Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 ตอนที่ 179 ภูเขาสงบโลกวุ่นวาย
ท่าทางคงไม่เคยถูกคนชมมาก่อน จ้าวฮั่นชิงจึงเก้กังอยู่บ้างก้มศีรษะลง มองมือของตนเองอีกครั้ง ปลายเท้าย่ำดินโคลน
“นี่นับว่าร้ายกาจอันใด” นางเอ่ยเสียงเบา “ก็แค่ลูกดอกเท่านั้น”
คุณหนูจวินมองลูกดอกที่ห้อยอยู่ข้างเอวนาง แล้วมองธนูบนแผ่นหลังของนางอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นยิงธนูเจ้าก็ร้ายกาจมากเหมือนกันสินะ?” นางเอ่ยถาม
จ้าวฮั่นชิงขานอืมตอบ
“ข้าเป็น อาหยางสอนข้า” นางเอ่ย
“มามา ให้ข้าดูหน่อยเร็ว” คุณหนูจวินดึงนางแล้วเอ่ยขึ้น
จ้าวฮั่นชิงเก้กังอยู่บ้าง แต่ยังคงเอาคันศรลงมาตามคำบอก ตั้งสมาธิกวาดมองป่าบนภูเขา ฉับพลันง้างคันศรปล่อยสาย เสียงฟึบดังขึ้นทีหนึ่ง ลูกธนูดั่งดาวตก กระต่ายป่าตัวหนึ่งในพงหญ้าถูกปักตรึงกับพื้น ชักกระตุกชั่วครู่ก็นิ่งไม่ขยับ
เสียงร้องยินดีของคุณหนูจวินดังขึ้นกลางป่าเขา
“เจ้าร้ายกาจเหลือกิน เจ้าร้ายกาจเหลือเกิน” นางตบไหล่จ้าวฮั่นชิงร้องขึ้นมา
ร้ายกาจปานนั้นเชียวรึ? ก็แค่กระต่ายตัวเดียว…จ้าวฮั่นชิงทำอันใดไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ยังคงเผยรอยยิ้ม
“พ่อเจ้าไม่ได้สอนข้ายิงธนู” คุณหนูจวินเอ่ย ดวงตาเป็นประกาย “ไม่สู้เอาเช่นนี้เถอะ ฮั่นชิงเจ้าสอนข้ายิงธนู ข้าสอนเจ้าดูสมุนไพร”
“ข้า ข้าเรียนได้หรือ?” จ้าวฮั่นชิงลังเลนิดหนึ่งเอ่ยขึ้น ในแววตาคาดหวังอยู่บ้างแล้วก็กังวลอยู่บ้าง
“ย่อมได้ มาเถอะ”คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย ดึงมือของนาง “พวกเราไปหาสมุนไพรรักษาแผลหลายชนิดก่อน”
จ้าวฮั่นชิงถูกนางจับจูง ทำอันใดไม่ถูกอยู่บ้างติดตามไป
มาเถอะ ข้าจะสอนสิ่งที่พ่อเจ้าสอนข้าให้เจ้า สิ่งที่พ่อเจ้าเคยพาข้าไปทำ เคยพาข้าไปเล่น เคยพาข้าไปกิน ข้าล้วนจะพาเจ้าไปทำให้ครบ
คุณหนูจวินหันกลับมามองนางยิ้มให้ทีหนึ่ง กุมมือนางไว้แน่น
มองเห็นเด็กสาวสองคนนี้จูงมือเดินท่องในป่าเขา หยางจิ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลพลันเผยรอยยิ้มแล้วก็หุบยิ้มไป
“พี่สะใภ้ นิวหนิ่วอยากรู้เกี่ยวกับพี่ใหญ่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ท่านอย่าถือโทษนาง” เขาเอ่ย
เซียวจือที่ยืนอยู่ด้านข้างยิ้ม
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร นั่นเป็นธรรมชาติของบิดากับบุตรสาว ข้าจะห้ามนางเพราะความชอบของตัวข้าเองได้อย่างไร” นางเอ่ย
บิดากับบุตรสาวสองคำออกจากปาก สีหน้าของหยางจิ่งก็ดีใจขึ้นนิดหน่อย
“พี่สะใภ้ ถ้าอย่างนั้นท่านจะ…” เขาอดไม่ไหวเอ่ยขึ้น
“ไม่ได้” เซียวจือขัดเขา เอ่ยอย่างเด็ดขาด “อภัยไม่ได้”
หยางจิ่งรีบก้มศีรษะขานตอบ
ฝนหนาวห่าหนึ่งโปรยลงมาทั่วขุนเขาฤดูใบไม้ร่วง ลมหนาวระลอกแรกพัดมา คุณหนูจวินก็ทำเท้าใหม่ให้เถี่ยเจี่ยวเสร็จแล้ว
ผ่านการดูแลรักษาช่วงนี้ น่องที่เสียดสีบาดเจ็บของเถี่ยเจี่ยวก็หายดีแล้ว มองดูเถี่ยเจี่ยวติดเท้าอันใหม่ก้าวเดินก้าวแรกอย่างระมัดระวัง ฝูงชนที่ล้อมดูอยู่ส่งเสียงให้กำลังใจ
“เถี่ยเจี่ยว เดินอีกด้าว”
“เถี่ยเจี่ยว วิ่งหน่อย”
