“เยี่ยนอ๋องมากับเอ้อร์…เอ๊ย มากับแม่ทัพเซี่ยวเทียนงั้นรึ” ไท่จื่อตกใจจนเหงื่อซึมกายชุ่มโชก
พูดไปสองไพเบี้ย เขาเกือบหลุดพูดชื่อเอ้อร์หนิวออกไปแล้วเชียว!
แม้เอ้อร์หนิวจะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกลเพียงใด แต่ถึงอย่างไร เขาในตอนนี้ก็ความจำเสื่อม ฉะนั้นในสายตาคนอื่นๆ เขาไม่ควรทราบเรื่องนี้
ข้าหลวงรีบตอบ “พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท แม่ทัพเซี่ยวเทียนเป็นสุนัขทรงเลี้ยงของเยี่ยนอ๋อง มีชื่อว่าเอ้อร์หนิว ตอนนี้มียศเป็นแม่ทัพขั้นที่สี่พ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนในวังหลวงทราบดีว่าแม่ทัพเซี่ยวเทียนมีนามว่าเอ้อร์หนิว
ไม่มีผู้ใดไม่ทราบเรื่องนี้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ฮ่องเต้เพิ่งเรียกแม่ทัพเซี่ยวเทียนมาเข้าเฝ้า เกียรติยศอันสูงส่งตกแก่สุนัขตัวหนึ่ง แล้วสุนัขตัวนั้นจะไม่เป็นที่รู้จักได้อย่างไร
แต่ก็เห็นชัดๆ อยู่ว่าเป็นสุนัข เหตุไฉนถึงมีชื่อว่าเอ้อร์หนิวเล่า
ข้าหลวงขบคิดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา เฝ้ารอว่าไท่จื่อจะตอบรับให้เข้าเฝ้าหรือไม่
ไท่จื่อลังเลชั่วครู่
เจอหน้าพี่น้องคนอื่นๆ หมดแล้ว หากปฏิเสธไม่พบหน้าเจ้าเจ็ดคนเดียวคงไม่ได้
สภาพของเขาในตอนนี้เป็นคนความจำเสื่อม ไม่ว่าอดีตอีกฝ่ายจะเป็นคนใกล้หรือคนไกล ตอนนี้ก็ควรปฏิบัติให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน
ฉะนั้นถึงอย่างไรเขาก็ต้องพบหน้าเจ้าเจ็ด ว่าแต่ควรเจอเอ้อร์หนิวด้วยหรือเปล่า
เมื่อหวนคิดถึงตอนที่ถูกเอ้อร์หนิวงับก้นที่สวนในจวนเยี่ยนอ๋อง ไท่จื่อก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมาโดยพลัน
แต่ครั้งนี้เจ้าเจ็ดพาเอ้อร์หนิวมาเยี่ยมที่ตำหนักของเขา เอ้อร์หนิวคงไม่กัดคนมั่วซั่วหรอกกระมัง
แม้จะเคยถูกเอ้อร์หนิวกัดมาแล้วหนหนึ่ง แต่ไท่จื่อก็ยังไม่ยอมตัดใจ
การที่สุนัขกัดคนอื่นนอกจากเจ้าของก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
หากเป็นสุนัขตัวอื่น เขาคงฆ่าทิ้งให้สิ้นเรื่อง แต่เพราะเอ้อร์หนิวแตกต่างจากสุนัขตัวอื่นๆ เอ้อร์หนิวรู้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ฉะนั้นมันจะสามารถช่วยชีวิตเขาได้ในช่วงเวลาคับขัน
ปักธงไว้ที่ส่วนดี แล้วเหยียบความกลัวให้จมดิน ไท่จื่อส่งยิ้มพลางเอ่ย “เชิญเยี่ยนอ๋องและแม่ทัพเซี่ยวเทียนเข้ามาเถิด ข้าอยากจะเห็นว่าสุนัขที่มียศเป็นถึงแม่ทัพขั้นที่สี่จะมีหน้าตาเป็นเช่นไร”
ไท่จื่อกล่าวเช่นนั้นแล้วก็รู้สึกพอใจกับการแสดงของตนเอง
