ตอนที่ 610 กลับสู่ชนบทในช่วงวันหยุดฤดูร้อน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 610 กลับสู่ชนบทในช่วงวันหยุดฤดูร้อน

สิ่งแรกที่หลินม่ายต้องทำคือการซื้อเครื่องจักรผลิตอาหารสำหรับโรงงานอาหาร

จีนแผ่นดินใหญ่ในยุคนี้ไม่ได้ทันสมัยมากนัก ทุกขั้นตอนของการทำซาลาเปาต้องทำด้วยมือ แม้แต่เครื่องผสมเส้นก๋วยเตี๋ยวและเครื่องบดเนื้อก็ไม่มีขาย

หลินม่ายวางแผนที่จะขอหนังสือเดินทางและพาฟางจั๋วเยวี่ยไปซื้อยังฮ่องกง

แม้ว่าราคาในฮ่องกงจะต่ำกว่าในแผ่นดินใหญ่หลายสิบเท่า แต่การซื้อเครื่องจักรผลิตอาหารอย่างซาลาเปาและเกี๊ยวก็ยังมีราคาสูง ไม่ว่าแพงขนาดไหนพวกเขาก็จำเป็นต้องซื้อ

ครั้งนี้เธอไปฮ่องกงไม่เพียงเพื่อซื้อเครื่องจักรผลิตซาลาเปาและเกี๊ยวเท่านั้น แต่ยังซื้อเครื่องจักรผลิตซอสพริกด้วย ซึ่งใช้เงินเป็นจำนวนมาก

หลินม่ายบอกฟางจั๋วหรานถึงแผนการของเธอ

ฟางจั๋วหรานกำลังจะไปยังฮ่องกงเพื่อเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนทางวิชาการในปลายเดือนนี้ ดังนั้นหลินม่ายจึงกำหนดวันที่จะเดินทางในสิ้นเดือนนี้ เพื่อเดินทางไปยังฮ่องกงพร้อมกับฟางจั๋วหรานและฟางจั๋วเยวี่ย

ตอนนี้เพิ่งกลางเดือนกรกฎาคม ยังมีเวลาอีกสักระยะก่อนจะเดินทางไปยังฮ่องกง

หลินม่ายต้องการไปที่ชนบทเพื่อดูว่าธุรกิจการเกษตรของฟู่เฉียงและชาวบ้านคนอื่น ๆ เป็นอย่างไร

ยิ่งธุรกิจการเกษตรของชาวบ้านดีเท่าไรก็ยิ่งช่วยให้กิจการสวนผักทั้งสองของเธอดีขึ้นเท่านั้น

คุณปู่และคุณย่าฟางต้องการกลับไปชนบทเพื่อหลบร้อนในฤดูร้อน และพวกเขาจะไปเยี่ยมเยียนผู้คนตามรายทาง

ฤดูร้อนในชนบทนั้นร้อนเฉพาะในตอนกลางวัน แต่หนาวเหน็บจนต้องห่มผ้าในตอนกลางคืน ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะมาพักร้อนที่นี่

หลินม่ายขับรถกลับไปยังชนบทพร้อมกับคุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และโต้วโต้ว

วันชาติเมื่อปีที่แล้ว ครอบครัวนี้กลับไปยังชนบทเพื่อพักระยะสั้น หลังจากไปแล้ว หลินม่ายก็ได้จ้างแม่บ้านมาเพื่อดูแลทำความสะอาดบ้าน

ด้วยเหตุนี้ พวกเธอก็ไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดหลังเดินทางกลับสู่ชนบทในครั้งนี้

เมื่อเพื่อนบ้านได้ข่าว พวกเขาต่างก็มาเยี่ยมเยียนและคุยกับคุณปู่และคุณย่าฟาง บ้านขนาดเล็กพลันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

หลินม่ายวางขนมขบเคี้ยวและผลไม้แช่อิ่มทุกชนิดที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะอาหารเพื่อให้ผู้สูงอายุและเด็ก ๆ รับประทาน

เธอไปตลาดเพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารกลางวัน และทั้งสี่คนในครอบครัวก็กินข้าว หลังรับประทานอาหารเสร็จจึงเดินทางไปบ้านของฟู่เฉียงคนเดียวพร้อมร่มหนึ่งคัน

