บทที่ 555 โดนหมายตา

บทที่ 555 โดนหมายตา

“เราต้องไปโรงเรียนน่ะเลยไม่สามารถลงมาหรงเฉิงได้ เพราะงั้นจึงอยากให้นายส่งสินค้ามาเมืองหลวงให้พวกเราน่ะ นายจะได้ส่วนต่างด้วยนะ ลูกพี่มู่มู่คิดว่าไงบ้าง?”

หลี่มู่มู่มีเส้นสายจะต้องหาสินค้าใหม่ ๆ มาให้ได้แน่ ไม่ต้องแปลกใจหาเสี่ยวซือจะไม่ได้กังวล

เพราะที่กังวลอยู่ตอนนี้คือมู่มู่จะเห็นด้วยไหมมากกว่า เพราะการขนส่งสินค้ามามีความเสี่ยงอยู่แล้ว

“อันที่จริงไม่ต้องให้มู่มู่ลำบากเรื่องส่งของหรอกนะ” เหล่าซานขัดจังหวะ

คนทั้งสองได้ยินก็ตกใจ

“พ่อสามหมายความว่ายังไงครับ?” เด็กหนุ่มถาม

“ทีมขนส่งจะเปิดเส้นทางมาหรงเฉิงน่ะ เขาอยากให้พ่อมาเส้นนี้ ตอนแรกกำลังคิดอยู่ว่าถ้าทำธุรกิจต่ออีกยาวก็คงตอบตกลง”

ความปลอดภัยบนท้องถนนตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร โดยเฉพาะต้องวิ่งระยะยาว การเกิดอุบัติเหตุเป็นเรื่องปกติมาก

เหล่าซานจึงไม่อยากตกปากรับคำเพราะกลัวเรื่องอุบัติเหตุนี้แหละ แต่หลายวันที่ผ่านมาทำให้เขาได้เข้าใจแล้วว่าถ้าอยากจะได้โชคเราก็ต้องกล้าพอจะเสี่ยง

ความร่ำรวยไม่ได้ได้มากันง่าย ๆ ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ยินดีทั้งหมด

เสี่ยวซื่อไม่ได้คาดหวังกับเรื่องน่าอัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน เป็นการดีที่พ่อสามจะเอาสินค้ากลับมาให้เราแต่ไม่ว่าฝั่งไหนจะว่าอะไร มันก็ดีทั้งนั้น

“ดีเลยครับพ่อสาม” เขาเอ่ยอย่างปรีดา

มู่มู่กังวลเรื่องการขนส่งจริง ๆ เลยลังเลอยู่สักพัก พอได้ยินข่าวดีเขาแทบไม่อยากจะเชื่อ

ถ้ามีคนรับผิดชอบเรื่องขนส่ง เราจะทำเรื่องจัดหาสินค้าให้ ต่อให้ได้เงินน้อยแต่มันก็ยังได้เงินอยู่

“งั้นผมจะรับผิดชอบเรื่องจัดหาสินค้าเองครับ” ว่าจบเขาพลันรู้สึกอายเล็กน้อย

เพราะไม่ว่าจะคิดยังไงเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเอาเปรียบคนอื่น

เรื่องจัดหาสินค้าไม่ได้เป็นหน้าที่อันตรายอะไรเลย

แต่แล้วก็ต้องมีเรื่องให้คาดไม่ถึงเมื่อเสี่ยวซื่อตอบตกลงทันที “มู่มู่ นายจัดหาสินค้ามานะ ไม่ว่าจะเป็นอะไร ให้อิงราคาตามปัจจุบันเลย อยากจะให้เท่าไรก็มาต่อรองกันได้ นายก็จะได้ตามราคานั้นไป”

เขาเข้าใจแล้ว ราคาที่เสี่ยวซื่อเสนอให้จะสูงกว่าราคาขายส่ง แต่ถ้าอยากได้เงินเยอะ ๆ เขาก็ต้องหาวิธีทำให้ราคาตั้งต้นถูกลงให้ได้

นี่เป็นเรื่องของความสามารถเฉพาะตัว

มู่มู่ตอบตกลง พวกธุรกิจเล็ก ๆ มันทำเงินไม่ได้เยอะอยู่แล้ว แต่บ้านซูกลับขายครั้งละจำนวนมาก เพราะงั้นการต่อรองราคาก็เป็นไปได้เช่นกัน

โชคของเราที่ได้ทำธุรกิจร่วมกับพวกเขา

เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งชั่วโมงก่อนขึ้นรถไฟ

ระหว่างนั้นเราทำข้อตกลงง่าย ๆ กัน

นอกจากจะได้ค่าตอบแทนที่สูงกว่าปกติแล้ว มู่มู่สามารถต่อรองราคาได้อีกด้วย

ส่วนเหล่าซานที่เป็นฝ่ายขนส่ง เมื่ออิงมูลค่าของสินค้าแล้ว เขาจะได้ค่าธรรมเนียมการขนสองเปอร์เซ็นต์

ทั้งสามพึงพอใจกับข้อตกลงมาก

แม้ราคาที่เสี่ยวซื่อจะเสนอให้มู่มู่ไม่สูง แต่ข้อดีคือแค่ไปรับของแล้วมอบให้เหล่าซานตามเวลาที่กำหนดเท่านั้นเอง ไม่ต้องเสี่ยงหรือถ่วงเวลาในการทำธุรกิจอื่น ๆ เลย บอกได้เลยว่าได้เงินมาง่ายมาก

ส่วนการใช้เส้นสายในมือเรื่องนี้มู่มู่เข้าใจดี เดิมทีมันก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอยู่แล้ว ถ้าเงินยังมีค่ามันจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเปล่าประโยชน์หรอก

เขามองภาพครอบครัวนั้นขึ้นรถไฟจนกระทั่งลับตา ไม่อยากจะเชื่อว่าตนโชคดีมากขนาดนี้

เขาได้แต่เดินล่องลอยกลับบ้าน และฮัมเพลงอย่างมีความสุขไปตลอดทาง

พอเห็นพี่ชายอารมณ์ดี ใบหน้าซีดเซียวของหลี่หลินหลินมีรอยยิ้มประดับ

“พี่คะ ทำไมวันนี้ดูมีความสุขจัง? ธุรกิจไปได้สวยหรือคะ?”

