เล่ม 1 ตอนที่ 153-2 มีปากเสียง ศิษย์น้อง

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 153-2 มีปากเสียง ศิษย์น้อง

ในขณะที่เฉียวเวยกำลังชื่นชมเรือนร่างของตนเองอย่างหลงใหลอยู่นั้น จู่ๆ ในกระจกก็มีเงาใครอีกคนหนึ่งโผล่เข้ามา เฉียวเวยเลยสะดุ้งโหยง! นางรีบหมุนตัวไป มองอีกฝ่ายด้วยความประดักประเดิด “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร”

จีหมิงซิวค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ เฉียวเวยถอยหลังไปก้าวหนึ่งจนตัวติดอยู่กับโต๊ะแต่งหน้าไม่อาจถอยได้อีก สองตานางเบิกกว้าง ถลึงตาให้อีกฝ่ายด้วยความไม่สบายใจ เขาระบายยิ้ม “ครั้งที่สองแล้ว หัวหน้าพรรคเฉียว”

เฉียวเวยพลันหน้าแดง “ท่านอย่าพูดซี้ซั้ว แค่เสื้อผ้าข้าใส่ไม่สบาย เลยจัดระเบียบนิดหน่อย”

“เช่นนั้นหรือ” จีหมิงซิวดูจะไม่เชื่อ นัยน์ตาหยอกเย้าประหนึ่งเปลวเพลิงที่แผดเผาจนสองแก้มของเฉียวเวยร้อนระอุ

เฉียวเวยกระแอมไอเล็กน้อย เบือนหนีสายตาอีกฝ่าย มองไปยังหน้าต่างที่เปิดกว้างอยู่ “ไม่ได้บอกว่ายามไห้หรอกหรือ เหตุใดจึงมาเร็วเพียงนี้”

จีหมิงซิวยกริมฝีปากขึ้นอย่างล้อเลียน “หากไม่มาเร็วเช่นนี้ จะรู้ได้อย่างไรว่าหัวหน้าพรรคเฉียวเปลี่ยวเหงาเกินจะทานทนเช่นนี้”

เฉียวเวยถลึงตาบอกว่า “ก็บอกว่าไม่ใช่!”

สายตาของจีหมิงซิวมองไปยังเตียงที่ว่างเปล่า “ช่างคิดไว้รอบคอบจริงนะ”

หน้าเฉียวเวยแดงก่ำ “ท่านอย่าเข้าใจผิด ที่ข้าให้พวกเขาไปนอนห้องตัวเองก็เพราะพวกเขาโตแล้ว ควรเรียนรู้ที่จะนอนเองได้แล้ว”

จีหมิงซิวหันไปมองนางอย่างชอบใจ “ดูเหมือนข้ายังไม่ได้บอกว่าคิดเรื่องอะไรได้รอบคอบเลยนะ”

เฉียวเวยถึงกับสูดได้อากาศเย็นๆ ไปเฮือกหนึ่ง ดวงตาคู่ใสเบิกกว้าง “ปากเจ้าไม่ได้พูด แต่บนหน้าเจ้าเขียนอยู่นี่”

จีหมิงซิวจ้องเขม็งไปที่นาง ดวงตาคล้ายบ่อน้ำยามค่ำคืน ที่ลึกจนไม่เห็นก้นบ่อ

เฉียวเวยรู้สึกเพียงตนเองซวนเซ หายใจไม่ทั่วท้อง

ในขณะที่เฉียวเวยถูกมองจนแทบจะหายใจไม่ออกแล้วนั้น จีหมิงซิวก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา เดิมทีเขาเกิดมาพร้อมกับใบหน้าที่งดงามมากอยู่แล้ว พอยิ้มขึ้นมาจึงยิ่งเพิ่มเสน่ห์ที่คล้ายมีคล้ายไม่มีขึ้นอีกหลายส่วน สามารถทำให้กระดูกของคนแหลกเหลวได้

เฉียวเวยจับเก้าอี้พยุงตัวไว้

“หายใจออก” นิ้วเรียวยาวประหนึ่งหยกของจีหมิงซิวจิ้มเบาๆ ที่ท้ายทอยของเฉียวเวย จากนั้นก็คล้ายแสดงมายากล เสกปิ่นหยกที่ประณีตงดงามเล่มหนึ่งออกมา ตัวปิ่นทำจากไม้จันทร์หอมสีน้ำตาล ตรงปลายเป็นดอกอวี้หลันสีขาว กลีบดอกอวี้หลันเป็นหยกขาวใส ตรงเกสรเป็นเม็ดหยกสีเขียวเข้ม หยกชั้นดีกับตัวไม้สอดประสานกันอย่างกลมกลืน กลายเป็นความสง่างามที่อธิบายไม่ถูก

