ความเคลื่อนไหวของจิ่งหมิงฮ่องเต้ทำให้ดวงตาของไท่จื่อหรี่ลงพร้อมกับยกสองมือขึ้นป้องศีรษะ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เพียงแต่ลูบที่ทับกระดาษหยกขาวเย็นเฉียบ แต่ทว่าหัวใจของเขาเย็นเยือกยิ่งกว่า
ไอ้สันขวานนี่มันแกล้งจริงด้วย!
ที่ตั้งใจว่าจะสั่งสอนให้เป็นคนใหม่ ให้เป็นคนสุขุมมั่นคง ทั้งหมดแล้วเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงที่ไอ้ลูกตัวดีเล่นละครตบตาเพื่อให้ตัวเองพ้นโทษ
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องมองด้วยสายตาเย็นชา ความโกรธปะทุหนักเข้าขั้น ที่ทับกระดาษหยกขาวใหม่เอี่ยมอ่องเตรียมพุ่งทะยานออกจากฝ่ามือ
แม้ไท่จื่อจะคิดวิธีเอาตัวรอดโดยแกล้งความจำเสื่อม และแสดงได้สมบทบาทมาหลายวัน แต่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองโดยสัญชาตญาณก็จะถูกเผยออกมาทันที
ไท่จื่อขาอ่อนทรุดเข่าลงแทบพื้น ปากพร่ำร้องอย่างคนเสียสติ “เสด็จพ่อ ลูกผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
ที่ทับกระดาษหยกขาวลอยฉิวไปไกลจากร่างของไท่จื่อ และกระแทกเข้ากับฝาผนังข้างประตูก่อนจะกระเด็นลงพื้น เสียงวัตถุกระทบกันดังลั่น ทำเอาหลู่อ๋องที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูพลอยขวัญเสียไปด้วย
คราวนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้เอาที่ทับกระดาษฟาดไท่จื่ออีกแล้ว ความผิดหวังพองฟูเต็มอก ครั้นจะให้ลงโทษยังไร้เรี่ยวแรง
ไท่จื่อสารภาพผิดออกมาเอง แต่จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับรู้สึกคับแน่นอยู่ข้างใน
ถ้าเช่นนั้นอย่าได้เสแสร้งแสดงละครอีกเลย แสร้งทำเป็นความจำเสื่อม แต่กลับไม่สามารถยืนหยัดได้ถึงที่สุด มีเรื่องเขย่าขวัญเพียงครั้งเดียวก็เผยไต๋ออกมาจนหมดสิ้น หากยกแผ่นดินต้าโจวให้ลูกตัวดี แผ่นดินผืนนี้จะไม่ถึงคราวอวสานหรือ
แลดูเหมือนว่าการเป็นประมุขอย่างสุขสงบจะเป็นความฝันล้มๆ แล้งๆ ของเขาเพียงคนเดียว
ไท่จื่อรู้สึกว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งเงียบไม่ตอบสนองจึงอดช้อนตาขึ้นมอง
ดวงตาคู่นั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนร่างของตัวเองถูกโยนลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
แววตาของเสด็จพ่อหมายความว่าอย่างไร
หากเทียบกับความโมโหเดือดดาล แววตาเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นยิ่งกว่า…
จิ่งหมิงฮ่องเต้ปราดตามองอวี้จิ่นและหลู่อ๋องที่ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ออกปากเรียกพวกเขาเข้ามา สายตายังคงจ้องเขม็งไปที่ไท่จื่อ “เจ้าคิดอะไรถึงได้แกล้งความจำเสื่อม”
ไท่จื่อรู้ดีว่าไม่อาจปิดบังได้แล้ว จึงกลั้นใจตอบ “ลูกบังเอิญ…มีความคิดแวบเข้ามาในหัวพ่ะย่ะค่ะ…”
หลู่อ๋องดึงมุมปากโดยไม่รู้ตัว
บอกว่ามีความคิดแวบเข้ามาให้หัวก็ได้ด้วยหรือ ต้องจำไปใช้บ้างแล้วล่ะ
จิ่งหมิงฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าปอดพลางชี้นิ้วไปที่ประตู “ออกไป”
“เสด็จพ่อ…”
“ข้าบอกให้เจ้าออกไป!”
ไท่จื่อได้ยินก็กลัวหัวหด กระวีกระวาดลุกออกไปโดยไม่ส่งเสียงใด
ที่บริเวณบันไดหินหน้าห้องทรงพระอักษรมีสุนัขตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ มันชำเลืองมองไท่จื่อที่วิ่งพรวดออกมาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
ทันทีที่เห็นเอ้อร์หนิว สีหน้าของไท่จื่อก็เปลี่ยนไป ความคิดที่เคยเห็นมันเป็นสุนัขเทพแสนรู้ แปรเปลี่ยนเป็นความแค้นอาฆาต
ต้องโทษไอ้สัตว์หน้าขนตัวนี้ หากไม่ใช่เพราะมัน เขาคงแกล้งความจำเสื่อมต่อไปโดยไม่มีใครจับได้
แม้เอ้อร์หนิวจะเห็นว่าสีหน้าของไท่จื่อเปลี่ยนไป แต่เจ้าสุนัขตัวใหญ่ยังคงทำตัวเชื่องน่าเอ็นดูดังเดิม มันส่ายหางไปมาอย่างเกียจคร้าน
คนประเภทนี้ มันกัดทีเดียวก็ตายแล้ว หึ!
