ตอนที่ 614 แน่นอนว่าแกล้งป่วย

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 614 แน่นอนว่าแกล้งป่วย

เมื่อเห็นความทุกข์ใจของไป๋ซวง ทุกคนก็ประหม่า แม้แต่ดวงตาของโต้วโต้วก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ

คุณย่าฟางถามต่อ “เด็กคนนี้เป็นอะไร ทำไมจู่ ๆ ถึงดูเหมือนไม่ค่อยสบาย?”

แม่ไป๋อธิบาย “เด็กคนนี้มีสุขภาพไม่ดีตั้งแต่ยังเด็กค่ะ ขอตัวพาหล่อนไปโรงพยาบาลก่อนนะคะ”

จากประสบการณ์ชีวิตของเธอ หลินม่ายรู้สึกว่าไป๋ซวงกำลังแสร้งทำ

แต่เธอไม่มีหลักฐานพอที่จะเปิดเผยหล่อน

ดังนั้นเธอจึงวางชามและตะเกียบลงและพูดกับแม่ไป๋ “เดี๋ยวฉันนำทางไปยังโรงพยาบาลผู่จี้เองค่ะ”

โรงพยาบาลผู่จี้อยู่ใกล้กับวิลล่ามาก ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์เพียงห้านาที

เมื่อเห็นว่าไป๋ซวงแสร้งทำ หลินม่ายจึงคิดจะกลั่นแกล้งและเปิดโปงหล่อน แม้เธอจะแสร้งทำเป็นกระตือรือร้น แต่ในใจนึกดูถูกอีกฝ่ายอย่างมาก

เมื่อพวกเขามาถึงโรงพยาบาล หลินม่ายก็พาไป๋ซวงไปยังแผนกฉุกเฉินทันที

แพทย์ตรวจสอบอย่างระมัดระวัง แม่ไป๋และคนอื่น ๆ ต่างฟังคำบอกเล่าของคุณหมอ “ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดี ไม่มีอะไรผิดปกติครับ”

เมื่อเห็นว่าไป๋เซี่ยและหลินม่ายต่างก็มองตนอย่างสงสัย ไป๋ซวงจึงจัดระเบียบร่างกายของหล่อนอย่างไม่เร่งรีบ “ก่อนหน้านี้ฉันมีอาการแน่นหน้าอกอย่างรุนแรง แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ตรวจไม่พบปัญหาก็ได้ค่ะ”

อาการเจ็บแน่นหน้าอกกลับมาเป็นปกติชั่วขณะ และอาการนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก

ทั้งหมอ พ่อและแม่ไป๋ไม่ได้สงสัยว่าไป๋ซวงกำลังโกหก

มีเพียงหลินม่ายและไป๋เซี่ยเท่านั้นที่ไม่เชื่อคำพูดของหล่อนแม้แต่คำเดียว

อย่างไรก็ตาม หลินม่ายไม่ได้เปิดเผยอะไร เธอแสร้งเอ่ยถามแม่ไป๋ด้วยความเป็นห่วง “ไป๋ซวงมักมีอาการแน่นหน้าอกบ่อย ๆ เหรอคะ?”

“ไม่บ่อยนัก แค่ปีละสองถึงสามครั้ง”

หลินม่ายถามอีกครั้ง “หล่อนจะมีอาการแน่นหน้าอกตอนไหนบ้างคะ?”