เฉียวเวยไม่ใช่คนชอบใส่เครื่องประดับมากนัก แต่เมื่อได้เห็นปิ่นเล่มนี้ยังมองจนไม่อาจเลื่อนสายตาหนีไปได้

“สวยกว่าปิ่นเมื่อคราก่อนหรือไม่” จีหมิงซิวมองหน้านางขณะเอ่ยถาม

เฉียวเวยพยักหน้า

ปิ่นหยกเหลืองดอกเหมยก็สวยอยู่หรอก แต่เมื่อเทียบกันแล้วยังแพ้ให้ดอกอวี้หลันสีขาวนี้อยู่ดี

จีหมิงซิวให้เฉียวเวยนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วเสียบผมให้นาง เฉียวเวยมองตนเองในกระจก แค่มีปิ่นเพิ่มเข้ามาเล่มหนึ่งเท่านั้น แต่กลับไม่รู้เพราะเหตุใด ตัวนางกลับเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อยเสียอย่างนั้น

“พอใจหรือไม่ หัวหน้าพรรคเฉียว” จีหมิงซิวถาม

เฉียวเวยตอบอย่างไม่นึกอายว่า “คนงาม ใส่อะไรก็งามไปหมด”

จีหมิงซิวบอกว่า “ตอนท่านแม่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านชอบเครื่องประดับที่สุดแล้ว บอกว่าจะเก็บไว้ให้ลูกสะใภ้”

มือที่จับปิ่นอยู่ของเฉียวเวยพลันชะงัก

จีหมิงซิวมองตาอีกฝ่ายในกระจกที่คิดจะเบือนหลบไป “ตระกูลเฉียวก็แย่งกลับมาได้แล้ว เมื่อไรถึงจะประกาศตัวตนเสียที”

เมื่อประกาศแล้ว นางก็จะเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาแล้วของเขา

เฉียวเวยหลุบตาลง “ท่านพ่อข้ายังไม่ฟื้น ข้าอยากรอให้เขาฟื้นเสียก่อนค่อยประกาศ จะถูกต้องเหมาะสมกว่า”

จีหมิงซิวจับคางอีกฝ่ายไว้ บังคับให้นางหันหน้ากลับมาประสานสายตากับตน “พูดให้เข้าใจหน่อย”

พูดให้เข้าใจก็คือ นางไม่อยากแต่งงาน

นางอยู่บนเขาอันห่างไกลแบบมีอิสระไม่ดีกว่าหรือ เหตุใดถึงต้องก้าวขาเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ด้วย นิสัยไม่พูดคุยด้วยเหตุผลของนางเช่นนี้ หากใครมาทำร้ายนางหนึ่งส่วน นางจะต้องตอบกลับไปสิบส่วน ในบ้านใหญ่มากคนมากความ หากนางไป จะต้องทำครอบครัวนางวุ่นวายอยู่ไม่เป็นสุขแน่

คนในบ้านของเขา นางเคยพบหน้าทั้งหมดแค่สองคน คนหนึ่งคือท่านย่าของเขา ส่วนอีกคนคือพี่สาว ซึ่งนิสัยแต่ละคนดูคบหาได้ยากทั้งสิ้น อีกทั้งยังเรื่องกระทบกระทั่งกันมาแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงบิดามารดา ท่านอา อาสะใภ้ กับพี่น้องคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ

เวลานี้เขาใส่ใจนาง แต่วันหน้าหากเขาพบว่าตนไม่ได้เป็นอย่างที่ในใจเขาคิดจินตนาการไว้ นางก็ไม่อาจทนนิ่งเฉยอย่างที่สตรีในยุคโบราณจะทำได้เสียด้วย ถึงตอนนั้นเขาจะทำอย่างไร

เฉียวเวยงึมงำเอ่ยว่า “พวกเราเป็นเช่นนี้ไม่ดีหรือ”

สีหน้าจีหมิงซิวดูอ่อนไป “เจ้าอยากจะทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ไปตลอด”

