บทที่ 611 ปล่อยพวกเขาไป

กู้หวนจิ่นนั่งอยู่บนเตียงนอน ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บแต่แววตายังคงเฉียบแหลมเป็นประกาย

“ฝ่าบาท ต้าโจวมีเมืองในปกครองเพียงยี่สิบเมืองเท่านั้น หากพระองค์ปรารถนายึดครองไปถึงสองเมือง จะมิกลายเป็นแล่เนื้อเถือหนังต้าโจวไปหรอกหรือ?” กู้หวนจิ่นกล่าว

การยกเมืองทั้งสองให้ต้าฉี ก็เหมือนกับการแล่เนื้อตนเองป้อนนกอินทรีนั่นเอง

“ท่านราชทูตกู้ หากการเจรจาในครั้งนี้ไม่จบลงด้วยสันติ สงครามย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นต้าโจวคงไม่เพียงเสียแค่สองเมือง แต่อาจจะเสียเพิ่มไปเป็นห้าเมืองหรือสิบเมือง ไม่ก็อาจเป็นแคว้นต้าโจวทั้งแคว้นก็เป็นได้” น้ำเสียงของฮ่องเต้ฉีจริงจัง “ข้าไม่ได้อยากก่อสงคราม ไม่อยากทำให้แผ่นดินร้อนระอุ หาใช่ข้าหวั่นเกรงไม่”

ฮ่องเต้น้อยทอดพระเนตรกู้หวนจิ่น ต่างสบสายตากันราวกับหยั่งเชิงประลองกำลัง ผ่านไปสักครู่ฮ่องเต้ฉีจึงพูดขึ้นอีกครั้ง

“กองทัพฉีและกองทัพฉู่ในยามนี้ได้รวมตัวกันแล้ว พวกเขาพร้อมจะโจมตีต้าโจวทันทีที่ได้รับคำสั่ง ราชทูตกู้ เวลาของท่านใกล้จะหมดลงแล้ว หากตัดสินใจอย่างไรจงรีบบอกข้าเถอะ”

แม้ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉีจะทรงพระชันษาไม่มากนัก แต่ก็ดำรงตำแหน่งผู้นำของแคว้น คำพูดเชิงข่มขู่เช่นนี้หากไม่ใช่คนที่จิตใจแข็งแกร่งมั่นคง อาจจะต้องยอมจำนนต่อพระองค์ไปแล้ว อย่างไรก็ตามหากทั้งสองแคว้นรวมตัวเป็นพันธมิตรกันได้ ต้าโจวย่อมบาดเจ็บหนัก แม้ว่าการยกเมืองทั้งสองให้เป็นเมืองขึ้นจะเป็นการกระทำที่เสียเกียรติ ทว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้

จิตใจของกู้หวนจิ่นปั่นป่วน แต่เขายังคงไม่ยอมรามือโดยง่าย กู้หวนจิ่นทูลตอบด้วยรอยยิ้ม

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากกระหม่อมจะทูลขอเวลาหารือสักครึ่งชั่วยามจะได้หรือไม่พะย่ะค่ะ?”

ครึ่งชั่วยาม? แน่นอนว่าเขาสามารถรอได้ ฮ่องเต้น้อยผงกพระเศียร

“ตกลง”

ฮ่องเต้น้อยพาองค์หญิงอันหยางออกไป ตอนนี้จึงเหลือเพียง กู้หวนจิ่นและเว่ยฉิงในห้องเท่านั้น คุณชายสามตระกูลกู้กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บปวด

เจ็บสุดๆ

ในตอนที่เขาต้องเจรจาจึงได้แต่กลั้นความเจ็บปวดเอาไว้เท่านั้น เมื่อทุกอย่างจบลงความเจ็บปวดทั้งหมดได้ถาโถมเข้ามาใส่เขาทันที เว่ยฉิงเห็นแบบนั้นจึงได้รีบหยิบหมอนไปหนุนหลังให้พี่เขย

“น้องเขย เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องฮ่องเต้น้อยรับสั่ง?” กู้หวนจิ่นถาม

“ก่อนที่จะมีการส่งทูตมาต้าฉี ฝ่าบาทตรัสกับข้าว่าหากจะต้องเสียเมือง ฝ่าบาททรงยินดีแลกเปลี่ยนเพียงแค่เมืองเดียวเท่านั้น”

“พระองค์ยื่นข้อเสนอมาถึงสองเมือง หากข้าเจรจาอีกหน่อยย่อมทำให้เหลือเพียงเมืองเดียวได้ แต่คำถามคือ…ข้าควรยอมยกเมืองให้แก่ต้าฉีหรือไม่?”