ทุกคนยิ้มพลางตะโกนหยอกล้อ เถี่ยเจี่ยวที่สงบปากสงบคำมาเสมอสีหน้าตื่นเต้นอย่างยิ่ง สีหน้าแดงก่ำ ไม่เพียงเดิน ยังจะลากเซี่ยหย่งไปขี่ม้าด้วย
“พวกเราที่นี่มีม้าที่ไหน” เซี่ยหย่งยิ้มเอ่ย
ม้าที่พามาตอนมาครั้งนั้นล้วนแก่ตายไปหมดแล้ว เลี้ยงคนให้รอดยังไม่ง่าย ม้าย่อมซื้อไม่ไหวเลี้ยงไม่ไหว
“อยากได้ม้ารึ?” หลิ่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างหูตั้งได้ยินเข้า ตะโกนทันที “พรุ่งนี้ไปซื้อ”
ท่าทางเช่นนี้ของหลิ่วเอ๋อร์วันนี้ไม่ทำให้ทุกคนกระอักกระอ้วนเก้กังอีกต่อไป ได้ยินเข้าล้วนหัวเราะ
“ไม่ต้องหัวเราะเลย ข้าพูดคำไหนคำนั้น” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ หันไปมองคนหลายคนที่ขี่ม้ามาบนถนนใหญ่ นางร้องเอ๋ขึ้นมา “ดู ผู้ดูแลใหญ่ของเต๋อเซิ่งชางมาแล้ว ข้าจะไปบอกเขา”
คุณหนูจวินแยกจากฝูงชนที่คุยเล่นหัวเราะครึกครื้น เดินมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านมองดูผู้ดูแลใหญ่ของเต๋อเซิ่งชางเมืองชิ่งหยวนพลิกกายลงจากม้า
สีหน้าเขาร้อนรนอยู่บ้าง ค้อมกายคำนับ
“คุณหนูจวิน เกิดเรื่องแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเบา “ชาวจินกับต้าโจวเปิดสงครามอย่างเป็นทางการแล้ว”
เปิดสงคราม อย่างเป็นทางการ
คุณหนูจวินสีหน้าหนักใจเช่นกัน
ชาวจินกับต้าโจวเพราะสิบปีก่อนหน้านี้ทำสัญญากันจึงอยู่ด้วยกันอย่างสงบ
แน่นอนสิบปีนี้ก็ไม่ได้นับว่าสงบสุขเท่าใดนัก แต่ไม่ว่าปรากฏตัวประปรายที่นอกด่านชายแดนก็ดีหรือลอบจู่โจมเมืองปล้นชิงก็ดี นั่นล้วนไม่เรียกเปิดสงคราม เพราะชาวจินลับๆ ล่อๆ ชาวโจวพบเข้าก็สู้ สู้แล้วก็หนี หนีแล้วด่าสักรอบหนึ่งก็จบเรื่อง
ตอนนี้ถึงกับบอกว่าจะเปิดสงครามอย่างเป็นทางการ ที่เรียกว่าเปิดสงครามอย่างเป็นทางการ….
“ส่งสาส์นประกาศสงคราม” ผู้ดูแลใหญ่ของเต๋อเซิ่งชางแห่งเมืองชิ่งหยวนสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ทหารจินรวมตัวกันนับหมื่น บีบมาจากตะวันออกตะวันตกสองทาง”
สาส์นประกาศสงคราม ทหารจินนับหมื่น นั่นไม่ใช่รุกรานเผาฆ่าปล้นชิงอย่างเร่งรีบจริงๆ
คุณหนูจวินเงียบงันไปครู่หนึ่ง
“พวกเขาเอาความมั่นใจจากไหนกล้าทำเช่นนี้?” นางเอ่ย
“บางทีสะสมกำลังมาสิบปีคงอยากลองดูอีกสักครั้ง” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ย
“พวกเขาสะสมสิบปี เฉิงกั๋วกงก็ไม่ได้อยู่เสียเปล่าสิบปี” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกเขากล้ามา พวกเราก็ไม่กล้ว”
ผู้ดูแลใหญ่พยักหน้า
“ใช่แล้วขอรับ เฉิงกั๋วกงออกคำสั่งให้ทุกเมืองเตรียมพร้อมรบแล้ว กองทหารหย่งซิ่ง กองทหารหย่งหนิง กองทหารกว่างเฉิงล้วนเคลื่อนพลรวมตัวกันแล้ว” เขาเอ่ย “เวลานี้สถานที่ต่างๆ ประชาชนยังนับว่าใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ เก็บตุนข้าวสารตามต้องการ ออกไปข้างนอกให้น้อย”
“ข้าวสารที่นี่ก็เพียงพอแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกท่านตอนนี้ไม่ต้องกังวล”
ผู้ดูแลใหญ่ขานรับ
