บทที่ 608 อันตราย

ฮ่องเต้น้อยยังคงขมวดพระขนงอยู่เช่นเดิม เขาตรัสออกมาอย่างไม่พอพระทัย “หากเจ้าลงมือฆ่าราชทูต เช่นนี้ยิ่งจะทำให้แตกหักจากต้าโจวเร็วขึ้น”

“ฝ่าบาท กระหม่อมได้รับจดหมายจากแคว้นฉู่ กองกำลังของต้าฉู่มีทั้งสิ้นหนึ่งแสน กองกำลังของเราอีกสองแสน รวมเบ็ดเสร็จเป็นสามแสนนาย ตราบใดที่มีพระบรมราชโองการ กองทัพพร้อมจะกรีธาไปยังต้าโจวทันที” เซี่ยซิ่วกล่าว ฮ่องเต้ยังทรงลังเลพระทัย

“กองทัพสามแสนนายจะโค่นล้มต้าโจวได้หรือ? ราวกับต่อกรกับเสือที่ดุร้าย หากพลาดแม้แต่ครั้งเดียวจะต้องโดนโจมตีกลับแน่นอน”

“ฝ่าบาท ในเวลาเช่นนี้พระองค์ไม่ควรกังวลหัวและหาง เดิมทีแผ่นดินใต้หล้าทั้งหมดเป็นของต้าฉี แต่เกิดโกลาหลอลหม่านขึ้น จึงได้แบ่งเป็นสามแคว้นใหญ่ ต้าฉีจำต้องมาตั้งรกรากในพื้นที่อัตคัดเช่นนี้ ทว่าฮ่องเต้หยงได้ทรงงานอย่างอุตสาหะจนในที่สุดบ้านเมืองได้เปลี่ยนผ่านมาจนถึงเจ็ดชั่วอายุคนแล้ว ในยามนี้ต้าฉีมีความแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงถึงเวลาที่จะต้องรวมแผ่นดินให้กลายเป็นหนึ่งอีกครั้งแล้วพะย่ะค่ะ” เซี่ยซิ่วหยุดครู่หนึ่งจากนั้นจึงได้กราบทูลต่อว่า

“ทหารของต้าโจวกระหายที่จะทำสงคราม พวกเขาตั้งใจจะครอบครองแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวมานานมากแล้ว หากต้าฉีไม่ตอบโต้เสียบ้าง ภายหน้าเราคงได้แต่เพียงเฝ้ามองต้าโจวแข็งแกร่งขึ้น ตอนนี้ฮ่องเต้โจวกำลังอ่อนแอ รวมถึงมีการแก่งแย่งอำนาจระหว่างองค์ชายรองและองค์ชายหก นับเป็นโอกาสอันดีที่จะยกทัพไปตีต้าโจว เมื่อต้าฉีและต้าฉู่ร่วมมือกันทำลายต้าโจวลงได้วันใด วันนั้นหากต้าฉู่อ่อนแอ..เราจะใช้จังหวะนั้นทำลายต้าฉู่….”

ฮ่องเต้กลับตรัสออกมาว่า “ไยไม่รอให้ฮ่องเต้โจวสิ้นพระชนม์เสียก่อนเล่า? ถึงตอนนั้นต้าโจวย่อมระส่ำระสาย การโจมตีน่าจะง่ายดายกว่า”

ใบหน้าของเซี่ยซิ่วเย็นชาขึ้น คำถามนี้เขาเคยทูลตอบไปแล้ว ฮ่องเต้ของต้าฉู่เป็นกองกำลังหลัก ย่อมทำให้สถานการณ์ในแคว้นต้าฉู่ไม่มั่นคง การเปลี่ยนผ่านอำนาจอาจจะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดี จึงได้จัดตั้งเป็นพันธมิตรขึ้นมาระหว่างแคว้น ยามนี้สมควรแก่เวลาแล้ว ฮ่องเต้น้อยตรัสถามเช่นนี้เป็นเพราะพระองค์ไม่มีพระราชประสงค์ที่จะโจมตีต้าโจว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ทรงมีความมั่นพระทัยในตัวเขา แต่มีบางอย่างทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนไป หรือราชทูตของแคว้นต้าโจวจะมีส่วน?

“เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงลังเลพระทัย?”

