บทที่ 531 จากไปอย่างสงบ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีร้องไห้ออกมาอย่างไร้สุ้มเสียงอยู่หลายนาทีกว่าความรู้สึกของเธอจะเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย

เธอยังคงไม่ยอมออกมาจากอกของนัทธี เธอเพียงหลับตาซบอยู่ในอกของนัทธี จากนั้นกล่าวออกมาช้าๆ “ฉันคิดเอาไว้แล้วล่ะว่าอีกไม่กี่วันนี้คุณสุภัทรคงจะไม่อยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพอเวลานั้นมาถึงจริงๆ จะช็อกขนาดนี้”

“ผมรู้” นัทธีตบหลังของเธอพลางพยักหน้า

วารุณีกระแอมสองครั้งก่อนจะกล่าวอีกว่า “ฉันเตรียมใจเอาไว้แต่แรกแล้วว่าถ้าเขาตายฉันจะไม่เสียใจและไม่เจ็บปวดเพราะเขา และยิ่งไม่มีทางร้องไห้เพราะเขาแน่ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ พอเขาจากไปแล้ว ฉันก็เสียใจและร้องไห้อยู่ดี”

“เพราะว่าเขาคือพ่อของคุณไง ในใจของคุณแคร์เขาอยู่เสมอแหละ คุณเกลียดเขาแต่ในทางเดียวกันคุณก็รักเขาด้วย” นัทธีก้มมองเธอแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

วารุณีหัวเราะ “ใช่ค่ะ แต่ปกติความรักนี้ถูกความเกลียดบดบังเอาไว้หมด เลยมองไม่เห็นและไม่รู้สึก แต่ตอนนี้พอเขาตายแล้ว คนตายหนี้สินก็ตายตาม สิ่งที่ตามเขาไปคือความแค้นของฉันที่หายไปด้วย สุดท้ายความเกลียดที่กดทับความรักเอาไว้ก็เลยปะทุออกมา”

เธอจะไม่รักสุภัทรได้อย่างไร

นั่นคือพ่อแท้ๆ ของเธอ แม้ว่าพ่อคนนี้จะไม่รักเธอกับศรัณย์มากเท่ากับรักพิชญา

ทว่าช่วงเวลาผ่านมายี่สิบปี การปฏิบัติของสุภัทรที่มีต่อเธอและศรัณย์ก็แสดงถึงความรักอยู่บ้าง เรื่องนี้ไม่อาจปฏิเสธได้

“อยากนอนต่ออีกหน่อยไหมล่ะ” นัทธีถาม

วารุณีสูดหายใจลึกพลางพยักหน้า “ค่ะ ถึงโรงพยาบาลแล้วค่อยเรียกฉันนะคะ”

เมื่อสุภัทรตายไป แม้ว่าอาจจะไม่ได้ส่งผลอะไรต่อความรู้สึกของเธอเท่ากับตอนที่แม่ของเธอตาย แต่ความเสียใจก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันนัก

เธอต้องการปรับความรู้สึกสักหน่อย

นัทธีเพียงตอบรับว่า “ตกลง”

วารุณีขดตัวอยู่บนเบาะคนขับแล้วหลับตาลง

แม้ว่าจะบอกว่านอน แต่จริงๆ ก็เป็นแค่การงีบเท่านั้น ขนตาที่สั่นไหวของเธอเป็นเครื่องบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเธอไม่ได้นอนและไม่ได้หลับ

จะนอนหลับได้อย่างไร พ่อของเธอตายทั้งคน เธอคงไม่ไร้หัวใจถึงขั้นไม่แยแสแบบนั้น

หัวใจของเธอไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น

นัทธีเองก็เข้าใจประเด็นนี้จึงไม่ได้รบกวน ได้แต่ขับรถไปเงียบๆ

เขาขับรถช้ามาก เดิมทีต้องใช้เวลาในการขับเพียงหนึ่งชั่วโมง แต่เขากลับใช้เวลาในการขับสองชั่วโมงกว่าจะไปถึงโรงพยาบาล