ไป๋ซวงไม่ต้องการให้หลินม่ายถามต่อ เพราะกลัวว่าความจริงอาจถูกเปิดเผย

หล่อนโบกมือพร้อมแสร้งกล่าวด้วยความรู้สึกผิด “ทั้งหมดเป็นเพราะฉันอ่อนแอมาก และมันก็ทำให้พ่อแม่ต้องเป็นกังวลเสมอเลยค่ะ”

หล่อนเปลี่ยนหัวข้ออย่างใจเย็น

แม่ไป๋โอบกอดเธอทันทีและปลอบโยน “หนูเลือกไม่ได้ว่าจะเกิดมาแข็งแรงหรืออ่อนแอหรอก ดังนั้นไม่ต้องโทษตัวเองนะจ๊ะ”

หลินม่ายไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนเรื่อง เธอพูดกับแม่ไป๋ทันที “ฉันคิดว่าอาการที่ไป๋ซวงเป็นอยู่มันค่อนข้างทรมาน ลองให้สามีของฉันช่วยดูอาการดีไหมคะ? อาจมีทางช่วยรักษาได้ โต้วโต้วมีอาการหัวใจวายขั้นรุนแรง ซึ่งสามีของฉันรักษาให้หายได้ตราบใดที่ไม่ออกกำลังกายหนักก็เหมือนคนปกติทั่วไป คุณน้าไป๋ไม่ลองให้ไป๋ซวงตรวจดูอย่างละเอียดหน่อยเหรอคะ?”

เมื่อไป๋ซวงได้ยินดังนั้น หล่อนก็กังวลและปฏิเสธที่จะไปพบแพทย์

เหตุผลก็คือหล่อนไม่ต้องการรบกวนสามีของหลินม่าย

แต่นั่นก็เป็นข้อแก้ตัวที่แย่ยิ่งนัก

หลินม่ายซ่อนดาบไว้ในรอยยิ้มขณะกล่าว “สามีของฉันทำงานในโรงพยาบาล ถ้าคุณรู้สึกไม่ค่อยสบาย การขอการรักษาจากเขาเป็นเรื่องปกติ จะต้องเกรงใจอะไรอีกคะ? ไม่เห็นต้องเกรงใจเลยค่ะ หากมีความหวังในการรักษา ใครจะไม่อยากให้โรคหลอดเลือดหัวใจตีบของคุณไป๋ซวงหาย!”

คุณพ่อไป๋ คุณแม่ไป๋ และไป๋ลู่พยายามเกลี้ยกล่อมไป๋ซวงเพื่อยินยอมให้ฟางจั๋วหรานรักษาหล่อนให้หายขาดได้ ในเมื่อมีความหวัง คนเราก็ไม่ควรปฏิเสธความหวังนั้น แม้จะริบหรี่ก็ตาม

ในท้ายที่สุด ไป๋ซวงก็ถูกพ่อและแม่ไป๋ขอให้เข้ารับการรักษากับฟางจั๋วหราน

เมื่อเห็นฟางจั๋วหรานเป็นครั้งแรก ไป๋ซวงก็เกือบจะเสียอาการ

แม้ในใจจะคาดเดาอยู่แล้วว่าฟางจั๋วหรานคงเป็นคนหล่อเหลา แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะหล่อเหลาดุจเทพเจ้าเช่นนี้

โชคดีที่มารยาทที่หล่อนได้รับการสอนในตระกูลไป๋ทำให้หล่อนสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว

ฟางจั๋วหรานตรวจร่างกายไป๋ซวงอย่างรอบคอบและเอ่ยถาม

อาทิเช่น ถามหล่อนว่าเริ่มรู้สึกเจ็บหน้าอกเมื่อใด รวมถึงอาการและคำถามทั่วไปอื่น ๆ

หลินม่ายเอ่ยถามคำถามแรกกับหล่อน ระหว่างนั้นเธอก็เงี่ยหูฟังคำตอบของไป๋ซวง

แต่ไป๋ซวงยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบกลับ

ไป๋ลู่เห็นว่าหล่อนไม่พูดจึงตอบแทนน้องสาว

ไป๋ซวงไม่เคยต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบจนกระทั่งเข้าโรงเรียนประถม

ในช่วงวันหยุดฤดูร้อนหลังจบชั้นประถม ไป๋ซวงเคยทะเลาะกับไป๋เซี่ยและมีอาการแน่นหน้าอก