ฮ่องเต้น้อยเม้มพระโอษฐ์ ทอดพระเนตรไปยังไปเซี่ยซิ่วแล้วตรัสว่า

“องค์ชายรองซยงหนูฮ่าวตุ้นถูกลอบสังหาร องค์ชายแปดก่อกบฏ การเป็นพันธมิตรกับซยงหนูถือว่าล้มเหลว”

เซี่ยซิ่วเองก็คิดเรื่องนี้เช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้ทรงยื่นเป็นพันธมิตรกับซยงหนูและต้าฉี ทว่าตอนนี้ซยงหนูไม่สามารถจับมือเป็นพันธมิตรกับแคว้นต้าฉีได้แล้ว นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้พระองค์ทรงลังเลพระทัย

“ฝ่าบาท ตอนนี้กองทัพหนึ่งแสนนายของต้าฉีออกเดินทางแล้วพะย่ะค่ะ” เซี่ยซิ่วเตือน

พันธมิตรในครั้งนี้ถูกเสนอโดยต้าฉี หากพวกเขาผิดคำพูดกับต้าฉีจะสูญเสียความน่าเชื่อถือทันที

“ข้ารู้แล้ว ข้าเพียงแต่ถามดูเท่านั้น”

หลังจากที่เซี่ยซิ่วจากไป สีพระพักตร์ที่นุ่มนวลกลับแปรเปลี่ยนเป็นสุขุมมากขึ้น

พระองค์ไม่ค่อยสบายพระทัยนัก การเคลื่อนไหวในครั้งนี้เสี่ยงเกินไป หากเกิดล้มเหลวขึ้นมา ต้าฉีอาจจะตั้งรับไม่ได้

เซี่ยซิ่วออกจากวังกลับไปยังจวน ระหว่างทางเขาครุ่นคิดว่า การที่ฮ่องเต้ทรงลังเลพระทัยเช่นนี้เป็นเพราะความล้มเหลวจากการผูกพันธมิตรกับฮั่น อีกหนึ่งคือราชทูตที่มาจากต้าโจว…ต้องสังหารทั้งคู่เท่านั้น จึงจะทำให้ฮ่องเต้ไร้ซึ่งความลังเลพระทัย

รังสีเข่นฆ่าฉายชัดในแววตาของเซี่ยซิ่ว

……

วันถัดมา ณ จวนรับรอง

อัครเสนาบดีเซี่ยซิ่วได้เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงโดยเชิญเว่ยฉิงและกู้หวยจิ่นไปร่วมงาน ไม่น่าจะเป็นงานเลี้ยงที่มีจุดประสงค์ดี แต่เป็นงานเลี้ยงหงเหมิน[1]

ทว่าทั้งสองคนยืนยันที่จะไปงานเลี้ยงนี้เพราะเป็นโอกาสที่หาได้ยาก

ก่อนออกเดินทาง เว่ยฉิงซ่อนกริชไว้ในรองเท้า เหน็บหน้าไม้ไว้ที่เอว ส่วนในมือของเขาถือดาบไว้ ในขณะที่กู้หวนจิ่นท่องทุกอย่างให้ขึ้นใจ เขาตั้งใจจะเกลี้ยกล่อมเซี่ยซิ่ว

ในไม่ช้ารถม้าก็มาถึงยังจวนของอัครเสนาบดี เมื่อทั้งสองลงจากรถม้าทหารยามตรวจสอบค้นตัวพวกเขาด้วยความเข้มงวด ดาบและหน้าไม้ของเว่ยฉิงถูกยึดไป พวกเขาสังเกตได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากล กู้หวนจิ่นโน้มตัวไปกระซิบเว่ยฉิง

“น้องเขย ข้าว่าเรากำลังตกอยู่ในอันตรายนะ”

เว่ยฉิงชำเลืองมองไปที่เขา ดวงตาของชายหนุ่มสงบดูเชื่อถือได้

“อย่ากังวล ข้าจะปกป้องท่านเอง”

“ไม่! ไม่ต้องห่วงข้า ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง ท่านสามารถหลบหนีไปเพียงตามลำพังได้” ท่าทีของกู้หวนจิ่นจริงจังมาก

เว่ยฉิงเม้มปากไม่พูดอะไร เขาเฝ้าสังเกตบรรยากาศรอบๆ ด้วยความสงบ ทบทวนถึงเส้นทางที่ผ่านมา ทั้งสองถูกพามาอยู่ที่สนามหญ้า ในจวนมีทั้งสุราและอาหารวางตั้งโต๊ะ แต่กลับปราศจากผู้คน

