เมื่ออวี้จิ่นเอ่ยถามเช่นนั้น เจียงซื่อถึงได้ย้อนคิดถึงเหตุการณ์ในชาติก่อน
เมื่อชาติที่แล้ว ไท่จื่อถูกปลดครั้งที่สองในฐานกบฏ ทว่าความจริงเป็นเช่นไร ไม่มีผู้ใดกล้าปริปากถาม
นางและอวี้จิ่นกลับมาจากหนานเจียงหลังจากที่เหตุการณ์นั้นผ่านไประยะหนึ่งแล้ว จึงไม่ทราบที่มาที่ไปโดยละเอียด
อีกทั้งทั้งสองก็มิใช่พวกสงสัยใคร่รู้ปานนั้น
ในเวลานั้น ทั้งนางและอาจิ่นไม่เคยอยากเป็นเจ้าของวังหลวงที่แสนโดดเดี่ยวแห่งนี้ การจะไปถามเรื่องพวกนี้รังแต่จะสร้างความยุ่งยาก ฉะนั้นจึงพยายามเลี่ยงปัญหาพวกนั้นเท่าที่จะทำได้
ก่อนที่ไท่จื่อจะก่อกบฏ เขาเคยความจำเสื่อมมาก่อนหรือไม่
ในตอนนั้น เจียงซื่อไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงประเด็นนี้
เนื่องจากไท่จื่อถูกปลดโทษฐานกบฏ ฉะนั้นคนรอบข้างจึงได้แต่ปิดปากเงียบ
นางเลยไม่สามารถตอบคำถามของอวี้จิ่น
“เดาไม่ได้เหมือนกัน” เจียงซื่อกล่าวตามตรง
สายตาของอวี้จิ่นขับประกายหยอกเย้า พลางใช้มือดันร่างหญิงสาว “ลองเดาดูสักหน่อยสิ”
“ข้าเดาไม่ถูกจริงๆ”
ครั้นเห็นว่าเจียงซื่อไม่ให้ความร่วมมือ อวี้จิ่นจึงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
“แล้วเจ้าคิดอย่างไร”
“ข้าคิดว่าเขาเล่นละครตบตา”
เจียงซื่อกอดหมอนปักลายดอกกล้วยไม้นุ่มนิ่มพลางมองไปที่อวี้จิ่น “เหตุใดถึงเชื่อเช่นนั้น”
อวี้จิ่นชี้ไปที่ขมับของตัวเอง “แม้วันนี้จะไม่มีโอกาสเข้าไปถามเจ้าตัว แต่ข้าแอบเข้าไปดูแผลที่ไท่จื่อถูกกระแทกใกล้ๆ จากรอยแล้วน่าจะถูกเสด็จพ่อใช้ที่ทับกระดาษหยกขาวในห้องทรงพระอักษรฟาดเข้าให้…”
เจียงซื่อหลุดหัวเราะ “ใช้อะไรฟาดเจ้าก็ดูออกด้วยหรือ”
อวี้จิ่นปั้นหน้าจริงจัง “แม่นางอย่าได้ดูถูกฝีมือข้าเชียว ข้ามิได้พูดจาไม่มีมูล”
เจียงซื่อยังคงชั่งใจ นางส่งยิ้มพลางบอก “อาจิ่น ท่านลุงเจินซื่อมิได้บอกเจ้าหรือ ว่าการจะไขคดีจำต้องใช้หลักฐานเป็นตัวพิสูจน์”
อวี้จิ่นดึงมุมปาก “เรียกท่านลุงเจินซื่อฟังดูสนิทชิดเชื้อเหลือเกิน คงมิได้เรียกพี่เจินซื่ออีกคนหรอกใช่หรือไม่”
เจียงซื่อกลอกตาใส่ชายหนุ่ม “พูดจาไร้สาระหน่า”
อวี้จิ่นรู้สึกตะขิดตะขวงใจ
เหล่าเจินเคยเสนอเรื่องดองญาติกับท่านพ่อตา แค่คิดก็น่าโมโหแล้ว
เป็นสุดยอดบัณฑิตก็ทำหน้าที่นำโชคไปซิ จะหาเรื่องแต่งเมียทำไมกัน
เจียงซื่อเห็นท่าทีหึงหวงของอวี้จิ่นแล้วก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เอาเถอะ เลิกพูดอะไรที่มันไม่เกิดขึ้นจริงเสียเถิด รีบบอกมาดีกว่าว่าเหตุใดเจ้าถึงคิดว่าไท่จื่อถูกเสด็จพ่อฟาดด้วยที่ทับกระดาษหยกขาว”
อวี้จิ่นอธิบาย “อาซื่อ เจ้าไม่เคยเข้าไปในห้องทรงพระอักษรเลยอาจจะไม่รู้ แต่ข้าแอบสังเกตเห็นว่า ยามที่เสด็จพ่อได้ยินข่าวร้าย ท่านมักจะลูบที่ทับกระดาษหยกขาวที่วางอยู่บนโต๊ะ ข้าเดาว่าครั้งนี้คงกริ้วจัด ถึงได้ขว้างที่ทับกระดาษออกไปแบบนั้น หลังจากที่ไท่จื่อก่อเรื่องฉาวที่ร้านเจินเป่า เขาก็บาดเจ็บที่ศีรษะ แล้วเจ้าคิดว่าสาเหตุที่ทำให้เขาบาดเจ็บคืออะไร”
