ตอนที่ 295 แหลกสลาย
ตอนที่ 295 แหลกสลาย
องครักษ์ที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินเช่นนั้น ก็ประหลาดใจไปครู่หนึ่ง “นายท่านบอกว่า อุปราชแห่งราชอาณาจักรจิงเหลยที่สง่างาม จะเสียเปรียบต่อท่านอ๋องซิวผู้นี้หรือ?”
“มีความเป็นไปได้สูงมาก” ฉีหานเว่ยกางพัดออก ก่อนที่จะยิ้มและสะบัดพัดสองสามครั้ง
องครักษ์ขมวดคิ้ว “แต่ว่านายท่าน ถึงท่านอ๋องซิวจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่อาณาจักรเฟิงชางก็เสียประชาชนไปแล้วสองคน ท่านอ๋องซิวผู้นั้นยังไม่ทันที่จะลงมือสังหารคนของอาณาจักรจิงเหลยเลย อย่างมากที่สุดก็ต้องทำให้อุปราชผู้นั้นอยู่ไม่เป็นสุข ”
“ผู้ใดบอกว่าอาณาจักรเฟิงชางเสียประชาชนไปแล้วสองคน? เมื่อครู่เจ้าไม่เห็นสองแม่ลูกที่ถูกแบกขึ้นไปที่โรงเตี๊ยมฝั่งตรงข้ามนั่นหรือ?”
องครักษ์ตกใจ และเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “นายท่านหมายความว่า…หรือว่าสองแม่ลูกนั้นจะยังมีชีวิตอยู่?”
“เจ้าอย่าลืมสิ ตอนนี้หมอปีศาจผู้เป็นที่ร่ำลือในเมืองหลวงได้อาศัยอยู่ที่ตำหนักของท่านอ๋องซิว” ฉีหานเว่ยหัวเราะขึ้น และวางพัดที่อยู่ในมือไว้บนโต๊ะ ชายหนุ่มหลับตาลงและค่อย ๆ หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ เพียงแค่ผ่านไปสักพักก็นึกถึงคำพูดที่ฉีจ้านเอ่ยกับตน
ฉีจ้านเอ่ยว่า คนที่ช่วยชีวิตตนไว้ในร้านยาซิงเซิ่งวันนั้นเป็นสตรี
ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ หมอปีศาจเองก็เป็นหญิงสาวและอยู่ในเมืองหลวง
คนผู้นั้นที่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นหมอปีศาจ และผู้คนต่างก็เรียกหมอปีศาจว่าแม่นางชิง?
“นายท่าน” ฉีหานเว่ยยังคงครุ่นคิด จู่ ๆ องครักษ์ที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยเรียกด้วยเสียงเบา ๆ “ความคิดของประชาชนเปลี่ยนไปแล้วขอรับ เมื่อพวกเขานั้นได้ฟังคำพูดของเย่ซิวตู๋ ตอนนี้ต่างก็อยากออกมาลากรถกับเย่ซิวตู๋”
ฉีหานเว่ยตกตะลึง และค่อย ๆ จัดเก็บความคิดที่กระจัดกระจาย และมองลงไปดูเหตุการณ์ด้านล่างอีกครั้ง
เกิดความโกลาหลกับประชาชนด้านล่าง เนื่องจากคำพูดเหล่านั้นของเย่ซิวตู๋ ทำให้ประชาชนเคารพราชวงศ์และเย่ซิวตู๋มากยิ่งขึ้น ในเวลานี้ทุก ๆ คนต่างก็ออกมาด้วยความเต็มใจและยินยอมที่จะลากรถม้าคันนั้น ก็เพียงแค่ลากรถม้าไปยังเรือนรับรองอย่างปลอดภัย
สีหน้าของอุปราชแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเคือง อ๋องซิวผู้นี้ ไม่สามารถคาดการณ์ได้จริง ๆ
อุปราชมองเขาด้วยแววตาเย็นชา แต่เย่ซิวตู๋กลับหันมาเอ่ยกับประชาประชาชนอย่างกระตือรือร้น “ทุกท่าน ในเมื่อท่านอุปราชบอกว่าขอเพียงแค่สิบคน เช่นนั้นสิบคนก็เพียงพอแล้ว ข้าคิดว่าให้อุปราชออกมาชี้แนะด้วยตัวเองจะดีกว่า ”
ว่าพลางก็หันศีรษะไปเอ่ยถาม “ท่านอุปราช เราเอ่ยได้ถูกหรือไม่?”