จากนั้นนัทธีจึงจะปลุกวารุณีให้ตื่น

วารุณีลืมตาขึ้น “ถึงแล้วเหรอ”

“ใช่” นัทธีพยักหน้า

วารุณีไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงขับรถไปเงียบๆ ลงจากรถแล้วเดินเข้าในโรงพยาบาล

เมื่อไปถึงห้องคนไข้ของสุภัทร ศรัณย์กำลังนั่งลงบริเวณระเบียงพลางหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาสัมผัส

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ศรัณย์จึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาแดงก่ำ “พี่ พี่เขย”

วารุณีพยักหน้าเป็นการตอบรับ จากนั้นจึงเดินเข้าไปมองในห้องคนไข้

ห้องถูกเก็บกวาดทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เตียงผู้ป่วยก็ว่างเปล่าเช่นกัน

ศรัณย์ที่อยู่ข้างๆ เธอกล่าวว่า “หลังจากผมโทรหาพี่ โรงพยาบาลก็พาเขาเข้าไปในห้องดับจิตเลย”

วารุณีตอบรับคำหนึ่ง เนื่องจากไม่ได้แปลกใจกับคำตอบนี้

เธอเดาเอาไว้อยู่แล้ว

ผู้ป่วยที่เสียชีวิตในโรงพยาบาล โรงพยาบาลจะไม่ปล่อยไว้ในห้องคนไข้นานนัก แต่จะต้องย้ายไปยังห้องดับจิตทันที

ดังนั้นเมื่อเห็นห้องคนไข้ถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เธอก็พอเดาได้แล้วว่าสุภัทรถูกส่งไปไว้ที่ไหน

“ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาได้สั่งเสียอะไรไว้บ้างไหม” นัทธียืนพิงข้างกำแพงแล้วหันไปถามศรัณย์

ศรัณย์พยักหน้า “บอกครับ เขาบอกว่าอยากให้พวกเราพาเขาไปฝังไว้ข้างหลุมศพแม่”

“อะไรนะ” วารุณีคิ้วขมวด “ฝังไว้ข้างๆ แม่เหรอ ฝันไปเถอะ ตอนอยู่เขาก็ทำผิดกับแม่ พอตายแล้วคิดจะไปเอาคืนอีกหรือไง”

นัทธีเองก็รู้สึกเช่นกันว่าสุภัทรไม่รู้จักอายไปหน่อย

ศรัณย์ส่ายหน้า “ไม่ใช่ เขาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เขาบอกว่าเขาอยากชดใช้ความผิดให้แม่ ถ้าฝังเขาไว้ข้างๆ แม่ เขาจะได้ชดใช้ความผิดให้แม่ได้ตลอดเวลา”

“ฮึ ฉันว่านี่เป็นข้ออ้างของเขามากกว่า เขากลัวว่าฉันจะไม่ยอมตกลงทำตามที่เขาบอกเลยตั้งใจพูดแบบนี้” วารุณีถอนใจ

ศรัณย์มองที่เธอ “เอาไงดีพี่ พวกเราจะทำตามที่เขาสั่งดีไหม”

วารุณีเงียบ

นัทธีเอามือสอดไว้ในกระเป๋ากางเกง “ทำตามที่เขาบอกเถอะ”

วารุณีหันไปมองเขา

ศรัณย์เองก็มองตาม

นัทธียิ้ม “เขาบอกว่าอยากจะชดใช้ไม่ใช่เหรอ อย่างนั้นก็ปล่อยให้เขาได้ชดใช้ อีกอย่างผมเองก็คิดว่าแม่ยายก็อยากจัดการเขาเหมือนกัน”

เมื่อได้ยินดังนั้นวารุณีจึงหัวเราะออกมา “คุณก็จริงๆ เลยนะ เช่นนั้นก็เอาตามที่เขาสั่งก็แล้วกัน ต่อไปแม่จะได้รังแกเขาได้ทุกวัน”

“ดี” ศรัณย์ยิ้มออกมาเช่นกัน

วารุณีถามขึ้นอีกว่า “นอกจากนี้แล้ว เขายังพูดว่าอะไรอีกไหม”

