันที่จริงมันก็มีเหตุผลอื่นอยู่ แต่ข้าน่ะไม่เคยโกหกเจ้า ศิษย์น้องเจ็ด อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้เลย ข้ารู้ดีว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่”
สีวู่หยาสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของยู่เฉิงไห่ ทั้งวิธีการพูดรวมไปถึงสีหน้า มันแสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่ายู่เฉิงไห่กำลังมีอารมณ์แปรปรวน สีวู่หยาที่ได้เห็นแบบนั้นก็ได้หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะเอ่ยปากถามออกมา “ศิษย์พี่ใหญ่ รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงช่วยท่าน?”
“ก็เพราะพวกเราต่างก็เป็นศิษย์ร่วมสำนัก?”
“นั่นมันก็เป็นแค่ความจริงบางส่วน…” สีวู่หยาพูดต่ออย่างช้าๆ “เมื่อข้าออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามา ในตอนนั้นข้าทั้งยังเด็กและยังกล้าหาญจนเกินกว่าที่จะกลัวอะไร ข้าต้องทำอะไรหลายๆ อย่างก็เพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเอง พิสูจน์ว่าข้าไม่ได้อ่อนแอ และเพราะแบบนั้นข้าเลยเลือกที่จะเข้าสู่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์และกลายเป็นราชครูที่คอยสั่งสอน จากนั้น…ข้าก็ตระหนักได้ว่ามันไม่สามารถทำให้ตัวข้ารู้สึกพึงพอใจได้ ข้าเริ่มศึกษาเขตแดนพลังทั้งสิบ ที่มาแห่งความเชื่อมั่นที่ทางราชสำนักมี โลกใบนี้ก็เป็นเหมือนกับพันธนาการ…มนุษย์นั้นไม่ได้สำคัญอะไร ความรู้ของคนเราก็เป็นเหมือนกับวงกลม ยิ่งวงกลมใหญ่มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งที่จะมีสิ่งที่ไม่รู้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น…ครั้งหนึ่งข้าเคยคิดว่าไม่มีอะไรในโลกที่ข้าไม่สามารถแก้ได้ ข้าคิดว่าตัวเองได้รู้เรื่องทุกอย่างของมณฑลทั้งเก้า รู้ดีว่าทุกอย่างทำงานกันยังไง ข้ายังรู้เรื่องเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ขึ้นและตกอีกด้วย ก็เป็นเพราะดวงอาทิตย์จึงทำให้เกิดอากาศที่อบอุ่นและหนาวเย็น…แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ยังไม่รู้ว่าอะไรคือพันธนาการของฟ้าและดิน ของโลกใบนี้”
ยู่เฉิงไห่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อพบกับการระเบิดอารมณ์ของสีวู่หยา “ยังดีที่เจ้ามีสิ่งที่ต้องต่อสู้เพื่อ…”
“ศิษย์พี่ใหญ่…พวกเราต่างก็ต้องต่อสู้กันอย่างหนักเพียงเพื่อ…ที่จะพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ อย่างงั้นเหรอ? ท่านก็แค่ต้องการเมืองหลวงอย่างงั้นเหรอ?” สีวู่หยาพยายามกลับไปคุยหัวข้อเดิม
ยู่เฉิงไห่ขมวดคิ้ว “ยังไงซะเจ้าก็จะได้พบมันในไม่ช้า ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่จะไม่มีใครหยุดข้าจากการพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้ และเมื่อเวลานั้นมาถึงข้าจะกลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า กลับไปรับการลงโทษจากท่านอาจารย์เอง”
“…” เมื่อสีวู่หยาเห็นความมุ่งมั่นของยู่เฉิงไห่ ตัวเขาก็ไม่คิดที่จะถามอะไรอีก
ในตอนนั้นเองฮั๊วจงหยางก็ได้ปรากฏตัวขึ้น “ท่านเจ้าสำนัก มีรายงานด่วนจากมณฑลเหลียง”
“รีบเข้ามา”
ฮั๊วจงหยางรีบเข้ามาในห้องโถง
ก่อนที่ฮั๊วจงหยางจะได้ทักทายทั้งสองคน สีวู่หยาก็สังเกตเห็นถึงสีหน้าอันร้อนรนของฮั๊วจงหยางได้ก่อน “มีอะไรกัน?”
