บทที่ 561 กลับเมือง

บทที่ 561 กลับเมือง

เหยาเอ้อหลางรู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าตอนนั้นตนเองไม่เอ่ยปากโน้มน้าว แค่ทิ้งเงินไว้และลากตัวซวีจ้าวกลับ เรื่องราวคงไม่ยุ่งยากเช่นนี้

หากแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ตอนนั้นเขาถึงอยากแกล้งอีกฝ่าย ครั้นเห็นท่าทางทำอะไรไม่ถูกของซวีจ้าวตนเองก็รู้สึกสนุกเสียอย่างนั้น เขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตตนเองไว้แท้ ๆ! แต่ตนเองกลับทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ไร้มนุษยธรรมสิ้นดี!

เมื่อซวีจ้าวกินข้าวเสร็จ ก็เดินออกจากห้องโดยไม่พูดสิ่งใด และไม่สนใจเสียงขานเรียกที่ดังไล่หลังของเหยาเอ้อหลางแต่อย่างใด

เหยาเอ้อหลางรีบวางถ้วยลง จากนั้นก็หยิบสุราไล่ตามไป แต่ครั้นวิ่งมาถึงข้างนอกกลับไม่เห็นเงาของซวีจ้าวเสียแล้ว

เขาเดินหาทั่วเรือนหนึ่งรอบ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา

ซวีจ้าวคนนี้ ไปไหนแล้ว เหยาเอ้อหลางครุ่นคิดอยู่ครึ่งวัน ทันใดนั้นก็นึกถึงทะเลสาบที่ไปตกปลาเมื่อเช้าได้ ซวีจ้าวคงไม่ได้จะไปที่นั่นหรอกกระมัง? คิดได้เช่นนี้เหยาเอ้อหลางก็ตรงดิ่งไปที่นั้นทันที

ผืนน้ำสีดำสนิท ดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่กลางนภา เงาต้นไม้ตกกระทบพื้น ดูไปแล้วน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

ครั้นเหยาเอ้อหลางเดินมาถึงริมทะเลสาบ ก็เห็นซวีจ้าวกำลังฝึกดาบอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง วิถีดาบที่ตวัดวาดอย่างรวดเร็ว กระทั่งมองไม่เห็นคมดาบ

“ซวีจ้าว! เรื่องในวันนี้ข้าผิดเอง เจ้าอย่าโกรธข้าเลย” เหยาเอ้อหลางเดินรุดหน้าพร้อมกล่าวด้วยความเก้อเขิน

ดูเหมือนซวีจ้าวจะไม่ได้ยินเสียงของเขา ทั้งยังฝึกวาดดาบพลิ้วไหวดั่งสายลมอยู่เพียงลำพัง

เหยาเอ้อหลางจนปัญญา ทำได้เพียงหยิบดาบของตัวเอง แล้วเข้าไปสู้กับเขา

วรยุทธ์ของทั้งสองคนเทียบกันไม่ติด วิชาดาบก็แตกต่างกัน ไม่นาน เหยาเอ้อหลางก็ทิ้งดาบลงแล้วพูดว่า “ไม่เอาแล้ว ๆ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ข้ายอมแพ้ เจ้าชนะ”

ครั้นซวีจ้าวเห็นเขาหยุดกะทันหัน เขาเองก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ หลังจากยืนนิ่งอยู่ที่เดิมพักใหญ่ สุดท้ายก็หมุนตัวแล้วนั่งลงอีกด้าน

“เฮ้! อารมณ์ยังไม่ดีขึ้นหรือ? เช่นนั้นเจ้าดูว่าข้าพาสิ่งใดมาด้วย!”