ไท่จื่อไม่กล้าหยุดยืนตรงนั้นนานๆ เขารีบเดินออกจากตำหนัก
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่อวี้จิ่นและหลู่อ๋องด้วยใบหน้าไร้อารมณ์พลางเอ่ย “เข้ามา”
ทั้งสองเดินเข้ามา
บรรยากาศภายในห้องอึดอัดจนทำให้การหายใจแต่ละครั้งติดขัดขึ้นเรื่อยๆ
“เสด็จพ่อ พวกลูก…” หลู่อ๋องกล่าวเสียงแหบแห้ง
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตาไปทางเขาพลางถามเย็นเยียบ “ใครใช้ให้พวกเจ้าตามมา”
หลู่อ๋อง “???”
เขาหันไปมองอวี้จิ่นโดยพลันพร้อมความคิดในหัว ก็โดนเจ้าเจ็ดหลอกให้มาหน่ะซิ!
อวี้จิ่นกล่าวกลบเกลื่อน “ลูกเกรงว่าพระองค์จะทรงกริ้ว ถึงได้ตามมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลู่อ๋อง “???”
ไหนบอกว่าเพราะเสด็จพ่อไม่ได้เอ่ยชื่อ ก็เลยต้องตามมาไง?
ในวินาทีนั้น หลู่อ๋องอยากจะควักมีดออกมาจ้วงอวี้จิ่นให้ตายไปเดี๋ยวนั้น
นัยน์ตาลุ่มลึกของจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ละไปจากอวี้จิ่น ผ่านไปหลายชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ยถาม “ที่เจ้าว่ามาก็หมายความว่าเจ้ารู้ตั้งนานแล้วว่าไท่จื่อแกล้งความจำเสื่อม?”
คำถามนี้ฟังดูคลุมเครือไปเสียหน่อย ฉะนั้นอวี้จิ่นจึงพยายามไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง ชายหนุ่มตอบเคร่งขรึม “ตอนที่เห็นปฏิกิริยาของพี่รองตอนที่เอ้อร์หนิวเข้าไปทักทาย ลูกก็พอจะเดาได้พ่ะย่ะค่ะ…”
“แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ”
“ก่อนหน้านั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” อวี้จิ่นปั้นหน้าใสซื่อ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วพลางบอก “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงพาเอ้อร์หนิวมาเยี่ยมไท่จื่อ”
ตามปกติแล้ว เขาจะไม่ถามในสิ่งที่สงสัยตรงๆ โดยเฉพาะการถามบุตรชายต่อหน้าบุตรชายอีกคน
แต่เพราะอารมณ์ในตอนนี้ปะทุจนถึงขีดสุด ฮ่องเต้จึงไม่สนใจเรื่องใดอีกแล้ว
เมื่อได้ยินจิ่งหมิงฮ่องเต้ถามเช่นนั้น หลู่อ๋องก็หันไปมองอวี้จิ่นด้วยความประหลาดใจ
คงไม่หรอก เจ้าเจ็ดไม่น่าจะอาจหาญเพียงนั้น ใครจะกล้าทำกับไท่จื่อ
อวี้จิ่นกล่าวตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “เสด็จพ่ออาจไม่ทรงทราบ ที่งานเลี้ยงอายุครบเดือนของอาฮวน พี่รองเคยออกปากขอเอ้อร์หนิว แต่ตอนนั้นลูกยังทำใจยกให้ไม่ได้ จึงมิได้ตอบรับคำขอ ไม่คิดว่าหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน พี่รองจะความจำเสื่อม เมื่อเห็นความทุกข์ยากที่พี่รองต้องประสบ ลูกก็นึกเสียใจในความตระหนี่ของตัวเอง วันนี้ลูกถึงได้พาเอ้อร์หนิวมาเยี่ยมพี่รองที่วังด้วย ลูกเพียงแต่คิดว่า หากพี่รองชอบเอ้อร์หนิวจริง ลูกก็จะยกให้ แม้ว่าลูกจะรู้สึกหวงแหนเพียงใด แต่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องย่อมต้องมาเป็นอันดับหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ…”
เอ้อร์หนิวที่นอนหมอบอยู่ที่บันไดหินด้านนอกอย่างเกียจคร้านหูผึ่งขึ้นทันใด
เกือบไปแล้วเชียว!