เฉียวเวยเอามือลูบคอ “…ไม่ได้ลับๆ ล่อๆ นี่ ท่านไม่ได้พบคนในครอบครัวข้าแล้วหรือ”

จีหมิงซิวถอนหายใจออกมา “คนในครอบครัวเจ้า หรือว่าลูกน้องของเจ้ากันแน่”

เฉียวเวยแก้ให้ว่า “ท่านเคยพบบิดาข้าแล้ว”

จีหมิงซิวยิ้มเย็น “ใช่ เคยพบแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร”

เฉียวเวยเม้มปาก “ไม่ใช่ว่ายังหาหลักฐานในคืนนั้นไม่พบหรอกหรือ ไว้รอหาพบแล้ว ข้าจะบอกท่านพ่อกับพวกท่านแม่บุญธรรมของข้าเอง”

“จะบอกอะไรพวกเขา” จีหมิงซิวถาม

เฉียวเวยตั้งสติ “บอกพวกเขาว่า… ท่านเป็นบิดาของลูกข้า ข้าเป็น… คู่… คู่หมั้นของท่าน”

“จากนั้น?” จีหมิงซิวถามต่อ

“จากนั้นอะไร” เฉียวเวยมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ

“จากนั้นเจ้าไม่เคยคิดจะพาลูกกลับจวนไปพร้อมกับข้า”

“ข้า…”

“นี่เป็นยาของบิดาเจ้า” จีหมิงซิวหยิบยาขวดหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ “ข้ายังมีธุระ ไปก่อนล่ะ”

“หมิงซิว!” เฉียวเวยจับมืออีกฝ่ายไว้

จีหมิงซิวดึงมือนางออก หมุนตัวแล้วออกจากห้องไป

เฉียวเวยมองแผ่นหลังเขาที่ค่อยๆ หายไป นางหยิบยาขึ้นมา ในใจรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย

วันต่อมา ชุยกงกงส่งคนมารับของ จึงเห็นองครักษ์แต่ละคนท่าทางดุดันกำยำ รถม้าแต่ละคันยิ่งใหญ่อลังการ มาจอดอยู่ตรงปากหมู่บ้านประหนึ่งกองทัพ ดูน่าตกใจจนคนในหมู่บ้านไม่กล้าเข้าใกล้

หัวหน้าชุยนับสินค้าแล้วกลับไปด้วยความพอใจ

คนในโรงงานเห็นกิจการของเถ้าแก่เนี้ยเป็นไปได้ดีจริงๆ จึงยิ่งมีกำลังใจ จำนวนที่โรงงามผลิตได้จึงเพิ่มขึ้นไม่น้อย

ตั้งแต่ให้ชีเหนียงขึ้นเป็นหัวหน้า เรื่องต่างๆ ในโรงวานก็ไม่จำเป็นต้องให้เฉียวเวยออกหน้าจัดการเองอีก

เฉียวเวยไปที่ทุ่งเกาเหลียง เก็บเกี่ยวเกาเหลียงส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่เสร็จก็ไปที่บ้านของป้าหลัว

เดิมทีเกาเหลียงเหล่านี้มีไว้ขายอยู่แล้ว จะขนขึ้นภูเขาก็ยุ่งยากเกินไป จึงเอาทั้งหมดมาไว้ที่พื้นที่ด้านหลังของบ้านตระกูลหลัวเสียเลย

ที่นาสิบหมู่ หนึ่งหมู่สามารถปลูกได้หนึ่งร้อยแปดสิบจิน ในปีที่แห้งแล้งผลิตได้เท่านี้นับว่าหาได้ยากแล้วจริงๆ

ป้าหลัวเรียกร้านค้ามาขายเกาเหลียงเหล่านี้ไป

เดิมทีเกาเหลียงขายอยู่ในตลอดไม่ได้ราคาสูง แต่ที่บังเอิญก็คือทุกคนดันไม่ปลูกเกาเหลียงพร้อมๆ กัน ทำให้โรงผลิตสุราหาซื้อเกาเหลียงไม่ได้ ปีนี้ราคาจึงพุ่งสูงขึ้นมาก ได้ยินว่าหมู่บ้านซีหนิวมีเกาเหลียงอยู่เกือบสองพันจิน โรงผลิตสุราในหลายๆ เมืองข้างเคียงจึงให้พ่อค้าไปซื้อมาจนหมด จากเดิมที่หนึ่งจินหนึ่งอีแปะ สู้ราคากันถึงหนึ่งจินสองอีแปะ ตอนหลังเป็นสามอีแปะ สี่อีแปะ… ไปไกลจนกู่ไม่กลับ สุดท้ายมีโรงผลิตสุรามาเหมาซื้อไปที่หนึ่งจินสิบอีแปะ