“มณฑลเหลียงกำลังมีปัญหา” ฮั๊วจงหยางสูดหายใจเข้าลึกๆ “เหวยซู่หยานได้สมรู้ร่วมคิดกับชาวรั่วหลี่เพื่อโจมตีเมืองมณฑลเหลียงทีเผลอ หยางยาน ดีชิง และไป่ยู่ชิงได้ปกป้องเมืองด้วยพลังทั้งหมดที่มี ในตอนนี้ทุกคนได้รับบาดเจ็บสาหัส!”
ในห้องโถงเงียบลงชั่วขณะ
แม้ว่าจะเงียบแต่สีวู่หยาและฮั๊วจงหยางก็สามารถสัมผัสได้ถึงความโกรธที่ยู่เฉิงไห่มีได้
สีหน้าของยู่เฉิงไห่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ยู่เฉิงไห่พยายามเก็บซ่อนอารมณ์โกรธแค้นเอาไว้ “อาการบาดเจ็บของพวกเขาเป็นยังไงบ้าง?”..
“ไป่ยู่ชิงเป็นผู้ได้รับอาการบาดเจ็บน้อยที่สุด เป็นเพราะพลังวรยุทธของเขาลึกล้ำมากที่สุด แต่ถึงแบบนั้นไป่ยู่ชิงก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นเป็นเวลากว่า 6 เดือน สำหรับหยางยานและดีชิง…” ฮั๊วจงหยางส่ายหัว “ข้าเกรงว่าในอนาคตพวกเขาคงจะกลับมายืนหยัดได้ใหม่อย่างยากลำบากแน่ ข้าไม่แน่ใจเลยว่าพวกเขาจะฟื้นฟูพลังวรยุทธได้ไหม”
ยู่เฉิงไห่กำหมัดแน่น “พาพวกเขากลับมา”
“คนของเราได้ออกเดินทางไปแล้ว แม้ว่าทั้งสามคนปกป้องมณฑลเหลียงเอาไว้ด้วยความยากลำบาก แต่การโจมตีที่มีก็ยังรุนแรงเกินกว่าที่พวกเขาจะต้านรับได้ พวกเราควรจะทำยังไงดี?” ฮั๊วจงหยางดูเป็นกังวล “ให้ข้าไปปกป้องเมืองมณฑลเหลียงด้วยเถอะ”
ยู่เฉิงไห่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนั้น แม้แต่สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสามก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส การส่งฮั๊วจงหยางไปที่นั่นเท่ากับการส่งให้เขาไปพบกับความตาย
แต่ถ้าหากมณฑลเหลียงไม่ได้รับการปกป้อง ชนเผ่าอื่นก็จะฉกฉวยโอกาสนี้บุกรุกเข้ามาได้ เมื่อถึงเวลานั้นยู่เฉิงไห่ก็จะถูกประณาม
“ศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้า…เจ้ามีแผนอะไรดีๆ ไหม?” ยู่เฉิงไห่มองไปที่สีวู่หยา
สีวู่หยาไม่ได้ตอบกลับในทันที ตัวเขามองไปที่ฮั๊วจงหยางก่อนที่จะถามออกมาแทน “สถานการณ์ที่มณฑลจีเป็นยังไงบ้าง?”
“ในตอนนี้มันถูกพิชิตได้แล้ว…เหลือเพียงเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น”
การต่อสู้กับเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อยู่ใกล้แค่เอื้อม ในตอนนี้กองทัพของสำนักอเวจีกำลังเตรียมบุกเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์แล้ว
การบุกรุกของชนเผ่าอื่นไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแน่
นี่ถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบของสำนักอเวจี
“ติดต่อเกาะเผิงไหล วิหารปีศาจ ฝ่ายบานสะพรั่ง และสำนักหมื่นอสรพิษซะ…ขอความช่วยเหลือจากพวกเขา นอกจากนี้ระดมพลครึ่งหนึ่งที่มีจากมณฑลจิง มณฑลยู่ และมณฑลหยานไปสมทบ ปกป้องมณฑลเหลียงและมณฑลยี่ให้ได้” สีวู่หยาสั่งการออกมาอย่างเด็ดขาด ตัวเขาหันไปมองยู่เฉิงไห่ต่อ “ข้าเองก็จะระดมพี่น้องสำนักแห่งความมืดไปด้วย…”
ฮั๊วจงหยางได้ถามกลับมา “การจะระดมพลสำนักอเวจีและคนจากเกาะเผิงไหลได้ไม่ใช่เรื่องน่าห่วง แต่อย่างไรก็ตามวิหารปีศาจ ฝ่ายบานสะพรั่ง และสำนักหมื่นอสรพิษจะช่วยพวกเราอย่างงั้นเหรอ?”