“หึ ท่านอ๋องซิวไม่ได้กล่าวว่าตนมีพละกำลังมากมายไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นแล้ว หนึ่งคนก็น่าจะมีค่าเท่ากับห้าคน ส่วนที่เหลือข้าไม่เลือกก็แล้วกัน ก็ให้ท่านอ๋องซิวและอีกห้าคนมาลากรถม้า ท่านว่าเช่นไร?”
หนานหนานเงยหน้าขึ้นมาด้วยความยากลำบาก และมองไปยังบุรุษตัวสูงที่เผชิญหน้ากัน เด็กน้อยเบ้ปากและพลันรู้สึกอยากตัวสูงเช่นนั้น ไม่ใช่สิ อยากที่จะสูงกว่าเขาทั้งสองคน วันข้างหน้าจะได้ให้พวกเขาเงยหน้ามองตนบ้าง
เย่ซิวตู๋เห็นแววไม่พอใจในดวงตาของเด็กน้อย ชายหนุ่มจึงผลักเขาเบา ๆ หลังจากนั้นจึงเอ่ยกับอุปราช “ในเมื่ออุปราชเอ่ยเช่นนี้ัแล้ว เช่นนั้นแล้วเราคงจะไม่ปฏิเสธ”
อุปราชหรี่ตาลง รู้สึกได้ว่าเย่ซิวตู๋มีเจตนาที่ไม่ดีอยู่ในใจเช่นกัน
องค์รัชทายาทและคนอื่น ๆ ต่างไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ภายในใจก็ตั้งตารอว่าเย่ซิวตู๋จะทำให้อุปราชพ่ายแพ้ และกู้หน้าให้อาณาจักรเฟิงชาง เพียงแต่อีกฝั่งก็รอให้เย่ซิวตู๋เสียเปรียบเช่นกัน ดีที่สุดคือสูญเสียชื่อเสียง และทำให้ฮ่องเต้รู้สึกผิดหวังในตัวเขา
เนื่องด้วยตอนนี้องค์รัชทายาทและคนอื่น ๆ นั้นรู้สึกวุ่นวายเป็นอย่างมาก จึงทำได้เพียงเงียบปากและปล่อยให้อุปราชและเย่ซิวตู๋เผชิญหน้ากัน ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องของพวกเขาทั้งคู่
ฉีหายเว่ยที่นั่งอยู่บนร้านอาหารหัวเราะขึ้น และฟังน้ำเสียงที่ขององครักษ์ที่อยู่ข้าง ๆ “เป็นไปได้ไหมว่าอ๋องซิวผู้นี้จะไปลากรถม้าจริง ๆ ข้าน้อยคิดว่าที่เขาเอ่ยมากมายขนาดนั้น เพื่อเป็นการเกลี้ยกล่อมให้อุปราชแห่งอาณาจักรจิงเหลยนั้นเปลี่ยนความคิดเสีย”
ฉีหานเว่ยขมวดคิ้ว และเหลือบมองชายหนุ่มและเอ่ยขึ้นเบา ๆ “อ๋องซิวผู้นั้นไม่นิยมการต่อกรด้วยวาจา เหตุใดจึงจะสามารถเกลี้ยกล่อมอุปราชได้?”
องครักษ์เอียงศีรษะและครุ่นคิด และคิดว่าสิ่งที่นายท่านเอ่ยมานั้นสมเหตุสมผล
ในโรงเตี๊ยมตรงข้ามของพวกเขา กลับมีเด็กทั้งสองคนมองดูสถานการณ์ข้างล่างอย่างใจจดใจจ่อ
อวี้เป่าเอ๋อร์ตื่นเต้นจนเหงื่อออกเต็มฝ่ามือ เด็กหนุ่มคว้ามือของเย่หลานเฉิงไว้ และกลืนน้ำลายด้วยความไม่สบายใจ “จะลงไม้ลงมือกันหรือไม่ จะลงไม้ลงมือกันหรือไม่? อุปราชผู้นั้นดูเหมือนว่าจะมีทักษะวรยุทธ์ที่สูงเหมือนกันนะ”
“ท่านลุงห้าไม่มีทางไปลากรถม้าหรอก” เย่หลานเฉิงเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน เด็กน้อยส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ท่านน้าชิงไม่ได้อยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วท่านน้าชิงที่ฉลาดเป็นกรดก็คงจะรู้ว่าตอนนี้ท่านลุงห้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่?”