หากการแลกเปลี่ยนนี้สำเร็จลงย่อมหมายถึงสันติภาพของสองแคว้น อีกทั้งเขายังทำภารกิจของฮ่องเต้โจวสำเร็จลุล่วงอีกด้วย

“แต่น่าแปลก..” เว่ยฉิงพูดนิ่งๆ คิ้วของเขาขมวดเป็นปม

“มีอะไรแปลกไปหรือ?” กู้หวนจิ่นถาม

“ก่อนหน้านี้พระองค์หลีกเลี่ยงในการให้พวกเราเข้าพบ แต่ตอนนี้กลับเข้าหาฝ่ายเราก่อน ซ้ำยื่นคำขาดให้พวกเรารีบตัดสินใจ ทำให้ข้ารู้สึกว่าเขาร้อนรนจนผิดวิสัย” เว่ยฉิงไม่ใช่คนคิดมาก เขาไม่ใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยม เมื่อรู้สึกอย่างไรจึงพูดออกไปตามนั้น

กู้หวนจิ่นได้ฟังก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติอยู่เช่นกัน เขาลังเลที่จะมอบเมืองในแคว้นต้าโจวให้กับต้าฉีอยู่แล้ว หลังจากที่น้องเขยของเขาพูดย้ำก็ยิ่งทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาทันที จะกล่าวว่าเพราะความคิดของฝ่าบาทเปลี่ยนไปเนื่องจากพวกเขาถูกลอบสังหารหรือ? ถ้าหากเกิดสงครามขึ้นจริง ชีวิตของพวกเขาก็ไม่ได้มีความสำคัญมากเท่าไหร่นัก เช่นนั้นแล้ว..เหตุการณ์ในครั้งนี้ย่อมไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัย

“ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือท่าทีที่เปลี่ยนไปของฝ่าบาทย่อมมาจากสถานการณ์ในตอนนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น” กู้หวนจิ่นพูด

ต้าฉีและต้าฉู่จับมือกันเพื่อโจมตีต้าโจว มองอย่างไรต้าโจวก็เสียเปรียบ แต่ท่าทีที่เปลี่ยนไปของฮ่องเต้น้อย ย่อมอาจจะเป็นเพราะพระองค์ได้ข่าวบางอย่างที่พวกเขาไม่รู้มาก็เป็นได้

“เป็นจิ้งจอกน้อยจริงๆ ข้าเกือบโดนหลอกเข้าแล้ว”

ครึ่งชั่วยามต่อมา ฮ่องเต้น้อยเสด็จเข้ามาพร้อมรอยแย้มสรวลบนพระพักตร์ เขาแน่ใจว่ากู้หวนจิ่นจะต้องยอมรับในข้อเสนอของเขาอย่างแน่นอน เพราะหากไม่ยอมเสียสองเมือง อย่างไรก็ยังได้หนึ่งเมืองพร้อมเครื่องราชบรรณาการเป็นแน่

“ฝ่าบาท เมืองทั้งสองเป็นของราชวงศ์ต้าโจว หากทางเราต้องการจะยกดินแดนให้ฝ่าบาท เราจะต้องได้รับความยินยอมจากฮ่องเต้โจวเสียก่อน กระหม่อมจึงอยากเขียนจดหมายเพื่อกราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้” กู้หวนจิ่นกล่าวทูล

รอยแย้มของฮ่องเต้ฉีหายไป เขาตรัสออกมาด้วยพระสุรเสียงที่เย็นชา

“ราชทูตกู้ ท่านไม่เข้าใจหรือว่าข้าหมายถึงอะไร ข้าให้เวลาท่านครึ่งชั่วยามเท่านั้น และนี่ก็ครบเวลาครึ่งชั่วยามแล้ว”

“กระหม่อมไม่ได้มีอำนาจพอที่จะตัดสินใจมอบเมืองทั้งสองให้แก่ต้าฉีได้” กู้หวนจิ่นกล่าว

“เจ้าเป็นราชทูต เหตุใดจึงไม่มีอำนาจนี้”

“ในยามที่กระหม่อมออกเดินทางมา ฝ่าบาทได้ตรัสว่าพระองค์จะไม่ยอมเสียเมืองเพราะจะเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของต้าโจว กระหม่อมจึงตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตนเองไม่ได้ กระหม่อมจึงต้องเขียนจดหมายส่งไปกราบทูล ไม่เช่นนั้นแล้วจะถือได้ว่ากระหม่อมขัดขืนพระบรมราชโองการของฮ่องเต้ของกระหม่อมพะย่ะค่ะ”

“เจ้า!!” สีพระพักตร์ของฮ่องเต้น้อยเปลี่ยนไปทันที

กู้หวนจิ่น บังอาจปฏิเสธที่จะมอบเมืองให้แก่ต้าฉี!