“จึ๊ๆๆ หนึ่งจินสิบอีแปะ ซื้อเนื้อได้เลยนะเนี่ย!” ป้าหลัวไม่รู้จริงๆ ว่าควรบอกว่าเสี่ยวเวยมีอะไรดี เด็กคนนี้ทำอะไรก็มือขึ้นไปหมด โชคดีจนน่าอิจฉา

พอข่าวแพร่ออกไป เชื่อว่าปีหน้าคงมีคนไม่น้อยที่อยากปลูกเกาเหลียง

ป้าหลัวขึ้นภูเขาไปส่งเงินให้เฉียวเวย

ระหว่างนั้นจู่ๆ มีคุณนายรูปโฉมงดงามสูงสง่าเรียกนางไว้ “ต้าเหนียง ข้าขอถามหน่อยสิ แม่นางแซ่เฉียวที่อยู่ในหมู่บ้านพวกเจ้าพักอยู่ที่ใดหรือ”

ทั้งหมู่บ้านมีเสี่ยวเวยคนเดียวที่แซ่เฉียว ป้าหลัวมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด “เจ้าเป็นใครหรือ”

“ข้าเป็นอาสะใภ้สี่ของแม่นางเฉียว ข้าเอาของมาส่งให้นาง” ฮูหยินสี่เอ่ยเสียงนุ่ม

“ไม่ใช่อาสะใภ้รอง?” ป้าหลัวถาม

ฮูหยินสี่ยิ้มอ่อนหวาน “ไม่ใช่”

ป้าหลัวจึงเอ่ยว่า “ข้ากำลังจะไปหานางอยู่พอดี ไปด้วยกันเถิด”

ฮูหยินสี่ตามป้าหลัวขึ้นภูเขาไป

นี่เป็นครั้งแรกที่ฮูหยินสี่เดินลึกเข้าไปในที่ทุรกันดารเช่นนี้ ม้าของนางแทบไม่อยากจะเดินเข้าไปในหมู่บ้านด้วยซ้ำ นางลงจากรถ ไม่ได้ให้สาวใช้ตามมาด้วย เดินเข้าหมู่บ้านไปคนเดียว ระหว่างทางยิ่งได้มองก็ยิ่งเศร้าใจ

นางเดาไว้ว่าคุณหนูใหญ่อาจจะมีชีวิตที่ไม่ดีนัก แต่ไม่คิดว่าจะย่ำแย่เพียงนี้

เพียงแต่ความคิดเช่นนี้เมื่อขึ้นไปถึงบ้านบนภูเขาแล้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในทันที

รั้วไม้ที่มีดอกกุหลาบสีชมพูดอกเล็กๆ บานอยู่เต็มไปหมด ลานมีหญ้าเขียวชอุ่ม ปลูกต้นกุหลาบขาวเอาไว้หลายต้น ตัวบ้านที่ใหญ่โต ชายคาโค้งเป็นองศางดงาม พอเดินเข้าไปข้างในยังมีเรือนหลังที่ประณีตบรรจง ชิงช้า ม้าไม้… ของเล่นเด็กสารพัดรูปแบบ และยิ่งลึกเข้าไปในเรือนหลัง ก็มีสวนดอกไม้ที่กว้างใหญ่อีกสวนหนึ่ง ภายในสวนไม่ได้ปลูกต้นไม้ดอกไม้อะไรไว้มากนัก แต่กลับมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่ตัดมาจากหยกขาวฮั่นไป๋

“เจ้านั่งก่อน ข้าจะไปเรียกนางมา” ป้าหลัวให้ฮูหยินสี่นั่งลง

ฮูหยินสี่ไม่กล้ามองสำรวจต่อ จึงนั่งลงเงียบๆ

เฉียวเวยเดินออกมาจากห้องครัว นางรินชาให้ฮูหยินสี่ถ้วยหนึ่ง “อาสะใภ้สี่มาได้อย่างไร”