เหยาเอ้อหลางหยิบของที่ตัวเองพามาด้วยออกมา แกว่งไปแกว่งมาตรงหน้าของซวีจ้าวพลางเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์

ซวีจ้าวมองเขาแวบหนึ่ง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็รับไป เปิดขวดสุรา แล้วกระดกดื่มไปครึ่งหนึ่ง

ครั้นเหยาเอ้อหลางเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะเสียยกใหญ่ “ว้าว! เจ้าชักเหมือนเสือเข้าไปทุกที นี่คือสุรานารีแดงที่ดีที่สุดเชียวนะ เจ้าเล่นดื่มเยอะเพียงนี้จะทนฤทธิ์มันไหวหรือไม่? เมื่อก่อนข้าเอาแต่ดูถูกเจ้า ครานี้เจ้าคือคนที่กล้าหาญคนหนึ่งทีเดียว! ข้าน้อยขอชื่นชม!”

เมื่อสุรากว่าครึ่งไหลลงท้อง สมองของซวีจ้าวก็เริ่มวิงเวียน ในที่สุดก็เริ่มเปิดปากพูด “เจ้า…ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำในวันนี้ ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เด็ดขาด ข้ายังไม่มีความคิดจะแต่งภรรยาเข้าบ้าน ภรรยารองยิ่งไม่มีทาง ทำแบบนี้เป็นการทำร้ายแม่นางผู้นั้น นั่นมันชีวิตนางเลยนะ”

ครั้นเหยาเอ้อหลางเห็นเขาเมามายไม่มีสติ จึงเดินมานั่งลงข้างกายเขา ก่อนจะก้มหน้าพลางพูดว่า “ข้ารู้ว่าข้าทำผิด แต่ข้าไม่รู้ว่าตอนนั้นข้าเป็นอะไร เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะหาที่อยู่ดี ๆ ให้แม่นางผู้นั้นอย่างแน่นอน ไม่ให้นางมายุ่งกับเจ้าอีก”

ซวีจ้าวกลั้วหัวเราะจากนั้นก็พูดอย่างตะลึง “เจ้า? เจ้าจะหาที่อยู่ให้นางไปทำไม? เจ้าก็รับนางเข้าไปอยู่ในเรือนของเจ้าเสียเลยสิ? เจ้าเองก็ยังไม่ได้แต่งงานไม่ใช่หรือ? หยุดคิดเพ้อเจ้อได้แล้ว”

“ข้า! ในสายตาของเจ้าข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ? เมืองที่ข้าอยู่มีบ้านว่างตั้งหลายหลัง ให้นางเลือกได้ตามใจว่าจะอยู่ที่ใด ค่อยถามอีกทีว่านางทำอะไรได้บ้าง จะได้หางานให้นางทำ ข้าคิดเช่นนี้ต่างหากเล่า”

เหยาเอ้อหลางเก็บท่าทางเจ้าชู้ไก่แจ้อย่างในวันปกติไว้ แล้วพูดอย่างจริงจัง

ซวีจ้าวเมามายไม่ได้สติโดยแท้จริง ใบหน้าของเขาแดงเถือก ก่อนจะยกมือขึ้นมาวางบนหน้าของเหยาเอ้อหลาง พลางพูดเสียงเบาว่า “ฮึ ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ก็นับว่าดีไป เอ๊ะ? ทำไมหน้าเจ้าแดงเช่นนี้ ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ได้ดื่ม หน้าข้าต่างหากที่แดงระเรื่อ เจ้าลูบดูสิ อีกทั้งยังร้อนผ่าวด้วย”

ขณะพูดก็ลูบใบหน้าของตัวเอง จากนั้นก็คว้ามือของเหยาเอ้อหลางมาวางบนหน้าของตัวเอง

เหยาเอ้อหลางหน้าแดงระเรื่อ ยามที่คนผู้นี้เมาไร้สติทำไมถึงได้ยั่วเย้าเช่นนี้! แตกต่างจากท่าทางเย็นชาดุงดั่งภูเขาน้ำแข็งในวันปกติโดยสิ้นเชิง!

เหยาเอ้อหลางมองซวีจ้าวอย่างนิ่งงัน สูญสิ้นสติไปชั่วขณะ

ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยสังเกตเห็น ทำไมพอโตมาอีกฝ่ายถึงได้ดูดีเช่นนี้!

ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ดวงตาที่เปล่งประกาย ประกอบกับการฤทธิ์เหล้า ทำให้ทั่วทั้งใบหน้าแดงระเรื่อ

เหยาเอ้อหลางพบว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วรัว จึงส่งเสียงกระแอม เก็บมือของตัวเอง ก่อนจะพูดอย่างพยายามปกปิด “อื้อ อะไรกันเล่า ข้า…ข้าดื่มสุราไปแล้วก่อนหน้านั้น หน้าก็เลยแดง ใช่…เป็นเช่นนี้”

ซวีจ้าวมองดูท่าทางกระวนกระวายใจของเขา ก็อดกลั้วหัวเราะเย็นชาไม่ได้ “ข้าก็แค่ถาม เจ้าจะกระวนกระวายใจไปไย? ไอหยา ข้างนอกหนาวยิ่งนัก ลมหนาวพัดมาเช่นนี้ ข้าชักทนไม่ไหวแล้ว เจ้าไม่หนาวหรือไร?”

“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ไปเถอะ เรากลับกันได้แล้ว”

ครั้นเหยาเอ้อหลางพูดจบก็เตรียมตัวจะกลับ แต่เมื่อหันกลับมาพบว่าซวีจ้าวเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ทรุดตัวลงไปกองกับพื้นแล้ว

เหยาเอ้อหลางรีบหันกลับไปประคองตัวเขา แต่ในใจของเขากลับก่อเกิดความรู้สึกประหลาดที่ไม่อาจพรรณาได้

“เจ้าคงไม่ได้เมาถึงขั้นเดินไม่ได้หรอกกระมัง? เฮ้ ซวีจ้าว ตื่นสิ! เราต้องกลับบ้านแล้ว!” เหยาเอ้อหลางตบหน้าของซวีจ้าวอย่างแผ่วเบา

ซวีจ้าวเมาจนสติเลอะเลือน พูดไม่ได้ศัพท์เลยสักคำเดียว

เหยาเอ้อหลางได้แต่ทอดถอนใจ ทำได้แค่ต้องแบกเขากลับไป

“เจ้าเคยบอกว่าข้าติดหนี้เจ้าไม่ใช่หรือ? ทุกครั้งที่เมาก็มีแต่ข้าที่ไปส่งเจ้า เรื่องในวันนี้ข้าผิดเอง ตอนนี้ถือว่าเป็นการชดใช้ความผิดให้เจ้าแล้วกัน ถ้าข้าให้เจ้านอนริมทะเลสาบทั้งคืน ดูท่าคงมีหมาป่ามาคาบเจ้าไปกินแน่! คอเจ้าอ่อนก็ทีหนึ่งแล้ว พอเมาก็ยังทำตัวเป็นภาระอีก!” เหยาเอ้อหลางแบกซวีจ้าวกลับไปพลางบ่นอุบอิบไปตลอดทาง

วันถัดมา

ทุกคนต่างเก็บกระเป๋าของตัวเอง หลินซือยังมิวายเอ่ยอย่างอาลัยอาวรณ์ “ไอหยา ออกมาครั้งนี้ข้ายังไม่สนุกเลย พี่อาเถิง รู้เช่นนี้เราไม่ไปเก็บผลไม้เสียก็ดี ไม่ได้การล่ะ ไม่คุ้มเอาเสียเลย พี่อาเถิง ท่านต้องรับปากข้าว่าต่อไปจะต้องพาข้ามาเล่นที่นี่อีก!”

