พานไห่เดินเข้ามาแล้วกล่าว “ฝ่าบาท เสนาบดีกรมราชทัณฑ์กราบทูลเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นเสนาบดีกรมราชทัณฑ์ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกโล่งใจในทันที
การที่เสนาบดีกรมราชทัณฑ์มาขอเข้าเฝ้านั้นไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร อย่างน้อยพวกเหล่าโอรสจอมปัญหานั่นก็ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับกรมราชทัณฑ์ และกรมราชทัณฑ์ก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินอย่างกรมพระคลังกับกรมโยธาธิการอีกด้วย
ที่ราชสำนักในวันนี้ เสนาบดีทั้งสองของกรมโยธาธิการและกรมพระคลังเกือบจะเกิดการทะเลาะวิวาทกันก็เพราะปัญหาเรื่องเงินนี่เอง
แค่นึกถึงเหตุการณ์นั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ปวดศีรษะแทบแย่
การเป็นฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ไปเชิญท่านเสนาบดีเข้ามา” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวอย่างใจเย็น
เปลือกตากระตุกขึ้นต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน แต่เขาก็รู้สึกว่าคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
ฤดูใบไม้ร่วงใกล้เข้ามาแล้ว ตามประเพณี ช่วงเวลาแห่งการตัดศีรษะได้ดำเนินมาถึงอีกครั้ง แต่ระบอบการปกครองต้าโจวรอบคอบในการพิจารณาโทษประหารเสมอ สุดท้ายแล้วยังจำเป็นต้องใช้การตัดสินใจของเขาที่เป็นฮ่องเต้อีกด้วย
อาจจะได้พบกับคดีที่ยุ่งยากและซับซ้อน วุ่นวายไม่แน่นอน?
จิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ เสนาบดีกรมราชทัณฑ์ก็ได้เดินเข้ามา
“เกาอ้ายชิงมาที่วังหลวงในเวลานี้มีเรื่องอันใด” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวถามอย่างเป็นกันเอง
เสนาบดีกรมราชทัณฑ์โค้งคำนับลงอย่างสุดซึ้ง “ฝ่าบาท ข้าน้อยสมควรได้รับโทษ!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะยืดตัวขึ้นมาและกล่าวปลอบโยนเขาว่า “เกาอ้ายชิง มีสิ่งใดจงกล่าวมาเถิด”
ยังไม่ทันไรก็กล่าวว่าตนผิดเสียแล้ว ต้องการจะข่มขู่ใครกัน
เสนาบดีกรมราชทัณฑ์หันมองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้มีอารมณ์ที่ค่อนข้างนิ่งสงบ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
แน่นอนว่าใบหน้าของเขาไม่กล้าที่แสดงออกถึงความผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย
“วันนี้ที่ร้านเจินเป่า มีคนก่อเรื่องบัดสีบัดเถลิงขึ้น ทำให้ชาวบ้านแห่กันมาดู ผลจากความเบียดเสียดแออัดทำให้ชาวบ้านมากมายกลิ้งตกบันได และก่อให้เกิดอุบัติเหตุเหยียบกันที่รุนแรง มีคนตายสามคน บาดเจ็บอีกนับสิบคน…”
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้เต็มไปด้วยความโกรธ “เหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ สองคนนั้นอยู่ที่ใด แล้วจัดการลงโทษพวกเขาอย่างไร”
ไม่ว่าความคิดของผู้คนจะปิดกั้นหรือไม่ก็ตาม การลักลอบมีความสัมพันธ์ชู้สาวกันก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้มาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ถึงอย่างไรจำนวนคนที่ต้องตายเพราะเรื่องการผิดประเวณีนี้ก็มีอยู่น้อยมาก
ยิ่งไปกว่านั้น สองคนนั้นมีปัญหาทางสมองหรือไร คาดไม่ถึงว่าจะพากันไปที่ร้านเจินเป่าเพื่อทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้!
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยไปที่ร้านเจินเป่ามาก่อน แต่เมื่อฟังจากชื่อแล้วคงจะต้องเป็นร้านค้าที่ขายของล้ำค่าอย่างแน่นอน
เพราะกลัวว่าจะถูกคนอื่นพบเห็นหรือ
เสนาบดีกรมราชทัณฑ์นิ่งเงียบไป
“เกาอ้ายชิง เหตุใดเจ้าถึงไม่ตอบ” ความเงียบของเสนาบดีกรมราชทัณฑ์ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้เกิดมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาในทันที
เสนาบดีกรมราชทัณฑ์สูดหายใจเข้าอย่างเงียบๆ แล้วกล่าวขึ้นมาด้วยความยากลำบากว่า “กราบทูลฝ่าบาท สองคนที่ทำเรื่องไม่เหมาะสมที่ร้านเจินเป่า…คือไท่จื่อกับข้าหลวงของเขา…”
ในสมองของจิ่งหมิงฮ่องเต้ว่างเปล่าขาวโพลนไปในทันที พระหัตถ์เคลื่อนไปชนถ้วยน้ำชาที่อยู่ด้านข้างจนพลิกคว่ำ
ถ้วยน้ำชาตกลงมาบนแท่นทองคำที่เรียบและเงา จนแตกออกเป็นชิ้นๆ
“เกาอ้ายชิง เจ้าลองว่ามาอีกรอบ สองคนนั้นเป็นใคร!”