ฮ่องเต้น้อยทอดพระเนตรไปยังกู้หวนจิ่นอย่างไม่พอพระทัย บรรยากาศในห้องตึงเครียดมากขึ้น ในตอนนั้นเององค์หญิงอันหยางจึงตรัสขึ้นว่า

“ฝ่าบาท หม่อมฉันชื่นชมในความตรงไปตรงมาของราชทูตกู้มาก ตอนนี้เราอย่าเพิ่งรบกวนเขาเลยดีกว่าเพคะ?” องค์หญิงอันหยางกล่าวแทนกู้หวนจิ่น แท้จริงแล้ว นางต้องการให้ฮ่องเต้ฉีถอยให้พวกเขาหนึ่งก้าว

“ข้าก็ลืมไป ราชทูตกู้ได้รับบาดเจ็บ ข้าไม่ควรโต้เถียงกับท่านเช่นนี้ พักผ่อนก่อนเถอะ”

ฮ่องเต้ฉีหันหลังจากไปโดยมีองค์หญิงเสด็จตาม เมื่อทั้งสองเข้าไปในตำหนักขององค์หญิง พระพักตร์ของฮ่องเต้ก็เต็มไปด้วยโทสะ

“ข้าโมโหแทบตาย!” ฮ่องเต้น้อยตรัสอย่างไม่พอพระทัย กริ้วมากจนถึงกัยพระดำเนินวนไปรอบห้องไม่หยุด จากนั้นจึงรับถ้วยชาที่ยื่นส่งมาถวาย ฮ่องเต้น้อยเงยพระพักตร์ขึ้นเห็นสายพระเนตรที่ปลอบประโลมขององค์หญิงอันหยาง เมื่อได้เสวยพระสุธารสชา โทสะของพระองค์จึงได้ทุเลาลง

“ท่านพี่ กู้หวนจิ่นช่างร้ายนัก”

องค์หญิงอันหยางทราบดีว่ายามฮ่องเต้น้อยเกิดโทสะพระขนงของเขาจะขมวดยุ่งเหยิง นางยื่นมือไปคลึงให้คลายออกจากกัน

“ใช่แล้ว หม่อมฉันเกรงว่าพวกเขาคงจะรู้ตัวแล้ว” องค์หญิงอันหยางกล่าว ฮ่องเต้น้อยกริ้วมากที่แผนการทุกอย่างล่มไม่เป็นท่า

“ฝ่าบาท ลืมไปเสียเถิด แคว้นต้าฉีของเราไม่ได้ขาดสองเมืองที่ว่านั่น ต่อไปภายหน้าหากฝ่าบาททรงงานให้หนักมากยิ่งขึ้น แคว้นต้าฉีของเราจะเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งกว่านี้เป็นแน่ ถึงตอนนั้นแล้วใต้หล้าจะเป็นของต้าฉีทั้งหมด!”

“เสด็จพี่ทรงคิดเหมือนท่านอัครเสนาบดีที่ว่าต้าฉีจะรวมแผ่นดินทั้งหมดกลับมาได้อีกครั้งหรือไม่?”

“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่คิดว่ายามนี้จะเป็นเวลาอันควรที่จะรวบรวมแคว้นทั้งหลายเข้าไว้ด้วยกัน ในวันที่ต้าฉีแข็งแกร่งขึ้น คนที่รวมแผ่นดินของเราให้กลับคืนมาอาจจะเป็นพระโอรสหรือพระนัดดาของพระองค์ก็เป็นได้เพคะ” องค์หญิงอันหยางกล่าว

ฮ่องเต้น้อยผงกพระเศียร เขามีความคิดเช่นเดียวกัน ตั้งแต่โบราณกาลนานมา ฮ่องเต้ที่ต้องการรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวย่อมอยากที่จะจารึกชื่อของตนเอาไว้ในหน้าประวัติศาตร์ด้วยกันทั้งนั้น

แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะนำแคว้นเข้าสู่สงครามแต่อย่างใด หากทำไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าแล้ว การเกณฑ์ทหารจะทำให้ครอบครัวของราษฎรเดือดร้อน เกิดการพลัดพรากจากกัน ราษฎรต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากลำเค็ญ เขาควรทำงานให้หนักเพื่อให้ต้าฉีแข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อรอวันเวลาที่จะมาถึงในภายหน้า

คำกล่าวขององค์หญิงอันหยางทำให้ฮ่องเต้น้อยสงบพระทัยลงได้

“ฝ่าบาทควรส่งพวกเขากลับไปต้าโจวเพคะ”

เมื่อองค์หญิงอันหยางได้พิจารณาถึงเหตุผลต่างๆ ทั้งข้อดีข้อเสีย รวมถึงที่ความรู้สึกประทับใจในความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของพวกเขา นางได้รับรายงานว่าในคืนนั้นมือสังหารตั้งใจจะฟันเว่ยฉิง แต่ทว่ากู้หวนจิ่นกลับเข้ามาขวางและปกป้องคนรักของตนไว้

ความรักของพวกเขาที่มีต่อกันช่างลึกล้ำราวกับห้วงมหาสมุทร พวกเขาสามารถตายแทนกันและกันได้โดยปราศจากความลังเล ความรักของพวกเขาช่างล้ำค่ายิ่ง นางมีความปรารถนาให้ทั้งสองคนปลอดภัย

ฮ่องเต้น้อยทรงเห็นด้วย