อื้ม อากัปกิริยาเช่นนี้คงดูเป็นธรรมชาติไม่น้อย
มีใครได้ยินเรื่องสุนัขถูกแต่งตั้งเป็นข้าราชการขั้นที่สี่แล้วไม่รู้สึกประหลาดใจด้วยหรือ
ข้าหลวงรีบออกไปตามคำสั่ง
……
ภายในห้องทรงพระอักษร จิ่งหมิงฮ่องเต้วางม้วนฎีกาลงก่อนจะรับถ้วยชาที่พานไห่ส่งให้มาจิบ เขาเอ่ยถาม “ที่ตำหนักของไท่จื่อคงคึกคักน่าดู”
การที่ไท่จื่อความจำเสื่อมเป็นโอกาสดีที่จะได้รับการอบรมสั่งสอนเสียใหม่ จิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงได้สนใจความเคลื่อนไหวที่ตำหนักบูรพาในช่วงสองสามวันนี้เป็นพิเศษ
เมื่อวานมีงานเลี้ยงกลางสารทฤดูภายในราชวงศ์ และวันนี้เหล่าองค์ชายก็เข้ามาเยี่ยมเยียนไท่จื่อ เรื่องนี้ไม่ได้เกินความคาดหมายของเขานัก
สองวันที่ผ่านมา ไท่จื่อประพฤติตัวได้ดี นอกจากจะสุขุมสงบเสงี่ยมแล้วยังใฝ่รู้ เขาเข้าไปหาตำรามาอ่านด้วยตัวเอง นั่นยิ่งทำให้ฮ่องเต้รู้สึกประทับใจในตัวเขายิ่งนัก
ให้เจ้าสี่และคนอื่นๆ ได้เข้าไปเห็นการเปลี่ยนแปลงของไท่จื่อ จะได้สลัดความคิดชั่วร้ายพวกนั้นออกจากหัวเสียที
พานไห่รีบตอบ “เยี่ยนอ๋องเพิ่งเสด็จมาถึงพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเจ็ดงั้นหรือ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามโดยพลัน “มาช้าสุดเลยรึ”
“ท่านอ๋องพาแม่ทัพเซี่ยวเทียนมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ พลางกล่าวด้วยอารมณ์ “พาเอ้อร์หนิวมาด้วย?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง!”
มีที่ไหนกันมาสุนัขมาเยี่ยมคนอื่น…
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยืดตัวขึ้นพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจะไปดูที่ตงกงเสียหน่อย”
ครั้นจะว่าไปแล้ว เขาเองกำลังคิดถึงเซี่ยวอ้ายชิงอยู่พอดี ไม่รู้ว่าเซี่ยวอ้ายชิงได้เลื่อนตำแหน่งแล้วน้ำหนักตัวลดไปบ้างหรือไม่
จิ่งหมิงฮ่องเต้อุดอู้อยู่แต่ในวังหลวง ไม่สามารถออกไปด้านนอกตามอำเภอใจ ต่อให้มีรับสั่งว่าอยากพบแม่ทัพเซี่ยวเทียน ก็ใช่ว่าจะพบได้ ฉะนั้นนี่จึงเป็นโอกาสดี
จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งอยู่บนเก้าอี้คานหาม โดยมีพานไห่เดินตามอยู่ข้างๆ ทั้งคู่มุ่งหน้าสู่ตำหนักบูรพาอย่างสุขารมณ์
……
เมื่ออวี้จิ่นได้ยินข้าหลวงออกมารายงานว่า “องค์รัชทายาทเชิญให้เสด็จเข้าไปด้านในพ่ะย่ะค่ะ” เขาก็ลอบถอนหายใจออกมา
เขากลัวว่าไท่จื่อที่ถูกเอ้อร์หนิวกัดจะไม่กล้าเจอหน้าเอ้อร์หนิวอีก เพราะหากเป็นเช่นนั้น เขาคงต้องคิดหาวิธีใหม่
อวี้จิ่นเป็นพวกใจร้อน หากคิดจะกำจัดใครแล้วก็อยากลงมือทันที ไม่สามารถอดทนรอคอยได้นาน