ระหว่างทางเขาได้พบกับอู๋จินฮวา

อู๋จินฮวาเบ้ปากอย่างดูถูกทันทีที่ได้เห็นเธอ

หลินม่ายคิดว่าการกระทำเช่นนี้ช่างน่าขันและมองไปยังอู๋จินฮวาอย่างดูถูกเหยียดหยาม

ใบหน้าของอู๋จินฮวาเปลี่ยนเป็นดำคล้ำด้วยความโกรธ

แต่หล่อนด้อยกว่าหลินม่ายในแง่ของบารมี ทรัพยากรทางการเงิน และสถานะทางสังคม แน่นอนว่าหลินม่ายบดขยี้หล่อนได้ไม่ยาก

เมื่อเห็นหลินม่ายเดินจากไป หล่อนก็เริ่มต้นพูดจาให้ร้ายหลินม่ายกับผู้คนรอบข้างในทันที “ดูผู้หญิงคนนั้นสิ คงจะกลัวผิวเสียจากแดดเผาน่าดู กลางวันแสก ๆ ขนาดนี้ ฝนก็ไม่ตก แต่กลับกลางร่ม!”

หลินม่ายมองย้อนกลับไปราวกับส่งกระแสจิต

คนที่เดินไปกับอู๋จินฮวาถอยห่างจากเธอทันที

อีกฝ่ายกลัวว่าจะถูกหลินม่ายเข้าใจผิดว่าร่วมมือกับอู๋จินฮวาและพูดถึงเธอในทางไม่ดี

อู๋จินฮวาถูกหลินม่ายขึ้นบัญชีดำ ผู้ซื้อของครอบครัวเธอไม่เคยซื้อพืชผลและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากครอบครัวของอู๋จินฮวาเลย

แม้จะเห็นอู๋จินฮวาถูกตัดเส้นทางทำกินเช่นนั้น พวกเขากลับไม่กล้าช่วย

เพราะครอบครัวของหลินม่ายเป็นผู้จัดหาผู้ซื้อพืชผลและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของพวกเขา แล้วใครเล่าจะกล้าทำให้เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งขุ่นเคือง?

อู๋จินฮวารู้สึกรังเกียจจากชาวบ้านในทันที

หลินม่ายสังเกตขณะเดิน

ดูเหมือนว่าไก่และเป็ดของชาวบ้านแต่ละครอบครัวจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว

แต่พวกมันทั้งหมดถูกเลี้ยงแบบปล่อยอิสระ แน่นอนว่าไก่ที่เลี้ยงด้วยวิธีนี้จะมีรสชาติดี

ระหว่างทาง เธอเห็นชาวบ้านหลายคนกำลังฝังซากไก่และเป็ดที่ตายแล้ว

หลินม่ายเดินเข้าไปและเอ่ยถาม “ไก่และเป็ดเหล่านี้ตายจากโรคระบาดเหรอคะ?”

คนเหล่านั้นพยักหน้า

การกระทำเช่นนี้เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณของมณฑลหูเป่ย พวกเขาจะไม่กินสัตว์ที่ตายจากโรคระบาด แม้จะเป็นหมูอ้วนตัวใหญ่ที่น่ากินก็ตาม

นี่เป็นสิ่งที่ยึดถือกันมาเนิ่นนาน พวกเขาไม่กินสัตว์ทุกชนิดที่ล้มตายเพราะป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ

หลินม่ายเอ่ยถาม “คุณไม่ได้เชิญปศุสัตว์มาดูเหรอคะ?”

ในชนบทมีสถานรักษาสัตว์ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อวินิจฉัยและรักษาโรคสัตว์ปีกและปศุสัตว์สำหรับเกษตรกร

ชาวบ้านถอนหายใจ “ปศุสัตว์รักษามันไม่ได้น่ะ”

ชาวบ้านอีกคนพูดด้วยสีหน้าเสียใจ “ปีนี้ฉันเลี้ยงไก่มากกว่าห้าสิบตัวและเป็ดมากกว่าสิบตัว ไก่ตายมากกว่าสิบตัว และเป็ดก็ตายไปครึ่งหนึ่ง เดิมทีฉันหวังว่าจะได้เงินมากขึ้นจากการเลี้ยงไก่และเป็ดให้ แต่ดูเหมือนว่าฉันกำลังจะสูญเสียทุกอย่าง ”

หลินม่ายฟังและจากไปอย่างเงียบงัน

เธอมาถึงบ้านของฟู่เฉียง บ้านหลังนี้มีสภาพทรุดโทรมและเก่าเล็กน้อย

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังมีการสร้างกระท่อมหลายหลังรอบบ้าน