ฮูหยินสี่มองนางที่แต่งตัวอย่างชาวบ้านแล้วตกใจเล็กน้อย ก่อนสีหน้าจะกลับมาเป็นปกติ “นี่ไม่ได้จะใกล้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วหรือ ข้าเอาปูตัวใหญ่ๆ มาให้เจ้า ก็พอดีจะได้เอาภาพให้เจ้าดูด้วย”

ฮูหยินสี่พูดพลางเอาตะกร้าใบใหญ่วางลงบนโต๊ะ ทั้งยังหยิบภาพวาดสองภาพออกมาจากแขนเสื้อด้วย

เฉียวเวยไม่สนใจดูปู แต่หยิบแผ่นภาพของนางขึ้นมา

ฮูหยินสี่บอกว่า “ภาพหนึ่งเป็นห้องปักผ้าเดิมของเจ้า อีกภาพหนึ่งเป็นเรือนของพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ นี่เป็นภาพร่าง เจ้าลองดูว่ามีตรงใดที่ต้องการปรับแก้หรือไม่ แต่ข้าก็ยังแนะนำให้เจ้าไปดูที่จวนด้วยตนเองด้วยจะดีกว่า”

การทำเรือนใหม่เป็นเรื่องใหญ่ แน่นอนว่าต้องไปด้วยตนเอง

เฉียวเวยพยักหน้า “วันนี้ข้าไม่มีธุระอะไร เดี๋ยวไปกับเจ้าเลยก็แล้วกัน”

ฮูหยินสี่มองหน้านาง “สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดี”

เฉียวเวยยกมุมปากเล็กน้อย “เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย ทำให้อาสะใภ้สี่เป็นห่วงแล้ว รถม้าของอาสะใภ้สี่อยู่ที่ปากหมู่บ้าน?”

“อื้อ” ฮูหยินสี่พูดต่อว่า “พี่ใหญ่ไปหรือไม่”

เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ท่านพ่อข้าหลับไปแล้ว อย่าไปกวนเขาเลย”

“ก็ดี”

เฉียวเวยเปลี่ยนไปใส่ชุดสบายๆ สำหรับไปข้างนอก ส่วนบ้านให้ป้าหลัวกับปี้เอ๋อร์จัดการต่อ ตนตามฮูหยินสี่ลงจากเขาไป

หมู่บ้านซีหนิวอยู่ห่างจากเมืองหลวงแค่ประมาณห้าสิบหกสิบลี้ หากเร่งควบม้าไป ช่วงบ่ายก็ไปถึง เดินต่อไปอีกครึ่งชั่วยามนิดๆ ก็ถึงบ้านตระกูลเฉียวแล้ว

“อาสี่กลับมารึยัง” เฉียวเวยขึ้นนั่งบนรถม้าแล้วชวนอีกฝ่ายคุย

ฮูหยินสี่ตอบเสียงนุ่มว่า “กลับมาแล้ว หลายวันนี้กำลังจัดระเบียบให้หอหลิงจืออยู่ทีเดียว”

หอหลิงจือถูกสวีซื่อจัดการจนเละตุ้มเป๊ะ ชื่อเสียงเหม็นเน่าหมดแล้ว การจะจัดการให้กลับมามีระเบียบดังเดิม น่ากลัวว่าแค่วันสองวันคงจะไม่เสร็จ

เฉียวเวยจึงเอ่ยว่า “ลำบากอาสี่แล้ว”

ฮูหยินสี่รีบเอ่ยทันทีว่า “อาสี่ของเจ้าปีๆ หนึ่งอยู่แต่นอกบ้าน อยากจะกลับก็กลับไม่ได้ การได้กลับมาดูแลหอหลิงจือแทนพี่ใหญ่ เป็นสิ่งที่เขาคิดหวังให้เป็นเช่นนี้มาตลอด จะลำบากได้อย่างไร”

ระหว่างที่พูด รถม้าก็เคลื่อนตัวเข้าบ้านตระกูลเฉียว

ฮูหยินสี่มีสาวใช้เข้ามาประคองลงจากรถม้า ตอนฮูหยินสี่หันกลับไปจะประคองเฉียวเวยนั้น ก็เห็นเฉียวเวยกระโดดลงจากรถม้ามาเองอย่างคล่องแคล่ว

ห้าปีที่ไม่ได้พบหน้า นางเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้วจริงๆ

ฮูหยินสี่เดินนำเฉียวเวยเข้าไปในเรือนหลัง “ท่านพ่อท่านแม่เจ้าพักอยู่ในหลันย่วน หอปักผ้าของเจ้าก็อยู่ในข้างในหลันย่วนนั่นแหละ”

