บทที่ 552 สำนักไร้วิถี หานเจวี๋ยท้าสู้เทพสูงสุด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 552 สำนักไร้วิถี หานเจวี๋ยท้าสู้เทพสูงสุด

อริยะรายใหม่

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าอย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยตรวจดูจดหมายทันที เป็นอย่างที่คิด มองเห็นจดหมายฉบับหนึ่งแล้ว

[อริยะจินอันศัตรูคู่อาฆาตของท่านเผชิญกับการสะบั้นดวงชะตาจากเหล่าอริยะ ตัวตายมรรคผลสลาย]

รูปประจำตัวของอริยะจินอันหายไป

โหดเหี้ยมจริงๆ

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ ‘ข้าอยากทราบข้อมูลของเทพสูงสุดอู๋ฝ่า’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสี่พันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[เทพสูงสุดอู๋ฝ่า: อริยะมรรคาสวรรค์ระยะสมบูรณ์ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต ศิษย์บรรพชนเต๋า]

อริยะมรรคาสวรรค์ระยะสมบูรณ์!

น่าสนใจอยู่บ้าง

[เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 3 ดาว]

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

เพิ่งมาก็เกลียดเขาเลยหรือ

ผู้มามีเจตนาร้าย!

หานเจวี๋ยลังเลว่าจะสาปแช่งเทพสูงสุดอู๋ฝ่าดีหรือไม่ อีกด้านหนึ่ง ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสามปรากฏตำหนักใหญ่มโหฬารตระการตาหลังหนึ่งขึ้น ดูโอ่อ่าอย่างยิ่ง แสงรุ้งเจ็ดสีพวยพุ่งสูงนับล้านจั้ง เมื่อมองจากที่ไกลๆ ตำหนักหลังนี้ดูดราวกับมังกรบรรพกาลตัวหนึ่งที่ขดพำนักอยู่ในบริเวณนี้

ฉิวซีไหล ฝูซีเทียน เทพสูงสุดหนานจี๋ เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย มหาจักรพรรดิเซียวและจักรพรรดินีผืนพิภพปรากฏตัวขึ้น ต่างมองไปทางตำหนักใหม่หลังนี้ด้วยสีหน้าท่าทางที่ซับซ้อน

เหนือประตูใหญ่ของตำหนักมีแผ่นป้ายตั้งอยู่ สลักอักษรขนาดใหญ่ไว้สี่ตัว

วังไร้วิถี!

“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะนำพาพวกเจ้าเสริมสร้างอำนาจให้มรรคาสวรรค์ มหันตภัยมารสวรรค์จะไม่เกิดขึ้นอีก พวกเจ้าแค่ชื่อฟังตามการจัดแจงของข้าก็พอ”

เสียงของเทพสูงสุดอู๋ฝ่าแว่วออกมา น้ำเสียงเผด็จการวางอำนาจ

เมื่อเหล่าอริยะได้ฟัง สีหน้าพลันน่าเกลียดขึ้นมา

จองหองเกินไปแล้ว!

เป็นผู้มาใหม่ ทว่าไม่แม้แต่จะเปิดประตูวังไร้วิถีต้อนรับด้วยซ้ำ ไร้มารยาทนัก

เหล่าอริยะได้แต่ล่าถอยไป มาที่อาณาเขตเต๋าของฉิวซีไหล

“เทพสูงสุดอู๋ฝ่า เป็นศิษย์บรรพชนเต๋า ตบะลึกล้ำเกินหยั่ง แม้ว่าจะได้รับการรับรองตำแหน่งอริยะมรรคาสวรรค์แล้ว แต่เกรงว่าพวกเราคงสู้เขาไม่ได้ อีกอย่างเบื้องหลังเขาก็มีอริยะมหามรรคถือหางอยู่” เทพสูงสุดหนานจี๋เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