หลินม่ายมองไปยังกระท่อมทั้งหมด

มีทั้งไก่ เป็ด หมู และกระต่ายที่เลี้ยงไว้เพื่อเลี้ยงชีพ

กระท่อมของเขาเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นฟาร์มเพาะพันธุ์สัตว์เลยทีเดียว

หลินม่ายจดจ่ออยู่กับโรงเลี้ยงกระต่าย เธอเคยให้กระต่ายพันธุ์ฟู่เฉียงเพียงจำนวนห้าสิบคู่ แต่ตอนนี้มีอย่างน้อยสองร้อยคู่

ความสามารถในการสืบพันธุ์ของกระต่ายนั้นน่าทึ่งมาก

กระต่ายตัวเมียสามารถแพร่พันธุ์ได้หกถึงแปดครอกต่อปี โดยออกลูกครอกละสามถึงหกตัว

หนึ่งครอกต่อเดือนเป็นเรื่องปกติหากกระต่ายตัวเมียได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี

หลินม่ายเห็นว่ากระต่ายครึ่งหนึ่งในโรงเพาะเลี้ยงโตเต็มที่และพร้อมที่จะฆ่า

เธอน้ำลายไหลเมื่อจินตนาการถึงความอร่อยของกระต่ายย่าง

ทันใดนั้น เสียงประหลาดใจของฟู่เฉียงก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “พี่สะใภ้ คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ!”

หลินม่ายหันศีรษะ และเห็นใบหน้าที่ดำคล้ำของฟู่เฉียงซึ่งเกิดจากการทำงานกลางแจ้งเป็นเวลานาน

ผ่านไปหนึ่งปี เขาสูงกว่าเดิม ไหล่กว้างขึ้น ไม่ผอมเหมือนตอนที่หลินม่ายพบเขาครั้งแรก และค่อย ๆ เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่ทรงพลังของผู้ชาย

หลินม่ายยิ้มให้เขา “หลังจากสอบเข้าวิทยาลัย ฉันก็ไม่มีอะไรทำ เลยกลับมาเที่ยวชนบทกับปู่และย่าแก้เบื่อ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรเลยเดินทางมาที่นี่เพื่อดูไก่ เป็ด หมู และกระต่ายที่นายเลี้ยงไว้น่ะ!”

เธอมองดูหญ้าสีเขียวกองโตที่เขาเก็บมาแล้วเอ่ยถาม “นี่สำหรับกระต่ายหรือเปล่า?”

เธอไม่เคยเลี้ยงกระต่ายมาก่อนจึงไม่รู้ว่ากระต่ายกินหญ้าชนิดใด

ฟู่เฉียงพึมพำ วางยาในมือลงและเปิดโรงเพาะเลี้ยงกระต่าย

“พี่สะใภ้ เชิญนั่งในบ้านก่อนสิครับ ที่นี่กลิ่นไม่ดี หลังจากผมทำความสะอาดเพิงและใส่หญ้าให้กระต่ายแล้ว ผมจะรีบไปหา”

ไม่เป็นไร ฉันจะอยู่ที่นี่แหละ นายทำงานไปเถอะ”

หลินม่ายเกิดในชนบทเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงไม่รังเกียจทุกสิ่งตรงหน้า

นอกจากนี้ อุจจาระกระต่ายก็ไม่มีกลิ่นเหม็นและไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อเธอมากนัก

เมื่อเห็นว่าเธอปฏิเสธที่จะจากไป ฟู่เฉียงก็ไม่ได้บังคับเธอ

หลินม่ายถามด้วยความสงสัย “ฉันสังเกตเห็นว่าเป็ดกับไก่ของนายทุกตัวยังมีชีวิตอยู่และเติบโตในทุกวัน แต่เป็ดและไก่ของชาวบ้านคนอื่นกลับติดโรคระบาดตาย เลยอยากรู้ว่าเป็ดกับไก่ของนายรอดมาได้ยังไง?”