อะไรนะ ไท่จื่อความจำเสื่อมเลยจำไม่ได้ว่าเคยถูกเอ้อร์หนิวกัดอย่างงั้นหรือ
อวี้จิ่นพ่นลมออกมาทางจมูก
ไม่ว่าคนอื่นๆ จะคิดเช่นไร แต่ในสายตาอวี้จิ่น ทั้งหมดที่ไท่จื่อทำเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น สาเหตุที่เขาคิดเช่นนี้อาจเป็นสัญชาตญาณของการฝึกฝนอันทรหดท่ามกลางความเป็นและความตายนับครั้งไม่ถ้วนที่หนานเจียง
“ท่านอ๋อง เชิญทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ข้าหลวงเดินนำไปด้วยความนอบน้อม
ได้ยินมาว่าเอ้อร์หนิวกัดไท่จื่อ แต่กลับไม่ได้รับโทษอันใด ส่วนเยี่ยนอ๋องก็ไม่ได้ถูกถอดยศ เห็นได้ชัดว่าทั้งเยี่ยนอ๋องและเอ้อร์หนิวเป็นที่โปรดปรานด้วยกันทั้งคู่ ฉะนั้นเขาไม่ควรแสดงท่าทีละเลยต่อทั้งคู่
หลังจากอวี้จิ่นพาเอ้อร์หนิวเดินเข้าไปในห้องแล้วถึงได้พบว่าหลู่อ๋องก็อยู่ในห้องนั้นด้วย
“เดิมทีก็ว่าจะขอตัวกลับ แต่เมื่อได้ยินว่าน้องเจ็ดมาเยี่ยม เลยคิดว่ารอกลับพร้อมกันดีกว่า” หลู๋อ๋องอธิบาย
“ดีเหลือเกิน” อวี้จิ่นรับคำส่งๆ ก่อนจะหันไปทักทายไท่จื่อ “เมื่อวานพอได้ทราบว่าพี่รองได้รับบาดเจ็บ ข้าเลยเป็นห่วง แต่ไม่มีโอกาสเข้าไปถามในงาน วันนี้ข้าเลยมาเยี่ยม”
ประโยคเช่นนั้นไท่จื่อได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน เขาส่งยิ้มพลางบอก “เจ้าก็พูดเกินไป ข้ามิได้เป็นอะไรมาก”
“พี่รองไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว” อวี้จิ่นคลี่ยิ้ม พลางหันไปตบบนตัวเอ้อร์หนิว “เมื่อก่อนพี่รองชอบเอ้อร์หนิวมาก วันนี้ข้าเลยพาเอ้อร์หนิวมาด้วย”
ครั้นอวี้จิ่นตบบนตัวเจ้าสุนัข มันก็ก้าวเท้าไปด้านหน้า
วินาทีนั้น รูม่านตาของไท่จื่อขยายใหญ่โดยพลัน
อวี้จิ่นที่กำลังจับตาดูอาการของไท่จื่อยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
ที่แท้ก็แสดงละครจริงด้วย เพราะหากความจำเสื่อมจริงๆ คงไม่มีอาการเช่นนั้นยามที่เอ้อร์หนิวเข้าไปใกล้
ม่านตาขยายกว้างปานนั้น คงประหม่าล่ะซิท่า
หากไท่จื่อความจำเสื่อมจริง ยามที่เห็นสุนัขที่มียศแม่ทัพขั้นที่สี่ ปฏิกิริยาแรกควรจะสนอกสนใจมากกว่าจริงไหม
เมื่อได้รับการยืนยันเช่นนั้น อวี้จิ่นก็มั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำต่อไป
น่าเสียดายตรงที่ไม่ได้เปิดโปงไท่จื่อต่อหน้าเสด็จพ่อ น่าเสียดายเหลือเกิน แต่ก็ช่างปะไร อย่างไรเสียข่าวลือก็คงดังไปถึงพระกรรณของฝ่าบาทอยู่ดี ฉะนั้นผลลัพธ์คงไม่ต่างกัน
ทันทีที่คิดตกดังนั้น จู่ๆ เสียงของข้าหลวงก็กล่าวร้องฉะฉาน “ฮ่องเต้เสด็จ…”
ในวินาทีนั้น แม้แต่อวี้จิ่นก็ชะงักไปในทันใด