มหาจักรพรรดิเซียวเอ่ยถาม “สามนิกายสำนักเต๋าก็มีอริยะมหามรรคมิใช่หรือ”

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยถอนหายใจคราหนึ่ง เอ่ยว่า “ขอกล่าวโดยไม่ปิดบัง ขาดการติดต่อกันไปนานแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่พึ่งพาอาศัยปรมาจารย์ลัญจกรสรวง”

มหาจักรพรรดิเซียวและจักรพรรดินีผืนพิภพต่างขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม

ฉิวซีไหลสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “กลุ่มอิทธิพลด้านนอกเริ่มแทรกแซงเข้ามาในมรรคาสวรรค์แล้ว พวกเราจำเป็นต้องร่วมมือกัน เมื่อไม่นานมานี้ก็มีอริยะมหามรรคท่านหนึ่งมาข่มขู่ข้า ส่วนที่ว่าเป็นผู้ใดนั้น ขณะนี้ข้ายังบอกไม่ได้ ป้องกันไม่ให้ชักนำความเดือดร้อนมาให้”

สีหน้าเหล่าอริยะมืดทะมึนลงทันที

มหาจักรพรรดิเซียวกล่าวว่า “เรื่องนี้จำเป็นต้องแจ้งให้หานเจวี๋ยรู้ อาศัยแค่พวกเรา ไม่ได้การแน่ จำเป็นต้องพึ่งพาพลังของหานเจวี๋ย”

อริยะรายอื่นต่างพยักหน้ารับ เห็นด้วยกับวาจานี้

หลังจากประสบมหันตภัยมารสวรรค์ พวกเขานับว่ายอมรับหานเจวี๋ยแล้ว

ภายในมรรคาสวรรค์ต่อให้ต่อสู้แย่งชิงกันอย่างไร ก็ต้องร่วมมือกันต่อต้านศัตรูภายนอก

….

สี่สิบปีต่อมา

มหาจักรพรรดิเฉินมาขอพบหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายเขาเข้ามาในอารามเต๋า เพื่อไว้หน้ามหาจักรพรรดิเซียว และไม่เปิดโอกาสให้มหาจักรพรรดิเฉินได้สอดส่องเขตเซียนร้อยคีรี

มหาจักรพรรดิเฉินเปิดเผยเจตนาที่มาเยือน เขาบอกเล่าเรื่องของเทพสูงสุดอู๋ฝ่า

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ข้าทราบแล้ว เรื่องนี้ข้าจะทบทวนดู ส่วนตอนนี้ ให้เหล่าอริยะเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงอย่างสงบ ต่อให้มรรคาสวรรค์จะเปลี่ยนมือ ก็คงมิใช่ในเร็ววันนี้ พวกเราต้องทำความเข้าใจอีกฝ่ายก่อนแล้วค่อยวางแผนจัดการ ส่วนตัวข้า ย่อมเอนเอียงไปหาพวกเจ้าอยู่แล้ว”

ล้อกันเล่นหรืออย่างไร!

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเพิ่งมาถึงก็เกิดความเกลียดชังต่อหานเจวี๋ย นับเป็นศัตรูแล้ว!

หานเจวี๋ยย่อมต้องหาทางจัดการเทพสูงสุดอู๋ฝ่าแน่นอน แต่ไม่อาจเปิดเผยออกมาได้

มหาจักรพรรดิเฉินแย้มยิ้ม เอ่ยว่า “สหายเต๋าว่ามาเช่นนี้ก็วางใจแล้ว ข้าจะนำความไปถ่ายทอดต่อเหล่าอริยะ”

ทั้งสองพูดจาตามมารยาทกันอยู่สองสามประโยค หานเจวี๋ยก็ส่งตัวมหาจักรพรรดิเฉินออกไป

หลังจากมหาจักรพรรดิเฉินไปแล้ว หานเจวี๋ยเริ่มใคร่ครวญว่าจะจัดการเทพสูงสุดอู๋ฝ่าอย่างไรดี

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งไร้พ่าย

‘ข้าอยากรู้ว่าเทพสูงสุดอู๋ฝ่าสามารถสังหารข้าได้หรือไม่’

หานเจวี๋ยถามในใจ

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการ!