“นี่เป็นเรือนของผู้ใด” เฉียวเวยชี้ไปยังเรือนที่ดูเก่าแก่ยิ่งใหญ่แล้วถามขึ้น

ฮูหยินสี่ชะงักไปเล็กน้อย “ที่นี่คือเรือนฝูโซ่ว ทุกวันนี้เป็นที่พักของเมิ่งอี๋เหนียง”

เรือนรองสิ้นเนื้อประดาตัว คำที่ใช้เรียกขานเมิ่งไท่ไท่ก็พลอยเปลี่ยนไปด้วย

เฉียวเวยเลิกคิ้วเรียบๆ “เดิมทีท่านแม่พักอยู่ที่นี่ หลังจากท่านแม่…จากบ้านตระกูลเฉียวไป เมิ่งอี๋เหนียงก็ย้ายเข้าไปอยู่แทน”

เดิมทีอารมณ์ของเฉียวเวยก็ไม่สู้จะแจ่มใสอยู่แล้ว เมิ่งซื่อเดินมาชนปากปืนของนางพอดี “อี๋เหนียงคนหนึ่งกล้ายึดเรือนท่านย่าของข้าอยู่แล้วหรือ ให้นางย้ายออกมา”

ฮูหยินสี่หันไปส่งสายตาให้สาวใช้ที่เดินตามมาด้วย

สาวใช้เข้าห้องไปอย่างรู้งาน ไม่นานภายในห้องก็มีเสียงโต้เถียงกันดังขึ้น ด่าทอกันใหญ่โต จากนั้นก็ตามด้วยเสียงเคลื่อนย้ายโต๊ะตู้ตั่งเตียงกันให้ควัก

สาวใช้จับแก้มที่บวมแดงเดินออกมา

เฉียวเวยสายตาพลันเรียบเย็น สาวเท้ายาวๆ เข้าไปในเรือน พอเลิกม่านขึ้นก็ย่างสามขุมเข้าไปข้างใน จ้องเขม็งไปยังเมิ่งซื่อที่เพิ่งบันดาลโทสะเสร็จแล้วเอ่ยอย่างไม่มีเกรงใจว่า “ใครตบนาง”

“ข้าเอง!” เซวียมามาเอ่ย

เฉียวเวยถีบนางออกจากห้องไปในบาทาเดียว

เมิ่งซื่อตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “เจ้า เจ้า เจ้าทำอะไรน่ะ”

เฉียวเวยเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าจะทำอะไรเจ้ายุ่งวุ่นวายได้หรือ ที่นี่เป็นเรือนของท่านย่าข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์มาอยู่! หากรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ก็รีบเก็บข้าวของแล้วกลับไปอยู่เรือนเดิมของตนเองเสีย! ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไสหัวออกจากบ้านตระกูลเฉียวไปเลย ไปหาลูกชายท่านโหวของเจ้านู่น!”

เมิ่งซื่ออับอายจนกลายเป็นความโกรธ “เจ้า เจ้า เจ้าไม่เป็นเหตุเป็นผลเอาเสียเลย พ่อเจ้าโตมาด้วยน้ำนมข้านะ!”

“พ่อข้าโตมาด้วยน้ำนมเจ้า แต่ข้าไม่ใช่!” เดิมทีเห็นแก่ที่นางเคยให้นมเฉียวเจิงกินอยู่หลายวัน เฉียวเวยไม่อยากแข็งกระด้างกับนางจนเกินไปนัก เกรงว่าในใจเฉียวเจิงจะมีความผูกพันกับแม่นมผู้นี้อยู่บ้าง แต่ตั้งแต่รู้ว่าท่านย่าของนางตายอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในสำนักชีแล้ว นางก็ไม่หลงเหลือความเห็นใจหรือเกรงกลัวให้กับเมิ่งซื่อผู้นี้อีก!

เพราะอะไรท่านย่าของนางถึงต้องผ่านช่วงเดือนสุดท้ายของชีวิตอย่างโดดเดี่ยว แต่อนุผู้นี้กลับได้เสวยสุขอยู่ในบ้านตระกูลเฉียว

“ที่ข้าพูดเจ้าได้ยินใช่หรือไม่” เฉียวเวยคว้าคอเสื้อของนางไว้ จับนางโยนลงกับพื้นข้างนอกโดยไม่มีลังเลสักนิด

“ไสหัวไป!”