หลี่หลินหลินรู้ว่าพี่ชายทำงานหนัก เพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวและรักษาอาการป่วยของตน

สองปีมานี้การหาเงินเท่านั้นที่จะทำให้พี่มีความสุข!

“น้องสาว วันนี้พี่ชายไปเจอผู้มีพระคุณมาก!”

หลี่มู่มู่เล่าเรื่องที่เขาได้ร่วมมือกับบ้านซูให้ฟังอย่างมีความสุข

ได้ยินเช่นนั้นหลินหลินอดขมวดคิ้วไม่ได้

มันจะมีโชคหล่นมาจากฟ้าจริงหรือ?

แต่ในเมื่อพี่มีความสุข น้องสาวแบบเธอก็มีความสุขไปด้วย

เธอเชื่อว่าพี่รู้ขอบเขตดี

เธอไม่ได้สงสัยคนบ้านซู แค่สงสัยว่าทำไมถึงหาเงินได้ง่ายขนาดนั้น

พอพูดเรื่องนี้ สองพี่น้องบ้านหลี่ที่อยู่จุดต่ำสุดของสังคมกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดกันอยู่ เราเจอทางตันมานับไม่ถ้วน

แต่เพราะได้จื่ออันช่วยเอาไว้ ชีวิตจึงมีแสงส่องลงมาถึง และมองเห็นความงดงามอีกด้านของโลกใบนี้

กับความคิดที่แสนซื่อตรงของพวกเขาแล้ว ไม่เคยนึกสักนิดว่าจะโดนหลอกหรือเปล่า

อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ทุกคนขึ้นรถไฟกันแล้ว

มีแค่เสี่ยวเถียนกับเสี่ยวเหมยที่เป็นผู้หญิงในกลุ่ม เพราะงั้นคนอื่น ๆ จึงให้พวกเธอนั่งเฉย ๆ

ส่วนคนที่เหลือทำหน้าที่เฝ้ากระเป๋ารอบละสามคน เพื่อที่ข้าวของจะได้ไม่หาย

ไม่มีใครไม่เห็นด้วย

รอบนี้ทุกคนมีส่วนแบ่งในสินค้า จึงร่วมแรงกันระวังเอาไว้ ไม่มีอะไรแปลก

แต่พวกเขาไม่รู้ว่าตั้งแต่ขึ้นรถไฟมา ก็ท่าทางเหมือนตนกำลังจะเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจและตกเป็นเป้าหมายของคนที่มีความคิดซ่อนเร้น!

การแสดงออกของเสี่ยวเถียนและคนอื่น ๆ ไม่ถือว่าแย่ แต่เพราะตอนขึ้นมาหลายคน ๆ มีสีหน้าตื่นตระหนกไปหน่อย

สถานีรถไฟมีคนตั้งหลายแบบไม่ใช่หรือไง?

มีตั้งหลายศาสนาหลายอาชีพ โดยเฉพาะพวกรอเชือดแกะอ้วนก็ยังมี

ยิ่งมีเหล่าซานที่เป็นผู้ใหญ่อีกคนรวมอยู่ในกลุ่มคนหนุ่มสาว พวกเขายิ่งตกเป็นเป้าของคนอื่น ๆ

เพราะไม่มีใครคิดว่าเด็กพวกนี้จะมีความสามารถใช่ไหมล่ะ?

ท่ามกลางสายตาที่จดจ้อง พวกเขาตามคนบ้านซูขึ้นรถไฟอย่างกล้าหาญ

พวกเขาคิดง่ายมาก ขอแค่เอาของมาได้ ต่อให้ต้องลงไปขึ้นรถอีกฝั่งแล้วย้อนกลับไปทางเดิมก็ยินดี

อันที่จริงยังคิดอยู่เลยว่า ถ้าเราข้ามไปอีกฝั่งไม่ได้ก็แค่รอลงที่สถานีหน้าเสีย

ในที่สุดคนบ้านซูก็พบที่นั่งของตัวเอง

บนรถไฟคนพลุกพล่านมาก โชดดีที่มีที่ให้นั่ง

ในยุคนี้ตั๋วตู้นอนยังหาซื้อยากอยู่ และเหล่าซานก็ไม่อยากรบกวนน้องเขยด้วย เบาะแข็ง ๆ นั่งไม่สบายสักนิด ยิ่งตู้โดยสารเต็มไปด้วยผู้คนก็ยิ่งอึดอัด

เหล่าซานกลัวลูกจะนั่งไม่ได้

แต่ไม่คิดว่าลูกสาวกลับประตัวได้ดีที่สุด

ไม่มีอะไรมาก ชาติก่อนไม่เคยลำบากหรือไงล่ะ?

บางครั้งซื้อตั๋วนั่งไม่ได้ก็เอาตั๋วยืนด้วยซ้ำ

ระยะเวลาสองวันสองคืนบนรถ เวลาที่ง่วง ๆ ล้า ๆ จะนอนใต้ที่นั่งเอา แทบจะโดนคนอื่นรังเกียจเอาแล้ว

อีกอย่างมันสบายกว่าไม่มีที่นั่งเยอะเลย

แต่คนบนรถ ๆ ไฟเยอะ เลยอุ่นใจไปได้เปลาะหนึ่ง