[ได้แน่นอน]

ได้แน่นอนหรือ!

หานเจวี๋ยลุกขึ้นยืน เปิดใช้งานยอดสมบัติทั่วร่าง เขาหายตัวไปโผล่ ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสามทันที มุ่งหน้าไปยังตำหนักของเทพสูงสุดอู๋ฝ่าอย่างรวดเร็ว

เขากระโดดลงไปหน้าวังไร้วิถี รีบคัดลอกตบะของเทพสูงสุดอู๋ฝ่าทันที จากนั้นก็ทะยานหนี

เป็นเวลาแทบจะชั่วพริบตาเท่านั้น!

หานเจวี๋ยสัมผัสได้มาว่าเจตนาสังหารพุ่งเป้ามาที่ตน

“จะหนีไปไหน”

เสียงของเทพสูงสุดอู๋ฝ่าแว่วขึ้นมา ห้วงเวลาคล้ายหยุดนิ่งลง หานเจวี๋ยรับรู้ได้ว่ามีพลังฝ่ามือสายหนึ่งเล็งมาที่ร่าง แต่ถูกยอดสมบัติบนตัวเขาปัดป้องออกไป

หานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายกลับมาที่เขตเซียนร้อยคีรี

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าปรากฏตัวขึ้น ขมวดคิ้วแน่น

เขาสวมชุดนักพรตเต๋าสีดำ รูปร่างบึกบึน ผมตัดสั้นยิ่ง บนใบหน้ามีลวดลายสีทองประทับอยู่ ซับซ้อนยากจะเข้าใจได้ แฝงกลิ่นอายยุคสมัยบรรพกาล

เขามองฝ่ามือขวาของตน เอ่ยพึมพำ “ยอดสมบัติแข็งแกร่งยิ่ง เขามีได้อย่างไร หรือว่าเขาเองก็มีคนหนุนหลังอยู่เช่นกัน”

อีกด้านหนึ่ง

ภายในอารามเต๋า หานเจวี๋ยนั่งอยู่บัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร

[ความเกลียดชังที่เทพสูงสุดอู๋ฝ่ามีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 4.5 ดาว]

หานเจวี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก สำหรับฝ่ามือของเทพสูงสุดอู๋ฝ่า เขาไม่รู้สึกอะไรเลย

ยอดสมบัติทั่วร่างแข็งแกร่งในระดับที่ป้องกันการโจมตีจากอริยะเสรีได้ เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเป็นเพียงอริยะมรรคาสวรรค์ ไหนเลยจะทำอันตรายเขาได้

หานเจวี๋ยเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ ท้าสู้กับเทพสูงสุดอู๋ฝ่า

ครึ่งชั่วยามผ่านไป

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น

เขาขมวดคิ้วนิดๆ

ในการต่อสู้ครั้งแรก ประเด็นหลักคือเพื่อหยั่งเชิง ทดสอบความสามารถของเทพสูงสุดอู๋ฝ่า

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าแข็งแกร่งกว่าหลี่มู่อี ถึงแม้จะเป็นอริยะมรรคาสวรรค์เหมือนกัน แต่พลังวิเศษจากฝ่ามือเขามีท่วงทำนองแห่งพลังวิเศษมหามรรค

หานเจวี๋ยเอาชนะได้ แต่กลับไม่มีความสุขกับชัยชนะ

เขาท้าสู้ต่อ

เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หานเจวี๋ยประสบความสำเร็จในการสังหารเทพสูงสุดอู๋ฝ่า

ยังไม่พอ!