เสนาบดีกรมราชทัณฑ์มองเข้าไปที่ดวงตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้อย่างลึกซึ้งแล้วก้มศีรษะของเขาลงไป
ฮ่องเต้ชอบหลอกตัวเองและผู้อื่นเสียจริง เช่นนี้แล้วยังจะต้องให้เอ่ยซ้ำอีกรอบด้วยหรือ
แต่ถึงอย่างไรคำสั่งของฮ่องเต้ก็ไม่อาจขัดขืนได้ เสนาบดีกรมราชทัณฑ์ถอนหายใจกล่าวว่า “คือไท่จื่อกับ…”
“พอแล้ว!” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตะโกนออกมา หลับตาลงและไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก
เขากลัวว่าถ้าหากกล่าวอะไรออกมาอีกอาจจะเป็นการสั่งให้ประหารไท่จื่อเสีย
ภายในห้องทรงพระอักษรเต็มไปด้วยความเงียบที่ทำให้หายใจได้ลำบาก
เสนาบดีกรมราชทัณฑ์ไม่ได้นับว่าอายุน้อยๆ แล้ว เขามีความรู้สึกว่ากระดูกชราเกินจะทนไหว
การมีองค์ชายผู้สืบทอดราชบัลลังก์เช่นนี้ เป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับขุนนางหรือ
ทว่า…เมื่อมองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่มีสีหน้าซีดเซียวและไม่ได้กล่าววาจาออกมา เสนาบดีกรมราชทัณฑ์ก็รู้สึกว่าเขาสามารถผ่านเรื่องนี้ไปได้
หึๆ การมีบุตรชายและทายาทเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าสำหรับฮ่องเต้
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้เอ่ยปากออกมา “ไท่จื่อเล่า”
“ไท่จื่อ…คงจะกลับมาที่วังแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมราชทัณฑ์กล่าวอย่างไม่แน่ใจนัก
จิ่งหมิงฮ่องเต้ออกคำสั่งแก่พานไห่ในทันที “ไปเรียกไท่จื่อมา!”
เมื่อไท่จื่อกลับมาถึงที่ตงกงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ท้ายที่สุดก็ได้กลับมาอยู่ในสถานการณ์ปกติเสียที
หลังจากจิบน้ำชาไปได้ไม่กี่อึก ก็มีข้าหลวงเข้ามาทูลว่าฮ่องเต้ต้องการให้เข้าเฝ้า
ไท่จื่อเดินทางไปที่ห้องทรงพระอักษรด้วยความกลัวเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่ได้เห็นสีหน้าอันหนักอึ้งของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ขาของเขาก็เริ่มอ่อนแรงลง
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ เสด็จพ่อเรียกลูกมาพบ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
“วันนี้เจ้าไปที่ใดมา”
หัวใจของไท่จื่อเต้นอย่างรุนแรง เขาอดทนที่จะไม่ร้องไห้ฟูมฟายและพูดความจริงออกมาด้วยความตื่นตระหนก เขายังยืนกรานและกล่าวขึ้นมาว่า “ลูกไปที่กรมพระคลังเพื่อศึกษากิจการบ้านเมือง…”
“แล้วหลังจากนั้นเล่า?”
“หลังจากนั้น?” ไท่จื่อยังคงยืนกรานอย่างแข็งขัน “หลังจากนั้นข้าก็กลับมาที่วัง…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หยิบหยกขาวที่ทับกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาแล้วขว้างมันออกไป
ไท่จื่อรีบหันหน้าหนี แต่ผลสุดท้ายที่ทับกระดาษนั้นก็ได้กระแทกมาโดนที่หน้าผากของเขา
ไท่จื่อสั่นไปทั้งร่าง เขาเหลือบมองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้แล้วจึงล้มลง
จิ่งหมิงฮ่องเต้แทบจะคลั่ง
ถึงแม้ว่าเขาอดไม่ไหวอยากจะทุบตีเจ้าบุตรชายสารเลวคนนี้ให้ตายเสีย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจทุบตีให้ตายได้จริงๆ ที่เขาขว้างที่ทับกระดาษนั่นออกไปที่จริงแล้วต้องการที่จะขว้างไปที่ไหล่เท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าทันทีที่ไท่จื่อหลบ มันจะกระแทกไปโดนศีรษะ!