นี่แค่คิดว่าจะงีบก็มีคนยื่นหมอนมาให้ถึงที่เลยหรือ
เขาเป็นลูกชังของเสด็จพ่อเสด็จแม่มานานสิบแปดปี แต่มาถึงตอนนี้กลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว พอได้แต่งงานกับอาซื่อแล้ว ดูเหมือนชะตาชีวิตก็พลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
ไม่ช้าไม่นาน จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับพานไห่ที่เดินตามหลังมาเงียบๆ
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ไท่จื่อ อวี้จิ่นและหลู่อ๋องเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
“ไม่ต้องมากพิธี” จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำไขสือพลางหันไปถามอีกสองคน “พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
หลู่อ๋องเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้แล้วอดประหม่าไม่ได้จึงรีบตอบ “ลูกกับน้องเจ็ดมาเยี่ยมพี่รองพ่ะย่ะค่ะ”
เขากล่าวพลางส่งสายตาไปให้อวี้จิ่น
เสด็จพ่อมาแล้ว พวกเรารีบแยกย้ายกันเถอะ
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกขันกับอาการของหลู่อ๋อง
เมื่อก่อนเคยคิดว่าบุตรชายของเขาคนนี้เป็นพวกใจกล้าบ้าบิ่น ไม่คิดเลยว่าแค่ลงโทษครั้งเดียว จะทำให้เขากลายเป็นคนสงบเสงี่ยมได้
หลู่อ๋องถอนหายใจแต่เพียงในใจ
จะไม่ให้สงบเสงี่ยมได้อย่างไร ในเมื่อบุตรสาวของเจ้าเจ็ด เพียงคลอดออกมาก็ได้เป็นจวิ้นจู่[1] แต่บุตรสาวของเขา ขนาดออกเรือนไปยังเป็นได้เพียงเสี้ยนจู่[2] หากถึงตอนนั้นบุตรสาวของเขาถาม เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“เอ๋ เซี่ยวอ้ายชิงก็มาด้วยรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้สนใจโอรสทั้งสอง สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่เอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิวเดินเข้าไปหาจิ่งหมิงฮ่องเต้พลางส่ายหางออดอ้อน
ไท่จื่อเห็นดังนั้นแล้วก็ตาร้อนขึ้นมาทันใด เขาใคร่ครวญในใจว่า เอ้อร์หนิวดุร้ายกับเขาปานนั้น แต่เหตุไฉนพอเป็นเสด็จพ่อถึงได้เชื่องปานนี้
หางตาของอวี้จิ่นเฝ้าดูปฏิกิริยาของไท่จื่อ ก่อนจะคลี่ยิ้มใสซื่อ “เมื่อตอนงานเลี้ยงอาฮวนอายุครบเดือน ลูกจำได้ว่าพี่รองเคยบอกว่าทรงโปรดเอ้อร์หนิว วันนี้ลูกเลยพาเอ้อร์หนิวเยี่ยมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
[1] จวิ้นจู่ คือ ตำแหน่งองค์หญิงหรือท่านหญิงซึ่งเป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่ 3
[2] เสี้ยนจู่ คือ ตำแหน่งองค์หญิงหรือท่านหญิงซึ่งเป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่ 4