หากการต่อสู้ลากยาวไป ศัตรูจะหนีไปได้ง่ายๆ

หานเจวี๋ยเริ่มทดลองในแบบจำลองการทดสอบซ้ำๆ

ผ่านไปกว่าร้อยครั้ง ระยะเวาที่ต่อสู้หดสั้นลงเหลือเพียงหนึ่งนาที

ผ่านไปหนึ่งพันครั้ง

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็หาทางสังหารเทพสูงสุดอู๋ฝ่าในเสี้ยววินาทีได้ เขาอดไม่ได้จะพรูลมหายใจออกมา

เขาลืมตาขึ้น บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเปี่ยมความมั่นใจ

แค่นี้เองหรือ

หานเจวี๋ยเริ่มดูแคลนเทพสูงสุดอู๋ฝ่า แน่นอนว่าดูแคลนได้แค่ลับหลังเท่านั้น หากสู้กันจริงๆ ขึ้นมา เขาย่อมต้องแสดงท่าทีอ่อนแอออกไปก่อน ฉวยโอกาสที่เทพสูงสุดอู๋ฝ่าชะล่าใจจัดการให้ได้ในกระบวนท่าเดียว

ศึกแห่งความเป็นความตาย ไหนเลยจะมีความยุติธรรมมากขนาดนั้น

หานเจวี๋ยเชื่อมั่นในศัตรูที่สิ้นชีพไปแล้วเท่านั้น

เขาเงยหน้ามองขึ้นไปยังชั้นฟ้าที่สิบสาม หลี่เต้าคงและเลิศเอกาหนึ่งพันคนพำนักอยู่ในเผ่าสวรรค์เป็นการชั่วคราว

หลายปีมานี้ เมื่อว่างจากการฝึกบำเพ็ญหานเจวี๋ยจะเงยหน้าขึ้นมองดูจี้เซียนเสินทำตัวเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ เริ่มกวาดล้างเผ่าสวรรค์ มีเทพเซียนมากมายถูกขับไล่ออกจากเผ่าสวรรค์

“ข้า เทพสูงสุดอู๋ฝ่า จะแสดงธรรมที่วังไร้วิถี ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม สิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ขอเพียงตะโกนนามข้าออกมา ต่างจะได้มาสดับมรรคที่วังไร้วิถี กลายเป็นศิษย์แห่งสำนักไร้วิถี”

เสียงของเทพสูงสุดอู๋ฝ่าพลันดังก้องขึ้นมา

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว คนผู้นี้มีลูกเล่นอยู่บ้างนี่

ในอดีตที่ผ่านมาหากอริยะแสดงธรรม ผู้สดับมรรคต้องเดินทางไปยังชั้นฟ้าที่สามสิบสามด้วยตัวเอง กระบวนการนี้เพียงพอจะใช้คัดสรรสิ่งมีชีวิตที่ตบะไม่ถึงขั้นออกไป

แต่เทพสูงสุดอู๋ฝ่าแตกต่างออกไป ขอเพียงขานนามแห่งอริยะ ก็จะถูกเขาเคลื่อนย้ายไปยังตำหนักไร้วิถี ไม่ต้องทำอะไร เขาก็ได้รับความประทับใจจากสรรพสิ่งแล้ว

ภายในระยะเวลาไม่กี่ลมหายใจ หานเจวี๋ยมองเห็นสิ่งมีชีวิตหลายพันรายถูกเคลื่อนย้ายไปยังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

ผ่านไปสักพักหนึ่ง จำนวนศิษย์ของสำนักไร้วิถีก็พุ่งทะลุไปถึงจุดที่น่าหวาดหวั่นแล้ว

หานเจวี๋ยไม่อยากจะเชื่อเลย เอ่ยอยู่ในใจว่า ‘ถ้าเจ้าแน่จริงก็เคลื่อนย้ายสิ่งมีชีวิตทั้งแดนเซียนไปที่อาณาเขตเต๋าของเจ้าสิ!’

………………………………………………………………