ตั้งแต่นั้นมา เมื่ออารมณ์ของหล่อนแปรปรวนกะทันหัน หล่อนก็จะมีอาการแน่นหน้าอก และมันก็รุนแรงมากทุกครั้ง

หลังจากได้ยินเรื่องนี้ หลินม่ายยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีกว่าไป๋ซวงแสร้งป่วยมานานขนาดนั้นได้อย่างไร

ฟางจั๋วหรานตรวจสอบร่างกายเบื้องต้นให้ไป๋ซวงเสร็จสิ้น และคิ้วของเขาก็ค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน

เมื่อแม่ไป๋เห็นฟางจั๋วหรานเป็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกและถามอย่างกระวนกระวาย “อาการของซวงเอ๋อร์ของเราร้ายแรงมากไหมคะ?”

ฟางจั๋วหรานจ้องไปยังไป๋ซวงและกล่าว “จากการตรวจสอบเบื้องต้น ผมไม่พบความผิดปกติใดในร่างกายของหล่อน ถ้างั้นลองเข้ารับการตรวจเฉพาะทางดูนะครับเผื่อจะพบอาการผิดปกติ”

ดังนั้นเขาจึงเขียนผลการวินิจฉัยมากมายและขอให้ไป๋ซวงทำการเข้าตรวจ

แม่ไป๋ดูรายการที่ไป๋ซวงต้องทำการตรวจสอบ และได้เห็นว่าหล่อนต้องเข้ารับการการทดสอบอื่น อย่างเช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและรังสีวินิจฉัย ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ไขมันในเลือด โปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ เอนไซม์ ไมโยโกลบินและการทดสอบอื่น ๆ

หล่อนเงยหน้าขึ้นและกล่าว “ศาสตราจารย์ฟาง คุณช่วยตรวจหากรุ๊ปเลือดให้ม่ายจื่อได้ไหมคะ?”

หลินม่ายรู้ว่ากรุ๊ปเลือดของเธอคือโอ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตรวจหากรุ๊ปเลือด

แต่เธอกลัวว่าแม่ไป๋และคนอื่น ๆ จะไม่เชื่อเธอหากเธอพูดออกไป เธอจึงปิดปากเงียบและปล่อยให้แม่ไป๋จัดการ

ฟางจั๋วหรานไม่รู้ที่มาของแม่ไป๋และคนอื่น ๆ แต่มองว่าพวกเขาเป็นผู้ป่วยและครอบครัวของพวกเขาที่หลินม่ายเลี้ยงดูมา

หลินม่ายบริหารบริษัทขนาดใหญ่ และเธอมีเครือข่ายส่วนตัว

เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่งที่ใครบางคนจะขอให้เธอเข้ารับการรักษาจากเขา แม้ว่าหลินม่ายจะไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อนก็ตาม

แต่หลังจากได้ยินคำขอของแม่ไป๋ ฟางจั๋วหรานก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติ

คนเหล่านี้จะมาหาหมอก็เป็นเรื่องของพวกเขา แต่ภรรยาของฉันเกี่ยวอะไรด้วย?

”เขาถามอย่างแผ่วเบา “ทำไมคุณถึงต้องการทดสอบกรุ๊ปเลือดของม่ายจื่อล่ะครับ?”

แม่ไป๋เล่าเหตุผลและเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง

เมื่อฟางจั๋วหรานได้ยินเรื่องราวนั้นก็รับรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นแม่ยายของเขา เขาจึงกระตือรือร้นต่อเธอมากขึ้น

เขากล่าวขณะออกใบตรวจห้องปฏิบัติการให้หลินม่าย “รู้ใช่ไหมครับว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทราบความสัมพันธ์ทางสายเลือดตามกรุ๊ปเลือด หากอยากระบุว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือไม่ ต้องทำการตรวจพิสูจน์ด้วยดีเอ็นเอ”