ภายในห้อง อวี้จิ่นอธิบายเหตุผลที่พาเอ้อร์หนิวเข้าวังมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างรู้สึกผิดในท้ายที่สุด “ลูกไม่คิดว่าเจตนาดีของลูกจะส่งผลร้าย ทำให้พี่รองตื่นตระหนกตกใจเช่นนี้…”
“เจตนาดีแต่ส่งผลร้าย?” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยแทรกก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากไม่มีเอ้อร์หนิว การที่ไท่จื่อแกล้งความจำเสื่อมต่อไปเป็นเรื่องดีอย่างนั้นหรือ”
เมื่อคิดตามหลังเหตุและผล ความผิดของไท่จื่อคือหลอกลวงองค์จักรพรรดิ
เพียงแต่จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่คิดว่าควรลงโทษสถานหนักเพียงนั้น
บางครั้งที่ขาดสตินึกคิดอาจทำให้ตัดสินใจทำบางอย่าง แต่บางครั้งก็ไม่อาจทำเช่นนั้น
เพราะการปลดไท่จื่อและคืนตำแหน่งให้เขา จะสามารถปลดครั้งที่สองได้จริงหรือ
จิ่งหมิงฮ่องเต้พิศมองไปที่อวี้จิ่น ท่าทางของชายหนุ่มแน่วแน่และสงบนิ่ง เขาถึงได้เชื่อสิ่งที่อวี้จิ่นพูด
การถูกจ้องมองเช่นนี้ แต่ใบหน้ายังคงนิ่งเรียบ คงไม่ได้ทำเรื่องใดให้ตัวเองต้องรู้สึกละอายแก่ใจ
อีกอย่าง แม้แต่เขายังไม่เอะใจว่าไท่จื่อเสแสร้งแกล้งทำ เจ้าเจ็ดที่มิได้สนิทสนมกับไท่จื่อก็คงดูไม่ออก เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้คงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
แม้แต่โชคก็ไม่เข้าข้างไทจื่อ… เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ผิดหวังเหลือเกินจะกล่าว
เมื่อไม่ได้ติดใจกับคำตอบของอวี้จิ่น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ไม่อยากกล่าวสิ่งใดให้มากความ เขายกมือขึ้นพลางบอก “เอาล่ะ พวกเจ้าออกจากวังไปได้แล้ว”
ขณะที่ก้าวเท้าออกจากประตูวัง หลู่อ๋องก็ยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นเยือกบนหน้าผาก พลางกล่าวลอยๆ “ข้าหลงคิดว่าวันนี้เสด็จพ่อจะแบะหัวไท่จื่อเสียอีก”
ต่อให้เขาจะไม่ชอบไท่จื่อเพียงใด แต่การเห็นเสด็จพ่อทุบตีไท่จื่อจนตายก็ทำให้เขาอดหวั่นใจไม่ได้
เขาต่างก็เป็นโอรสของฮ่องเต้ หากฮ่องเต้กล้าลงมือกับไท่จื่อ พวกเขาก็คงพบจุดจบไม่ต่างกัน
เมื่อเห็นท่าทีสุขุมของอวี้จิ่น หลู่อ๋องจึงเอ่ยแผ่วเบา “เจ้าเจ็ด เรื่องวันนี้เจ้ามิได้จงใจจริงๆ งั้นหรือ”
อวี้จิ่นหัวเราะ “พี่ห้าก็พูดจาน่าขัน ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าไท่จื่อแกล้งความจำเสื่อม อีกอย่างข้าหรือจะรู้ว่าหากไท่จื่อเห็นเอ้อร์หนิวแล้วจะแสดงอาการเช่นนั้นออกมา ข้ามีตาทิพย์เห็นอนาคตที่ไหนกัน วันนี้ข้าตั้งใจจะยกเอ้อร์หนิวให้ไท่จื่อจริงๆ”
หลู่อ๋องเกาหัว เขาเชื่ออย่างสุดใจ “ก็จริงของเจ้า แม้ไม่มีตาทิพย์ หากเจ้าจงใจ ตอนที่เสด็จพ่อตรัสถาม เจ้าคงแสดงพิรุธออกไปแล้ว”
ในมุมกลับกัน หากเขาเป็นอวี้จิ่น เขาคงลิ้นพันกันรัว ไม่สามารถตอบเสียงราบเรียบอย่างอวี้จิ่น
อวี้จิ่นหัวเราะในใจ ใครเป็นคนออกกฎว่า ถ้าพูดโกหกแล้วต้องแสดงพิรุธเสมอไป เขามิได้เป็นคนเช่นนั้นเสียหน่อย
เอ้อร์หนิวที่เดินตามหลังทั้งสองจ้องเขม็งไปที่บั้นท้ายของเจ้านาย แววตาขับประกายลุ่มลึก จะยกมันให้คนอื่นอย่างนั้นหรือ