“พวกเจ้าทั้งสองนั่งลงก่อน ท่านอัครเสนาบดีจะมาถึงในไม่ช้านี้”

เว่ยฉิงและกู้หวนจิ่นพยักหน้าและนั่งลงใกล้ๆ กัน ในไม่ช้าอัครเสนาบดีแห่งแคว้นฉีก็เดินมาถึง ดวงตาของเว่ยฉิงจับจ้องไปที่เซี่ยซิ่วทันที

นี่เป็นครั้งที่สองที่พวกเขาได้พบหน้ากัน ขุนนางหนุ่มมีสีหน้าเย็นชา หากตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ยากที่จะคาดเดาได้ว่าเซี่ยซิ่วจะเป็นนักสู้ที่มีความทะเยอทะยานสูง

เซี่ยซิ่วนั่งลงดื่มกับพวกเขา ในสายตาของคนนอก ต่างคิดว่ากู้หวนจิ่นคือราชทูตและเว่ยฉิงเป็นเพียงผู้ติดตามเท่านั้น ดังนั้นสายตาของเซี่ยซิ่วจึงได้จับจ้องแต่กู้หวนจิ่น เฝ้ามองว่าเขาจะกระดกสุราดื่มหรือไม่? เว่ยฉิงกระดกสุราแต่ไม่ได้เปิดปากดื่มมันลงไป

หลังจากที่ดื่มสุราไปสองจอกกู้หวนจิ่นเริ่มพูดโน้มน้าวเซี่ยซิ่วเรื่องการสร้างพันธมิตรกับต้าฉู่ ในระหว่างที่กำลังพูดคุยกันนั้นมีคนเข้ามารายงานเรื่องด่วนกับเซี่ยซิ่ว ชายหนุ่มจากไปโดยทิ้งผู้ช่วยทั้งสองคนของตนเองไว้

พวกเขาล้วนพูดจาสุภาพไพเราะ เขาชวนกู้หวนจิ่นและเว่ยฉิงดื่มกินไม่หยุด เป็นเพราะเว่ยฉิงมีใบหน้าที่ดุดัน เมื่อเขามีทีท่านิ่งเฉยยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาดูน่ากลัวมากขึ้น ผู้ช่วยทั้งสองรู้สึกเกรงเขา จึงได้มุ่งเป้าไปที่กู้หวนจิ่นแทน

ในเมื่อไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ กู้หวนจิ่นจึงแสร้งดื่มไปอีกไม่กี่แก้ว จากนั้นจึงได้ทิ้งตัวลงอย่างเมามายทับร่างเว่ยฉิง

ทั้งสองต่างมองเว่ยฉิงยังไม่กล้าเข้าใกล้อีกฝ่าย

“อาหารที่ข้ากินไป พวกเขาก็กินไปเหมือนกันดังนั้นคงไม่มีพิษ แต่ข้าไม่รู้ว่าในสุรามีอะไร..” กู้หวนจิ่นเอนตัวกระซิบที่ข้างหูของเว่ยฉิง

“ถ้าข้าถูกวางยาพิษจนตายล่ะก็ อาจื่อ..นางคงร้องไห้จนขาดใจเป็นแน่”

“ข้าลองใช้เข็มเงินดูแล้ว มันไม่ใช่พิษร้ายแรงอะไร” เว่ยฉิงพูด กู้หวนจิ่นประหลาดใจ น้องเขยของเขาลอบทดสอบพิษตั้งแต่ตอนไหน? เว่ยฉิงเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก

เว่ยฉิงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติและรังสีของการฆ่า กู้หวนจิ่นรู้สึกง่วงงุน ดวงตาของเขาพร่าเบลอ ดูเหมือนว่าในสุราจะไม่มียาพิษแต่มียาขับเหงื่อ เว่ยฉิงพยุงหลังของกู้หวนจิ่น เขาพูดเบาๆ ว่า

“ไป!” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนทันที

“ข้า..ข้าอยากไปปลดทุกข์” กู้หวนจิ่นประคองตัวเองไว้

“ช่วยพาข้าไปที”

เว่ยฉิงพยุงกู้หวนจิ่น เขาไม่พูดอะไรให้มากความ รีบพาพี่เขยไปยังห้องปลดทุกข์อย่างรีบร้อน พลันมีบ่าวรับใช้สวมชุดดำสองสามคนเข้ามาขวางเขาไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย คงได้เวลาแล้วสินะ!