แม่ไป๋ผายมือ “เราไม่สามารถตรวจดีเอ็นเอในประเทศจีนได้”

ฟางจั๋วหรานกล่าว “แผนกห้องปฏิบัติการในโรงพยาบาลของเราสามารถตรวจดีเอ็นเอได้ตั้งแต่ปีที่แล้วครับ เพียงแต่ยังอยู่ในขั้นตอนทดลองจึงไม่มีการนำไปใช้งานภายนอก อันที่จริงตอนนี้เทคโนโลยีได้พัฒนาเต็มที่แล้ว”

ไป๋ซวงแทรกขึ้น “ในเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาเต็มที่แล้ว ทำไมถึงไม่นำไปใช้ล่ะ?”

ฟางจั๋วหรานมองไปยังใบหน้าที่ค่อนข้างคล้ายกับหลินเพ่ยและรู้สึกขยะแขยง แต่ก็พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อยับยั้งตัวเอง

เขาอธิบายอย่างอดทน “แม้ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาเต็มที่แล้ว แต่การทดลองทางคลินิกยังคงต้องทำซ้ำ เราจะสามารถนำมาใช้ภายนอกได้หลังจากผ่านขั้นตอนทั้งหมดแล้วเท่านั้น เพราะต้องรับผิดชอบต่อผู้ป่วยและชีวิต แต่ถ้าคุณต้องการทำ ผมจะให้พวกคุณแอบเข้าประตูหลังไปเพื่อใช้มัน”

แม่ไป๋ขอบคุณและขอให้ฟางจั๋วหรานช่วยทำการตรวจดีเอ็นเอทันที

ฟางจั๋วหรานกล่าว “อย่างเร็วที่สุดผมคงช่วยคุณจัดการในวันพรุ่งนี้”

แผนกห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ก็ยุ่งมากเช่นกัน

แม้ฟางจั๋วหรานจะขอให้เพื่อนร่วมงานจากแผนกห้องปฏิบัติการช่วย แต่เขาก็ยังต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเพื่อให้พวกเขาสามารถจัดการงานได้

แม่ไป๋ดูผิดหวัง ในใจจดจ่ออยู่กับการพิสูจน์โดยเร็วที่สุดว่าหลินม่ายเป็นลูกสาวของพวกเขาหรือไม่

ไป๋ซวงลอบกลอกตาและปลอบโยนหล่อนอย่างเข้าใจ “เนื่องจากการตรวจดีเอ็นเอสามารถทำได้อย่างเร็วที่สุดคือวันพรุ่งนี้ ตอนนี้ไปตรวจเลือดของหลินม่ายกันก่อนดีกว่าค่ะ ต่อให้มันจะไร้ประโยชน์ แต่ถ้ากรุ๊ปเลือดเหมือนกันก็อาจจะยังพอใจชื้นขึ้นบ้างนะคะ”

แม่ไป๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย

เมื่อออกมาจากห้องทำงานของฟางจั๋วหราน แม่ไป๋ต้องการทำการตรวจกรุ๊ปเลือดสำหรับหลินม่ายก่อน

แต่ไป๋ซวงบอกว่าหล่อนเหนื่อยมากและต้องการให้ตรวจสอบให้เสร็จก่อนเวลาและกลับไปที่เกสต์เฮาส์เพื่อพักผ่อน

หลินม่ายกล่าว “งั้นให้ซวงเอ๋อร์ตรวจร่างกายก่อนดีกว่าค่ะ”

ไป๋ซวงลอบมีความสุข

หล่อนต้องการทำการตรวจร่างกายก่อนเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง

เมื่อพยาบาลเอาตัวอย่างเลือดไปตรวจ หล่อนก็แอบเอาหลอดตัวอย่างเลือดของตัวเองไปแลกกับตัวอย่างเลือดของหลินม่าย

ด้วยวิธีนี้ กรุ๊ปเลือดของหลินม่ายก็จะไม่ใช่กรุ๊ปโอ และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพ่อไป๋และแม่ไป๋