เมิ่งซื่อตกใจจนฉี่ราดออกมา แม้แต่ข้าวของยังไม่กล้าเก็บ รีบวิ่งกลับเรือนเก่าของตนไปโดยมีสาวใช้คอยประคอง

ฮูหยินสี่สังเกตเห็นว่าวันนี้อารมณ์ของเฉียวเวยไม่ใช่แค่ฉุนเฉียวธรรมดา แต่นางไม่กล้าซักไซ้ว่าเพราะเหตุใด เพียงสั่งให้สาวใช้ข้างกายเก็บข้าวของของเมิ่งซื่อออกไป จัดการทำความสะอาดเรือนให้เรียบร้อยแล้วเอาของฮูหยินอาวุโสออกมาวาง

“ใครยังอยู่ในเรือนที่ไม่ควรอยู่อีกหรือไม่” เฉียวเวยเอ่ยเรียบๆ

ฮูหยินสี่เอ่ยว่า “เรือนหลักของครอบครัวรอง เดิมทีเป็นเรือนของพี่ใหญ่ ตอนหลังพี่ใหญ่ตั้งใจสร้างหลันย่วนให้พี่สะใภ้ใหญ่อีกหลังหนึ่ง จึงย้ายออกจากเรือนหลักมาตั้งแต่นั้น”

เฉียวเวยไม่ได้พูดอะไร สีหน้านิ่งขรึมจนน่ากลัว

ฮูหยินสี่รีบสั่งสาวใช้ว่า “ไป ไปเก็บของจากเรือนหลักออกมา”

“เจ้าค่ะ!” สาวใช้รับคำ

เฉียวเวยไปที่หลันย่วน

หลันย่วนขาดการซ่อมแซมมานานปี สนามด้านหน้ามีวัชพืชขึ้นเต็มไปหมด หลายวันนี้ถึงแม้ฮูหยินสี่จะสั่งให้สาวใช้สูงอายุทำความสะอาดแล้ว แต่พอมองไปแล้วเห็นแต่ลานว่างโล่ง ก็ยังรู้สึกโหลงเหลงอย่างประหลาด

เฉียวเวยเอ่ยด้วยความสงสัย “ไม่ต้องเปลี่ยนมาก ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรก็ซ่อมแซมให้เป็นเช่นนั้นแล้วกัน”

ฮูหยินสี่พยักหน้า “ก็ดี”

ฮูหยินสี่รั้งเฉียวเวยไว้กินข้าว แต่เฉียวเวยปฏิเสธ นี่ก็สายมากแล้ว หากยังไม่ไปอีกแล้วประตูเมืองปิดเสีย นางคงกลับไปไม่ได้

เฉียวเวยขึ้นนั่งบนรถม้าที่ฮูหยินสี่จัดเตรียมเอาไว้ นั่งโยกๆ คลอนๆ ออกจากบ้านตระกูลเฉียวไป

เมื่อคิดถึงบุตรทั้งสอง เฉียวเวยให้คนรถบังคับม้าไปยังร้านขนมถังหูลู่ที่มักกินกันเป็นประจำ

เมื่อไปถึงหน้าร้าน นางบังเอิญเห็นร่างใครคนหนึ่งที่คุ้นตา

“อันนี้เท่าไรหรือ” หญิงสาวที่อยู่ในอาภรณ์ขาวนางหนึ่งถามขึ้น หญิงสาวผู้นี้รูปโฉมงดงามยิ่งนัก ใบหน้ารูปแตงอันประณีต สีผิวขาวเนียน ตารูปหงส์ ริมฝีปากแดงฟันขาว แผ่รัศมีจากทั่วตัวออกมาอย่างอธิบายไม่ถูก

เถ้าแก่มองบุรุษที่อยู่ข้างกายนางทีหนึ่ง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “แขกประจำนี่เอง อันนี้แถมให้เจ้า!”

“จะกล้ารับได้อย่างไร” หญิงสาวหยิบเงินออกมา

บุรุษผู้นั้นให้เงินเถ้าแก่ก้อนหนึ่ง “ไม่ต้องทอน”

เฉียวเวยเดินเข้าไปนิ่งๆ “คุณชายหมิงช่างใจกว้างยิ่งนัก ให้ทีก็หนึ่งก้อนเงินเลยทีเดียว”

หญิงสาวมองหมิงซิว แล้วมองเฉียวเวยอีกทีหนึ่ง “ศิษย์พี่ นางเป็นใครหรือ”

ศิษย์พี่?