“คุณหนูจวินก็ไม่ต้องกังวลใจ” เขายิ้มเอ่ยอีกครั้งสำเนียงท้องถิ่นชัดเจน “ก่อนหน้านี้ก็มีสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน โจรจินมาอย่างน่าเกรงขามธงทิวโบกสะบัด ผลสุดท้ายครึ่งเดือนก็ถูกตีกลับไปแล้ว”
คุณหนูจวินอมยิ้มพยักหน้า
“ข้าเชื่อว่าเฉิงกั๋วกงมีความสามารถนี้” นางเอ่ยขึ้นไม่ลังเลสักนิด
นี่คือเชื่อมั่นอย่างแท้จริง ไม่ใช่พูดขอไปทีหรือปลอบใจตนเอง นางทั้งไม่หวาดกลัวทั้งไม่กังวล ผู้ดูแลใหญ่มองสีหน้าของเด็กสาวคนนี้ประหลาดใจเล็กน้อย เชื่อมั่นในตัวเฉิงกั๋วกงปานนี้เชียว
“บิดาของข้าก่อนหน้านี้เป็นนายอำเภอของฝู่หนิง” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “ข้าก็เติบใหญ่ที่แดนหนือเหมือนกัน คนที่อยู่แดนเหนือคนไหนไม่เชื่อมั่นในตัวเฉิงกั๋วกง”
นั่นก็ใช่ ผู้ดูแลใหญ่ยิ้มแล้วเล่าแนวโน้มสถานการณ์ของแดนเหนือพักนี้ต่อ ทิ้งจดหมายจากที่บ้านของฟางเฉิงอวี่ไว้แล้วขอตัว เดินมาถึงในเรือนก็ถูกหลิ่วเอ๋อร์คว้าไว้ต้องการจะซื้อม้า
“ต้องซื้อเยอะมาก ทุกคนคนละตัว” นางเอ่ย
คิ้วผู้ดูแลใหญ่เลิกขึ้น อดไม่ได้มองคุณหนูจวินทีหนึ่ง
เขารู้ว่าคุณหนูจวินตามใจสาวใช้คนนี้ยิ่งนัก ต้องการอะไรก็ซื้ออันนั้น แต่ม้าไม่ใช่ผลไม้เชื่อมที่ทุกคนคนละถุงก็ไม่เป็นไร
“ซื้อเถอะ มีม้าเดินทางเข้าออกสะดวกขึ้นมาก” คุณหนูจวินเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นทุกคนคนละตัวหรือขอรับ?” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ยถาม “หากเป็นเช่นนี้ หญ้าเลี้ยงม้าก็คงต้องเตรียมใหม่ด้วย”
“เอาม้าสิบตัวก่อนแล้วกัน” คุณหนูจวินเอ่ย “เดินทางประจำวันก็เพียงพอแล้ว”
ผู้ดูแลใหญ่ขานรับพาคนจากไป
หลิ่วเอ๋อร์ดีอกดีใจไปประกาศช่าวซื้อม้าให้ทุกคนฟังทันที นี่ทำให้ชาวบ้านคึกคักขึ้นมาอีกระลอก
ส่วนคุณหนูจวินบอกข่าวการเปิดสงครามกับเซี่ยหย่งและหยางจิ่ง
ได้ยินข่าวนี้ทั้งสองคนไม่ได้ตื่นตระหนกอันใด
“คุณหนูจวินไม่ต้องกังวล พวกเราที่นี่อยู่ห่างไกล ทั้งยังป้องกันง่ายโจมตียาก” พวกเขาเอ่ยเพียงเท่านี้
“ที่นี่คือเมืองชิ่งหยวน หากถึงเวลานั้นจริงย่อมบ่งบอกว่าแนวป้องกันของราชสำนักถูกตีแตกแล้ว นั่นถึงเป็นเรื่องน่ากังวล” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย
หยางจิ่งไม่ยิ้ม เพียงแต่ขานอ้อทีหนึ่ง
“นั่นเป็นเรื่องที่ราชสำนักทางการต้องกังวลแล้ว” เขาเอ่ยนิ่งสนิท “ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา”
กองทัพศัตรูตีชายแดน บ้านเมืองไม่สงบ ประชาชนทุกข์ร้อน นี่เดิมเป็นเรื่องที่ทุกคนควรกังวลสนใจ นับประสาอะไรกับพวกเขาที่ยังพูดเต็มปากเต็มคำว่าตนเองเป็นทหาร
ทหารมีไว้เพื่อปกบ้านป้องเมือง บอกว่าไม่เกี่ยวกับพวกข้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ได้อย่างไร?
คุณหนูจวินมองเขาคล้ายจะสืบเสาะ เซี่ยหย่งจึงกระแอมทีหนึ่ง
“แน่นอนย่อมกังวล แน่นอนย่อมเกี่ยวข้อง” เขาทำหน้าจริงจังเอ่ย “เรื่องนี้ต้องบอกทุกคน ตั้งแต่วันนี้ต้องระวังกวดขันยิ่งขึ้น”
พูดจบก็ลากหยางจิ่งขอตัวไปประกาศแล้ว
คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของพวกเขาเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่