“ไม่ต้องกังวลไป…ในตอนนี้ทุกที่ทั่วดินแดนหยานต่างก็แบ่งฝั่งออกเป็น 2 ฝั่ง มีเพียงฝั่งสำนักอเวจีและฝั่งเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ ในตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่กำลังยื่นมือไปหาพวกเขา แน่นอนว่าไม่มีใครยอมให้โอกาสนี้หลุดรอดไปได้แน่”
ผู้ที่ถูกลิขิตให้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มักจะดึงดูดผู้อื่นให้เข้าร่วมได้เสมอ
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเจ้าพวกนั้นตัดสินใจเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายล่ะ?”
“สำหรับชนเผ่าอื่นที่ต้องเจอ ข้ามั่นใจมากกว่าทุกคนจะต้องร่วมมือกับพวกเราแน่!”
“งั้นดี! ลงมือได้!” ยู่เฉิงไห่ตกลงในทันที
…
สามวันต่อมา
รถม้าลอยฟ้าได้เดินทางจากมณฑลเหลียงไปยังมณฑลหยาน
เมื่อรถม้ามาถึง เหล่าสาวกจากสำนักอเวจีต่างก็แบกเปลหามออกมา
ยู่เฉิงไห่ ฮั๊วจงหยาง และสีวู่หยารีบออกมาต้อนรับรถม้าคันนั้น
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสามที่อยู่บนเปลต่างก็มีสีหน้าซีดเซียวจนน่ากลัว ไป่ยู่ชิงดูพอจะรู้สึกตัวอยู่ ในขณะที่หยางยานและดีชิงไม่ได้สติ
ยู่เฉิงไห่ขมวดคิ้ว ในฐานะที่ตัวเขาเป็นเจ้าสำนัก เมื่อเห็นพวกพ้องที่ต่อสู้กันมานานต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าสงสารเช่นนี้ ตัวเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บแค้น
“ทะ…ท่านเจ้าสำนัก…พวกเราช่างไร้ค่า!” ไป่ยู่ชิงพยายามที่จะลุกขึ้นมา แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็บาดเจ็บจนเกินกว่าที่จะลุกมาได้
ยู่เฉิงไห่ก้าวไปที่ด้านหน้าก่อนจะกดไหล่ของไป่ยู่ชิงลงเบาๆ ตัวเขาได้แต่ทิ้งความรู้สึกเจ็บแค้นนี้เอาไว้ข้างหลัง ในฐานะที่เป็นผู้นำสูงสุด ตัวเขาจะต้องทำตัวให้พึ่งพาได้มากที่สุด ยู่เฉิงไห่พูดขึ้น “เจ้าทำได้ดีมาก พวกเจ้าทุกคนทำได้ดีมากจริงๆ”
และนี่ก็คือสงคราม ไม่มีการต่อสู้ไหนที่ไม่มีการนองเลือด และไม่มีชัยชนะใดไร้ผู้บาดเจ็บ
“ท่านเจ้าสำนัก…แม่ทัพชาวรั่วหลี่ คา…คารอลได้ฝึกฝนตัวเองใหม่อีกครั้ง…ในตอนนี้เขามีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบแล้ว! ด้วยการโจมตีผสมผสานกับเวทมนตร์คาถาที่มี…พวกเราไม่สามารถรับมือกับเขาได้เลย! ท่านเจ้าสำนักได้โปรดระวังชายคนนั้นด้วย!” ไป่ยู่ชิงพยายามพูดอย่างเหนื่อยล้า