อ้อ ศิษย์น้องหญิงในตำนานนี่เอง

สายตาแหลมคมของเฉียวเวยกวาดมองทั้งสองอย่างรวดเร็ว “พาศิษย์น้องออกมาเดินเล่นทั้งที กินแค่ถังหูลู่เท่านั้น ไม่ขี้เหนียวไปหน่อยหรือ”

หญิงสาวยิ้มหวาน พอนางยิ้ม ข้างแก้มมีลักยิ้มเพิ่มขึ้นมา น่ารักยิ่งนัก “ข้าชอบกินถังหูลู่นี่แหละ ข้าเป็นคนบอกให้ศิษย์พี่พาข้ามาเอง! เจ้าเป็นสหายกับศิษย์พี่ของข้าหรือ ข้าชื่อเสี่ยเย่ว์ เป็นลูกศิษย์ของสำนักซู่ซินจง บิดาข้าเป็นเจ้าสำนักของซู่ซินจง เจ้าเป็นใครหรือ”

บุตรสาวของชาวยุทธนี่เอง มิน่าเล่าถึงได้ไม่สงบเสงี่ยมเอาเสียเลย คุณหนูตระกูลใหญ่ไม่มีทางติดตามบุรุษออกมาเปิดเผยหน้าตาข้างนอกเช่นนี้แน่

เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าเป็นชาวบ้านในชนบท ขอไม่เอ่ยชื่อต่ำต้อยของข้าให้เปราะเปื้อนหูของแม่นางเสี่ยวเย่ว์ก็แล้วกัน”

สาวน้อยเอ่ยอย่างใสซื่อว่า “อันที่จริงก็ไม่มีอะไร ท่านตาของข้าก็มักบอกว่าข้าเป็นสาวบ้านนอก”

“ท่านตาเจ้า?” เฉียวเวยถามตามไป

“อื้อ ท่านตาข้าเป็นไท่ซือ[1]ของราชวงศ์ปัจจุบัน เขามักบอกว่าท่านแม่ข้าแต่งงานกับคนบ้านนอก บุตรที่ท่านแม่ข้าคลอดออกมาก็เป็นเด็กบ้านนอกด้วย” ปากนางเอ่ยวาจาเหน็บแนมท่านตา แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความเลื่อมใสที่มีต่อท่านตา

สิ่งที่เฉียวเวยคิดก็คือ เด็กสาวชาวยุทธผู้นี้ถึงขั้นมีเบื้องหลังเป็นคนในราชสำนักเสียด้วย!

เด็กสาวเอ่ยอย่างเป็นมิตรว่า “ครั้งนี้ที่ข้ากลับมา เพราะจะมาฉลองวันเกิดให้ท่านตา เจ้าเป็นสหายกับศิษย์พี่ของข้า… ข้ายังไม่เคยพบสหายของศิษย์พี่เลยสักคน เจ้าก็มาด้วยกันสิ!”

ไม่รอให้เฉียวเวยเอ่ยปาก จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “แม่นางเฉียวกำลังยุ่งกับการค้า ไม่อาจปลีกตัวมาได้ ข้าว่าอย่าเลยดีกว่า”

เฉียวเวยปรายตามองเขา ส่งสายตาคมกล้าไปทางเขาอย่างฟุ่มเฟือคล้ายไม่ต้องเสียเงิน

สาวน้อยถอนหายใจด้วยความเสียดาย “เช่นนี้เองหรือ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าลงจากเขามา ข้าเองก็อยากได้พบสหายของศิษย์พี่เหมือนกัน”

“ไม่ได้อยากกินเต้าฮวยหรือ” จีหมิงซิวเปลี่ยนเรื่องทันที

หญิงสาวตาเป็นประกาย ผลักเรื่องอยากหาเพื่อนไปไว้ข้างหลังทันที นางจับแขนจีหมิงซิวแล้วเอ่ยว่า “ไปกินที่ไหนหรือ”

เฉียวเวยมองมือที่จับอยู่ตรงแขนจีหมิงซิว มันน่าตัดทิ้งเสียจริง!

[1] ไท่ซือ คือตำแหน่งอาจารย์ของราชสำนัก เทียบเท่ากับราชครู