เจี่ยงเถิงลูบศีรษะของนาง พลางคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ได้สิ เชื่อฟังอาซือทุกอย่างเลย คราวต่อไปเราจะไปเล่นในที่ที่สนุกกว่านี้ แต่เจ้าต้องรักษาอาการบาดเจ็บให้หายดีก่อน”

ไป๋หรูปิงหัวเราะแผ่วเบาแล้วพูดว่า “การออกมาครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้สนุกเพียงนั้น แต่ก็สบายใจไม่น้อย อาซือกลับเมืองไปก็คงไม่ว่างเหมือนตอนนี้แล้ว”

ทุกคนพูดคุยอย่างสนุกสนานกระทั่งขึ้นรถม้า จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับเมือง

ครั้นมาถึงประตูจวนหลิน หลินซือลงจากรถและกล่าวลาองค์รัชทายาท “คุณชาย ไม่สิ องค์รัชทายาท ไปเที่ยวเล่นกับท่านครานี้สนุกมาก ต่อไปหากมีโอกาสเราไปเล่นด้วยกันอีกนะเพคะ”

หลินซือพูดตามมารยาท แต่องค์รัชทายาทกลับคิดเป็นจริง พยักหน้าพลางพูดอย่างเบิกบานใจ “ได้เลย! พี่อาซือ เช่นนั้นเราเป็นอันตกลงกันแล้ว คราวต่อไปข้าจะไปเล่นกับพี่อีก พี่คงไม่ผิดคำสัญญากับข้าหรอกนะ”

หลินซือไม่ได้เก็บมาใส่ใจ นอกจากพยักหน้าและกลับจวนไป

ลู่เหยามองดูองค์รัชทายาทและหลินซือสนทนากันจากในรถม้า ในใจก็พลันรู้สึกไม่ดี

ครั้นการเที่ยวเล่นสิ้นสุดลง ตัวเองก็ต้องกลับบ้านเช่นกัน นั้นหมายความว่าจะไม่ได้เจอเขาอีก เล่นคราวต่อไป… นางเองก็อยากไปเที่ยวเล่นกับเขาเหมือนกัน

“องค์รัชทายาท หม่อมฉันต้องกลับเรือน หากมีโอกาส เราไปเที่ยวเล่นด้วยกันอีกได้หรือไม่เพคะ?”

ลู่เหยารวบรวมความกล้าและเอ่ยออกไป

ครั้นไม่เห็นองค์รัชทายาทตอบรับ ลู่เหยาก็รีบทูลต่อ “ไม่เป็นไรเพคะ ๆ หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาทยุ่ง หม่อมฉันแค่… ไม่มีใครเล่นกับหม่อมฉัน หม่อมฉันเหงา เลยอยากทูลถามฝ่าบาท ถ้าฝ่าบาทไม่มีเวลาก็ไม่เป็นไรเพคะ”

เรื่องที่ทำให้ลู่เหยาคาดไม่ถึงคือ องค์รัชทายาทยิ้มเบา ๆ และเอ่ยว่า “ข้ายังไม่ได้ตอบเจ้าเลย เจ้าก็แย่งตอบข้าเสียอย่างนั้น เราสองคนนับว่าเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย ไว้มีโอกาสคราวต่อไปค่อยมาเล่นด้วยกันอีกนะ”

ครั้นลู่เหยาเห็นรอยยิ้มของเขา ก็สูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ

สายตาของเขาเหมือนดวงดาวที่พร่างพราว คิ้วเรียวยาวของเขา ดุจดั่งดวงจันทร์และสายลมที่พัดเย็นสบาย

ตราบใดที่อยู่ข้างกายเขา มันช่างอบอุ่นดุจดั่งแสงอาทิตย์ที่สาดส่องอย่างไรอย่างนั้น

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ทุ่มเทดูแลขนาดทำรถเข็นให้นั่งแบบนี้ อย่าปล่อยมือให้พี่อาเถิงไปเป็นของใครเชียวนะอาซือ

ระหว่างซวีจ้าวกับเหยาเอ้อหลางมันคืออะไรกันคะ เดี๋ยวก็งอนกันเพราะแม่นางคนหนึ่ง เดี๋ยวก็เมาแล้วหวั่นไหวกันและกัน เรือแล่นแรงมากเลยน้า

ไหหม่า(海馬)