“ที่แท้ก็ใช้ที่ทับกระดาษหยกขาวในห้องทรงพระอักษรนี่เอง…” เจียงซื่อถอนหายใจ
อวี้จิ่นมองได้ที่นางด้วยสายตาภาคภูมิใจพลางส่งยิ้ม “ฉะนั้นแล้ว การไขคดีนอกจากต้องมีหลักฐานแล้ว จะขาดการสันนิษฐานไปเสียมิได้ แต่ก็แน่นอนว่าต้องมิใช่การสันนิษฐานลอยๆ ไร้มูลเหตุ คนที่จะไขคดีได้ต้องละเอียดถี่ถ้วน สายตาเฉียบแหลม และฉลาดปราดเปรื่อง…”
เจียงซื่ออดไม่ได้ที่จะเอ่ยขัดจังหวะอวยตัวเองของชายหนุ่ม “เอาเถอะ ข้อดีของเจ้าเหล่านั้น ข้าทราบหมดแล้ว ไหนบอกมาซิว่า เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าไท่จื่อเล่นละครตบตา”
อวี้จิ่นเย้ยหยัน “มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ที่ไหนกัน ถูกทุบหัวหนเดียวจะความจำเสื่อมได้เลยหรือ”
“แล้วหากบังเอิญเป็นเช่นนั้นจริงๆ เล่า คนที่ถูกกระทบกระเทือนที่ศีรษะแล้วความจำเสื่อมก็มีให้เห็นถมเถไป” เจียงซื่อกล่าวพลางคิดถึงเรื่องที่ตนเองได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง
เพียงแค่นางลืมตาตื่น นางก็ได้กลับมาเป็นเด็กสาวอายุสิบห้าอีกครั้ง
แต่ในสายตาคนรอบข้าง นางในวัยสิบห้าปีกลับมีเพียงอาการป่วยเท่านั้น
นางเคยผ่านเหตุการณ์พิสดารอย่างการเกิดใหม่มาแล้ว จึงไม่เห็นว่าเรื่องที่ไท่จื่อความจำเสื่อมเป็นเรื่องแปลก
อวี้จิ่นยังคงยืนกราน “อาซื่อ เจ้าคิดว่าคนที่ความจำเสื่อมจริงๆ ควรมีสภาพเป็นเช่นไร”
เจียงซื่อครุ่นคิดพลางตอบ “มึนงง ตกใจ?”
อวี้จิ่นพยักหน้า “ถูกต้อง อย่างน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ต้องมีความรู้สึกเหล่านี้ปะปนอยู่บ้าง ไม่ว่าเขาจะเป็นไท่จื่อ หรือเป็นสามัญชน หากความจำเสื่อมแล้วจะไม่มีอาการตกใจสักนิดเลยหรือ ทว่าวันนี้ข้ากลับไม่เห็นความรู้สึกเช่นนั้นในแววตาของไท่จื่อเลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับดูผ่อนคลาย ทั้งยังเที่ยวป่าวประกาศว่าตนเองความจำเสื่อมได้อย่างสบายใจ”
เจียงซื่อพยักหน้าเห็นด้วย “ที่เจ้าพูดฟังดูมีเหตุผล ความจำเสื่อมมิใช่เรื่องดี ต่อให้มิได้เก็บเป็นความลับ แต่ก็ไม่น่าประกาศต่อหน้าธารกำนัลอย่างในวันนี้ การที่เขาทำเช่นนั้นเลยดูเหมือน…”
ทั้งสองหันมาสบตากัน
อวี้จิ่นต่อประโยค “ดูเหมือนกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าเขาความจำเสื่อม โดยสัญชาตญาณของมนุษย์เราจะพยายามปกป้องตัวเอง หากร่างกายตกอยู่ในสภาวะความจำเสื่อมจะให้รู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะคนอื่นๆ รู้เรื่องของตน แต่ตนกลับไม่รู้เรื่องของคนอื่นเลย ดังนั้นจะต่างอะไรจากการยืนล่อนจ้อนต่อหน้าฝูงชน คนปกติมักจะพยายามหาอะไรมาปกปิด จะมีผู้ใดพร่ำเรียกให้คนอื่นหันมาดูว่า ดูข้าซิ ข้ากำลังโป๊เปลือย”
เจียงซื่อเห็นพ้องดังนั้น
ไม่ต้องคิดไปไกล ขนาดนางที่กลับมาเกิดใหม่ อาจิ่นที่สนิทใจมากที่สุด นางยังไม่เคยปริปากบอก