โม่เสียนที่ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขากระตุกมุมปาก นี่มันหมายความว่าอะไร หรือว่าคนที่พวกเด็ก ๆ นั้นจะสามารถพึ่งพาได้จะมีเพียงแค่อวี้ชิงลั่วผู้เดียว ตนก็เป็นบุรุษที่มีคุณธรรมและสติปัญญาเช่นกันนะ
โม่เสียนกระแอมขึ้นเล็กน้อย ก่อนเสียงทุ้มต่ำของเขาจะดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ท่านอ๋องจะต้องไม่ลากรถอย่างแน่นอน”
โม่เสียนเองก็อยู่กับเย่ซิวตู๋มาเป็นเวลานาน นิสัยของเขานั้นโม่เสียนเองก็รู้จักอยู่ไม่น้อย
อวี้เป่าเอ๋อร์และเย่หลานเฉิงหันหน้ามาพร้อมกัน และจ้องมองไปที่โม่เสียน “เจ้ารู้หรือว่าท่านอ๋องกำลังคิดสิ่งใด?”
“…” โม่เสียนตกตะลึง เรื่องนี้ เรื่องนี้ ชายหนุ่มเพียงแค่รู้สึกว่าท่านอ๋องนั้นต้องไม่ลากรถม้าอย่างแน่นอน สำหรับในส่วนที่ว่าเขานั้นคิดสิ่งใดนั้น… “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
เด็กทั้งสองคนมองกวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยท่าทางดูถูก หลังจากนั้นก็หันศีรษะกลับไปดูเหตุการณ์ข้างล่างต่อ
ตอนนี้อารมณ์ของเย่ซิวตู๋ยังคงเย็นชาอยู่เหมือนเดิม และการแสดงออกก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ทุกคนต่างจับต้องด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง สายตาทั้งหมดในความมืดเต็มไปด้วยความสงสัย เย่ซิวตู๋ค่อย ๆ เดินไปที่รถม้าและปลดบังเหียนออก
เย่ฮ่าวถิงคิ้วกระตุก ความคิดนับร้อยนับพันก็โถมเข้ามาในหัว แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าท้ายที่สุดแล้วพี่ห้าคิดจะทำอะไร
เย่ซิวตู๋คว้าเชือกที่ผูกไว้ด้านหน้ารถม้า และเอ่ยขึ้นกับประชาคนทั้งห้าคน “พวกเจ้ารอสักครู่ รอให้ข้ามั่นคงก่อน แล้วพวกเจ้าแต่ละคนไปยืนแต่ละมุมและช่วยกันดันรถม้า ”
“พ่ะย่ะค่ะ” ทั้งห้าคนที่กำลังเริ่มดันไปข้างหน้าได้หยุดลงทันทีเมื่อได้ยินชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
เย่ซิวตู๋ระบายลมหายใจเย็นชา และจับเพลาบริเวณหน้ารถม้าเอาไว้ และรถม้าก็เริ่มเคลื่อนอย่างมั่นคง
ทุก ๆ คนต่างป่าวร้องเบา ๆ “ท่านอ๋องสุดยอด”
อุปราชหัวเราะเย็นชา แบบนี้เรียกสุดยอดหรือ?
ถึงอย่างไรอุปราชก็ไม่คาดว่าเย่ซิวตู๋จะเข้าไปลากรถม้าจริง ๆ ท้ายที่สุดแล้วเขาอยากทำอะไรกันแน่?
อุปราชขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่เย่ซิวตู๋ยื่นมือจับบริเวณกลางคานของรถม้าแล้ว ชายหนุ่มหัวเราะเย้ยและประทับฝ่ามือลงทันที
หลังจากนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นเกือบจะในทันที ในขณะที่ยังไม่มีผู้ใดตอบสนองได้ทัน รถม้าก็ทรุดตัวลง แหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ขี้เลื่อยปลิวไปทุกหนทุกแห่ง รถทั้งคันก็พังทลายลงในที่สุด…
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
การแก้ปัญหาแบบเย่ซิวตู๋ – ไม่ลากซะอย่าง พังมันทั้งคันไปเลยก็สิ้นเรื่อง
ไหหม่า(海馬)