เมื่อพานไห่เห็นไท่จื่อที่ถูกของปาใส่จนเป็นลมล้มลง จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “ฝ่าบาท…”
“ตามหมอหลวงมา!” ศีรษะของไท่จื่อแตกจนเลือดไหล จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังจะทำอะไรได้อีก ทำได้เพียงแค่เรียกหมอหลวงมาเท่านั้น
หมอหลวงที่ประจำที่ราชสำนักอยู่รีบเข้ามาอย่างรีบร้อน
หมอหลวงทำการรักษาให้ไท่จื่ออยู่ข้างใน ส่วนจิ่งหมิงฮ่องเต้เอามือไขว้หลังและเดินวนไปวนมาอยู่ข้างนอก
ฮองเฮารีบเดินทางมาเพราะได้ยินข่าว กระซิบถามพระชายาเอกที่มาถึงก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน “เกิดเรื่องใดขึ้นกัน”
พระชายาเอกส่ายหน้า “ลูกเองก็ยังไม่ทราบเพคะ”
ตอนที่ไท่จื่อออกมาจากตงกงก็ยังดูปกติดี แค่เพียงไม่นานก็กลายเป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว จะเป็นเรื่องอะไรไปได้ แน่นอนว่าเขาต้องกระทำความผิดมาอีกเป็นแน่
พระชายาเอกค่อนข้างที่จะมีความเชื่อมั่นสำหรับเหตุการณ์นี้
ฮองเฮาเดินไปหาจิ่งหมิงฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ไท่จื่อเป็นอะไรไป”
ฮ่องเต้หยุดฝีเท้าลง เขาเหลือบมองเข้าไปที่ด้านในและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “คงไม่ตายง่ายๆ”
ถึงแม้ว่าจะกล่าวเช่นนี้ แต่ข้างในใจก็มีความรู้สึกผิดเกิดขึ้นอยู่บ้าง
ที่ทับกระดาษหยกขาวนั้นแข็งนัก บนแท่นทองคำมีเลือดเปื้อนอยู่ไม่ใช่น้อย หากว่าไท่จื่อถูกทุบตีจนตายขึ้นมาจริงๆ เล่า
ความเจ็บใจ ความคับแค้น ความเสียใจในภายหลัง จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกว่าเขาแทบจะได้ลิ้มรสอารมณ์เกือบทั้งหมดเพียงในระยะเวลาอันสั้นนี้
หลังจากนั้น สิ่งที่ตามมาคือความเหนื่อยที่มากล้นเสียจนพูดไม่ออก
โอรสสารเลวเช่นนี้ ทุบตีให้ตายไปก็จบเรื่อง หากไม่ตายก็คงยังสร้างเรื่องให้เขาโมโหต่อไปโดยไม่รู้ที่สิ้นสุด
“เพราะเหตุใดไท่จื่อจึง…”
“ถูกข้าตี” เมื่อได้เผชิญหน้ากับฮองเฮา จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอที่จะปิดบังแล้ว
แม้ว่าหน่วยงานและกรมต่างๆ จะจัดการปิดบังเรื่องของไท่จื่อในวันนี้ได้ แต่ถึงจะสามารถหลบซ่อนมันได้จากทุกคนบนโลกนี้ อย่างไรเขาก็ยังเป็นคนที่รู้เรื่องนี้อยู่ดี
ผู้สืบทอดราชบัลลังก์เช่นนี้ จะสามารถรักษาดินแดนที่บรรพบุรุษสร้างเอาไว้ต่อไปได้จริงหรือ
นี่เป็นครั้งแรกที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหานี้อย่างลึกซึ้ง
ฮองเฮาตกตะลึงและกระซิบกล่าว “ฝ่าบาท หากทรงโกรธมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกาย ไท่จื่อผิดเรื่องใด เพียงสั่งสอนเขาก็พอ”
“วันนี้ไท่จื่อกับข้าหลวงทำเรื่องไม่เหมาะสมในกามขึ้น” จิ่งหมิงฮ่องเต้ขัดจังหวะการปลอบโยนของฮองเฮา
ฮองเฮา “…”
“ที่ข้างนอกวัง”
ฮองเฮา “…”
“ทั้งยังทำให้ชาวบ้านอีกมากมายแห่กันมาดู”
ฮองเฮา “…”
“จนพวกชาวบ้านที่แห่กันมาดูเกิดอุบัติเหตุเหยียบกัน จนมีคนล้มตายและบาดเจ็บอีกนับสิบ”
ฮองเฮาเอามือกุมหน้าผาก
หากกล่าวตามเหตุผล การที่ฮ่องเต้ไม่ได้ฆ่าไท่จื่อให้ตายตรงนั้นก็นับมาเป็นบิดาที่มีความเมตตาอย่างมากแล้ว!
ในตอนนี้เอง หมอหลวงคนหนึ่งก็ได้เดินออกมา “ฝ่าบาท ไท่จื่อฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้และฮองเฮามองตากัน แล้วเดินเข้าไปด้านใน
พระชายาเอกที่ได้ยินคำเรื่องเหล่านั้น ก็ได้กัดริมฝีปากของนางอย่างแรงแล้วเดินตามไปอย่างเงียบๆ
บนเตียง ไท่จื่อมีผ้าพันแผลพันอยู่รอบศีรษะ พร้อมสายตาที่รู้สึกผิด
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้เดินมาถึงตรงหน้าของไท่จื่อ เห็นไท่จื่อที่ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร จึงพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างรุนแรง แสดงออกอย่างไม่พอใจ
ไท่จื่อกะพริบตา “เจ้าเป็นใคร?”