ร่างกายของเว่ยฉิงตึงเครียดขึ้นทันที กล้ามเนื้อที่แขนเกร็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขามองดูคนเหล่านั้นอย่างระแวดระวัง

การต่อสู้ที่ดุเดือดใกล้เข้ามา

แต่ทันใดนั้นเองน้ำเสียงสดใสก็ดังขึ้น

“ข้าไปหาที่จวนรับรอง แต่กลับไม่เจอพวกเจ้า สอบถามได้ความว่า พวกเจ้ามางานเลี้ยงที่จวนของท่านอัครเสนาบดี พวกเจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”

ผู้ที่กำลังเดินเข้ามาคือองค์หญิงอันหยาง นางโบกพระหัตถ์ไล่บ่าวที่ใส่ชุดดำออกไป จากนั้นจึงได้มาประทับนิ่งอยู่ตรงหน้ากู้หวนจิ่น นางเชยคางเขาขึ้น

“คนงามเมามายช่างน่าดูยิ่งนัก”

เซี่ยซิ่วที่เดินตามหลังมาเห็นฉากนี้เข้า สีหน้าของเขาน่าเกลียดมาก ดวงตาของเว่ยฉิงฉายแววประหลาดใจ

เมื่อวานนี้องค์หญิงอันหยางได้ทอดพระเนตรแล้วว่าพวกเขาเป็นชายตัดแขนเสื้อ[2] สร้างความผิดหวังให้แก่นางมาก แล้วเหตุใดวันนี้นางจึงมีทีท่าสนิทสนมราวกับเรื่องเมื่อวานไม่ได้เกิดขึ้น

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การเสด็จมาของนางย่อมเป็นการช่วยชีวิตของพวกเขาเอาไว้

เซี่ยซิ่วมองไปยังพระหัตถ์ขององค์หญิงอันหยางที่ยังจับคางของกู้หวนจิ่น คิ้วของเขาขมวดยุ่งแววตาฉายชัดถึงความไม่พอใจ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมา

“องค์หญิงได้โปรดสงวนท่าทีด้วยพะย่ะค่ะ”

องค์หญิงอันหยางทรงพระสรวล นางทอดพระเนตรเซี่ยซิ่วอย่างเย็นชา

“ท่านอัครเสนาบดี ท่านกำลังล่วงเกินเปิ่นกงจูอยู่หรือ?”

เซี่ยซิ่วเม้มปากไม่พูดอะไร

“ค่ำคืนวสันต์ช่างแสนสั้น เสียเวลาไปกับการดื่มสุรา มากับข้าเถอะ” องค์หญิงอันหยางตรัสอย่างคลุมเครือ กู้หวนจิ่นหมดสติไปแล้ว ตอนนี้เขาทิ้งร่างใส่เว่ยฉิงทั้งตัว

เว่ยฉิงพยักหน้า รอยแย้มสรวลขององค์หญิงกว้างขึ้น

“เด็กดี ไปกันเถอะ”

เว่ยฉิงแบกกู้หวนจิ่นเดินตามหลังองค์หญิงอันหยางไปอย่างเชื่อฟัง

บ่าวรับใช้ในชุดสีดำมองไปที่เซี่ยซิ่ว เขาส่ายศีรษะ ทำให้ลูกน้องทั้งหมดล่าถอยไปทันทีที่องค์หญิงอันหยางพาคนทั้งสองออกไป

“นายท่านขอรับ ปล่อยไปแบบนี้จะดีหรือ…ถึงองค์หญิงจะมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แต่เหตุใดจู่ๆ นางถึงได้ชื่นชอบราชทูตจากต้าโจวได้..”

บ่าวรับใช้ขมวดคิ้ว ก่อนจะเหลือบไปเห็นมือของเซี่ยซิ่วกำเป็นหมัดแน่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว รีบหุบปากลงทันใด

[1] “งานเลี้ยงหงเหมิน” คำพูดติดปากของคนจีนเพื่อเตือนให้ระวังการทรยศหักหลัง เป็นเรื่องจริงในประวัติศาสตร์จีน เมื่อ “เซี่ยงหยี่” (บ้างเรียกว่า เซี่ยงหวี่, ฌ้อปาอ๋อง) ส่งเทียบเชิญ “หลิวปัง” (เล่าปัง) ไปร่วมงานเพื่อหลอกฆ่ากลางงานเลี้ยง แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็สร้างความหวาดหวั่นกับผู้คนในงาน

[2] หมายถึง ชายรักชาย