หลังจากนั้นก็ไม่จำเป็นต้องตรวจดีเอ็นเอ หลินม่ายจะไม่มีวันได้เป็นลูกสาวของตระกูลไป๋ และไป๋ซวงก็จะเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อและแม่ไป๋ตลอดไป

ทุกคนไม่รู้แผนของไป๋ซวง ดังนั้นพวกเขาจึงไปตรวจร่างกายกับหล่อน

เมื่อถึงตอนเจาะเลือด ไป๋ซวงก็ใช้ประโยชน์จากช่วงชุลมุน ขโมยหลอดทดลองเปล่าไป…

เวลาประมาณบ่ายสี่โมง ทุกคนก็พาหลินม่ายไปตรวจหากรุ๊ปเลือด

ก่อนไปตรวจหากรุ๊ปเลือดกับหลินม่าย ไป๋ซวงก็แวะเข้าห้องน้ำ…

ในยุคนี้ เทคโนโลยีทางการแพทย์ของจีนยังค่อนข้างล้าหลัง ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามชั่วโมงในการรับผลการตรวจกรุ๊ปเลือด

เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก่อนเลิกงาน ดังนั้นผลจะยังไม่ออกมาอย่างแน่นอน พวกเขาทำได้เพียงรอคอยพรุ่งนี้เช้า

หลังจากที่หลินม่ายเจาะเลือดแล้ว เธอก็พาแม่ไป๋และคนอื่น ๆ กลับไปที่บ้านพัก

คุณย่าฟางมีความคิดว่าจะเชิญครอบครัวไป๋มาพักในวิลล่า เพราะถึงอย่างไรก็มีห้องเหลืออยู่มาก ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้รบกวนครอบครัวของนางเลย

ทว่าพ่อไป๋ แม่ไป๋ และคนอื่น ๆ กลับยืนกรานที่จะกลับไปยังเกสต์เฮาส์หลังมื้ออาหารเย็น คุณปู่ฟางและคุณย่าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยพวกเขาไป

หลังจากส่งพ่อไป๋และคนอื่น ๆ ออกไปแล้ว หลินม่ายก็ถามฟางจั๋วหรานเป็นการส่วนตัวว่าทำไมเขาถึงบอกว่าไม่พบความผิดปกติใดๆ จากการตรวจร่างกายเบื้องต้นของไป๋ซวงในตอนบ่าย?

สถานการณ์แบบนี้อาจเกิดขึ้นกับแพทย์มือใหม่คนอื่น ๆ แต่จะไม่เกิดขึ้นกับฟางจั๋วหรานแน่นอน

ทักษะทางการแพทย์ของเขาเป็นเลิศ แต่กลับไม่สามารถหาสาเหตุของโรคได้

ฟางจั๋วหรานเกาศีรษะ “ที่การตรวจเบื้องต้นไม่พบสาเหตุของโรคก็เพราะหล่อนไม่ได้ป่วยยังไงล่ะ ผมไม่เข้าใจเลย นี่คุณไม่รู้จริง ๆ เหรอ?”

“ใช่ ฉันเองก็ไม่เข้าใจ ว่าแต่คุณไม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหรอ? อยากกลับไปแก้ไขอะไรไหมคะ?” หลินม่ายกล่าวเชิงหยอกล้อ

ปรากฎว่าเป็นอย่างที่เธอคิด ไป๋ซวงแสร้งป่วยจริง ๆ

ฟางจั๋วหรานกอดเธอไว้ในอ้อมแขนและลูบผมของเธอ “เสียใจ? ผมไม่เคยรู้สึกเสียใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตนี้! ผมอยากให้เราผูกพันกันตลอดไป!”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แผนสูงนะยัยไป๋ซวง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนแผนสูงกว่าเธอนะ

ไหหม่า(海馬)