ฟู่เฉียงกล่าวขณะทำความสะอาดเพิง “เพราะผมฉีดวัคซีนไก่และเป็ดทั้งหมดทันทีที่ซื้อมา พวกมันเลยไม่เป็นอะไร ผมขอให้ชาวบ้านฉีดวัคซีนให้ไก่และเป็ดของพวกเขา แต่พวกเขาไม่ฟัง พวกเขาบอกว่าโรคระบาดในไก่และโรคเป็ดไม่ได้เกิดขึ้นทุกปี จะเสียเงินไปทำไม? ดังนั้นจึงไม่มีใครคาดคิดว่าโรคระบาดไก่และเป็ดในปีนี้จะรุนแรงถึงขั้นทำให้ไก่และเป็ดตายเป็นจำนวนมาก”

หลินม่ายถามต่อ “นายฉีดวัคซีนให้เป็ดและไก่ของตัวเองเพราะเรียนรู้มาจากหนังสือเพาะพันธุ์ที่ซื้อมาสินะ”

ฟู่เฉียงพยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้นนายช่วยรักษาไก่และเป็ดของชาวบ้านที่ป่วยเพราะโรคระบาดได้ไหม? ฉันจะออกค่ารักษาเอง”

ฟู้เฉียงยิ้มอย่างละอายใจ “ด้วยความรู้ที่จำกัด ผมเลยไม่สามารถรักษาให้พวกเขาได้ ไม่อย่างนั้นผมคงรักษาให้พวกเขาไปนานแล้ว”

หลังจากทำความสะอาดเพิงแล้ว ฟู่เฉียงก็โยนหญ้ากองใหญ่ลงไป และกระต่ายก็ตะเกียกตะกายมากินหญ้า

หลินม่ายชี้ยังที่กระต่ายและกล่าว “กระต่ายครึ่งหนึ่งพร้อมที่จะถูกเชือดแล้วนะ”

ฟู่เฉียงยิ้มและพยักหน้า “ใช่ครับ ผมคิดว่าจะติดต่อคุณในอีกสองวันและขอให้คุณจัดคนมารับกระต่าย แต่ผมไม่คิดว่าคุณจะมาที่นี่ก่อน”

“พรุ่งนี้ฉันจะนัดคนมารับ” หลินม่ายขอให้ฟู่เฉียงหยิบกระต่ายตัวผู้ที่อ้วนที่สุดมาให้เธอหนึ่งตัว เพราะเธอจะนำไปทำกระต่ายย่างฝอยให้คุณปู่และคุณย่าฟางรวมถึงคนอื่น ๆ กินในมือเย็น

สิ่งที่หลินม่ายซื้อให้ฟู่เฉียงคือกระต่ายหัวเซี่ย กระต่ายเนื้อชนิดนี้มีขนาดเล็กที่สุดเมื่อเทียบกับกระต่ายเนื้อสายพันธุ์อื่น ๆ แต่กระต่ายตัวหนึ่งก็มีน้ำหนักเพียงห้าถึงหกขีดซึ่งเพียงพอสำหรับครอบครัวของพวกเขาที่จะกิน

ฟู่เฉียวกลัวว่ากระต่ายตัวเดียวจะไม่พอสำหรับครอบครัวของหลินม่าย ดังนั้นเขาจึงจับกระต่ายตัวผู้ที่ตัวใหญ่และอ้วนที่สุดมาอีกสองตัว

หลินม่ายโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่า “ตัวเดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าเอาไปอีกสองตัวต้องกินไม่หมดแน่ ตอนนี้ก็เป็นฤดูร้อน ที่บ้านของฉันไม่มีตู้เย็น หากปล่อยข้ามคืนไว้ก็มีแต่จะเน่าเสีย สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์”

จากนั้นฟู่เฉียงก็วางกระต่ายในมือลง

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายจะมอบเงินให้ ฟู่เฉียงก็มีท่าทางไม่พอใจทันที “พี่สะใภ้ช่วยผมไว้มากแล้ว อีกทั้งยังให้เงินผมทุกครั้ง ตอนนี้ผมต้องการให้กระต่ายนี้เพื่อเป็นการตอบแทนโดยไม่ขอรับเงิน ผมมีทุกวันนี้ได้ก็เพราะพี่สะใภ้ให้กระต่ายและจัดหาผู้เชี่ยวชาญมาสอนผมถึงวิธีการเพาะพันธุ์กระต่าย”

หลินม่ายกล่าว “ก็ได้ ฉันจะไม่ให้เงินนาย ถ้านายไม่พูดถึงผู้เชี่ยวชาญ ฉันก็คงลืมไปแล้ว ว่าแต่ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นที่ฉันจ้างมาอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ?”

ผู้เชี่ยวชาญที่ฟู่เฉียงกล่าวถึงเป็นชาวนา

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มีความรู้มากกว่าคนอื่นก็ได้เปรียบ

ไหหม่า(海馬)