หากคิดกลับกัน ถ้านางความจำเสื่อม สิ่งแรกที่นางจะทำคือสังเกตสิ่งรอบข้างให้ถี่ถ้วน ทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของตนเองและคนอื่นๆ ให้ถ่องแท้ และพยายามมิให้ผู้ใดสังเกตเห็นความผิดปกตินี้
“ไท่จื่อก่อเรื่องฉาวที่นอกพระราชวัง เดิมทีจะต้องได้รับบทลงโทษ แต่ครั้นความจำเสื่อม เสด็จพ่อคงมิได้ติดใจเอาความ หรือต่อให้ติดใจเอาความก็คงมิได้เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ข้าเลยคิดว่านี่คือสาเหตุที่ไท่จื่อแกล้งความจำเสื่อม” ในวังหลวงแทบไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องพวกนี้ แต่ในค่ำคืนมืดมิด สรรพเสียงเงียบสงัด การได้นั่งทบทวนความคิดอยู่กับคนที่สนิทใจที่สุด ทำให้ความคิดของอวี้จิ่นชัดเจนขึ้น
เจียงซื่อกล่าวด้วยอารมณ์ “หากไท่จื่อแกล้งความจำเสื่อมจริง ข้าคงต้องมองเขาเสียใหม่”
ไท่จื่อมิได้ดูเป็นจอมวางแผน
อวี้จิ่นหัวเราะ “ยามที่สัตว์ตกอยู่ในอันตราย พวกมันมักจะทำสิ่งเหลือเชื่อที่อยู่เหนือการคาดเดา อย่างไรเสีย ไท่จื่อก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความคิด ฉะนั้นข้าเลยต้องหาโอกาสไปพิสูจน์เพื่อให้แน่ใจ”
หากเขาคิดจะจัดการไท่จื่อ เขาก็จะทำให้ไท่จื่อไม่มีโอกาสได้กลับตัวอีกแล้ว
เขาไม่ต้องการให้ไท่จื่อที่ความจำเสื่อมนั่งอยู่บนตำแหน่งอย่างสุขสบาย เพราะเกรงว่าหากเขาสั่นคลอนวันใด คนชั่วอย่างไท่จื่อคงฉวยจังหวะลงมือกับอาซื่อเป็นแน่
ในเมื่อตอนนี้ยังกล้าลงมือกับพี่สาวของอาซื่อ อนาคตคงถึงคราวของอาซื่ออย่างแน่นอน เรื่องนี้อวี้จิ่นไม่ต้องเดาก็รู้คำตอบ
ต้องกำจัดไท่จื่อให้สิ้นซาก!
……
คืนนี้ ไท่จื่อที่กำลังถูกพูดถึงกำลังพักอยู่กับพระชายาของตน
ครั้นจะว่าไปแล้ว สำหรับตงกงเหตุการณ์ในตอนนี้แลดูผิดแผกไปจากปกติ
คนในตำหนักบูรพาต่างก็ทราบดีว่า ไท่จื่อไม่ทรงโปรดพระชายาเพียงใด เพราะไม่ว่าจะทุกวันหนึ่ง หรือวันที่สิบห้า ไท่จื่อมักจะผลักไสพระชายา และไปขลุกอยู่กับนางใน
แต่ไท่จื่อในตอนนี้แตกต่างไปจากเดิม… ข้าหลวงชุดใหม่คิดดังนั้นด้วยความยินดี
ข้าหลวงที่คอยปรนนิบัติไท่จื่อถูกเปลี่ยนหน้าเร็วเสียจนทำให้พวกเอาอดหวั่นใจไม่ได้ เพราะหากไท่จื่อเป็นผู้ใหญ่ที่รู้ความ พวกเขาก็จะได้มีชีวิตที่ยืนยาวกับเขาบ้าง
ไท่จื่อไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ งั้นหรือ
พระชายาไท่จื่อที่นอนเคียงหมอนไท่จื่ออยู่ในม่านสีสารทฤดูพลิกตัวกลับมา สายตาจดจ้องไปที่ไท่จื่อที่กำลังหลับใหลพลางใคร่ครวญ
สองวันมานี้ ไท่จื่อปฏิบัติต่อนางดีเหมือนตอนที่เพิ่งแต่งงานกันในช่วงแรก ตอนที่เขายังไม่ได้แสดงธาตุแท้ออกมา
ไม่เลวเลยทีเดียว คู่ไหนๆ ก็มีช่วงคราวน้ำต้มผักยังหวานกันทั้งนั้น ตอนที่นางเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน ไท่จื่อมักจะพูดกับนางด้วยวาจาเสนาะหู
หากไท่จื่อจำอดีตที่ผ่านมาไม่ได้ ก็คงจะดีไม่น้อย…
แต่แล้วจู่ๆ ไท่จื่อก็ลืมตาขึ้นมาสบตากับพระชายา