ศรัณย์พยักหน้า “ยังพูดอีกว่าเรื่องที่เสียดายที่สุดคือไม่ได้ยินพวกเราเรียกเขาว่าพ่อ และไม่ได้ยินไอริณกับอารัณเรียกเขาว่าตา”

ริมฝีปากของวารุณีกระตุก “แล้วมีอะไรอีกไหม”

“ไม่มีแล้ว แต่เขาเอาอันนี้ให้ผม” ศรัณย์หยิบของที่มือของตัวเองเพิ่งสัมผัสโดนออกมา ของนั้นเป็นนาฬิกาข้อมือ

“ทำไมเขาต้องให้นาฬิกาข้อมือด้วย” วารุณัถาม

สายตาของนัทธีตกไปอยู่ที่นาฬิกาข้อมืออันนั้น “นี่เป็นนาฬิกาแบบโบราณ”

“อืม” ศรัณย์พยักหน้า “เมื่อเจ็ดปีก่อนไม่กี่เดือนก่อนที่พวกเราจะถูกเขาไล่ออกมาจากตระกูลศรีสุขคำ วันนั้นเป็นวันเกิดของผม ผมบอกเขาว่าผมอยากได้นาฬิกาแบบนี้บ้าง เพราะนาฬิกาแบบนี้มีราคาแพง แต่เขาไม่ตกลง ผมไม่คิดเลยว่าเมื่อครู่นี้เขากลับยอมยกให้ผม”

ของขวัญวันเกิดที่เขาต้องรอถึงเจ็ดปี กลับทำให้เขาประหลาดใจและสับสน

แปลกใจตรงที่ผ่านมาเจ็ดปีแล้วแต่ท่านสุภัทรยังจำเรื่องนี้ได้

สิ่งที่ทำให้สับสนคือ ท่านสุภัทรเกลียดตนกับพี่สาวมากขนาดนั้น แล้วทำไมต้องซื้อให้เขาด้วย

นัทธีรับนาฬิกามาจากมือของศรัณย์แล้วมองพิจารณาอย่างละเอียด “ไม่ใช่นาฬิกาใหม่ แต่ซื้อมาไว้พักหนึ่งแล้ว คนในอายุรุ่นราวของคุณสุภัทรไม่เหมาะกับนาฬิกาแบบนี้ แสดงว่านาฬิกาอันนี้คุณสุภัทรตั้งใจซื้อให้นาย”

ศรัณย์รับนาฬิกากลับมา “ใช่ครับ เขาบอกว่านาฬิกานี้ซื้อมาเมื่อหลายเดือนก่อน เจอพอดีเลยซื้อมา ที่ผ่านมาอยากซื้อให้ผมแต่หาโอกาสไม่ได้ จึงเลยเวลามาจนถึงป่านนี้ อีกอย่างเขายังอยากขอโทษผมด้วย”

“ทำไมต้องขอโทษล่ะ จะขอโทษเรื่องอะไรอีก” วารุณีถาม

ศรัณย์มองไปที่เธอแล้วตอบว่า “พ่อบอกว่า เมื่อเจ็ดปีก่อนตอนที่พี่ไปที่บ้านศรีสุขคำเพื่อขอเงินค่าผ่าตัดให้ผม เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะไม่ให้ แต่จริงๆ แล้วเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ขยานีไม่ได้บอกเขา ถ้าเขารู้ เขาต้องให้แน่นอน แม้ว่าตอนนั้นเขาจะไม่ชอบพวกเราสองพี่น้อง แต่ยังไงพวกเราก็เป็นลูกของเขา เขาไม่มีทางปล่อยเราให้ตายคาเตียงผ่าตัดแน่นอน”

“……” วารุณีไม่ได้กล่าวอะไรต่อ

คำขอโทษของคุณสุภัทร ทำให้เธอตกใจมาก

เธอเคยคิดว่าเขาใจดำถึงขั้นไม่ยอมให้เงินผ่าตัดแล้วยอมเห็นศรัณย์ตายไปต่อหน้าต่อตาได้

แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ที่แท้พ่อไม่รู้เรื่องนี้……

“ช่างเถอะ” วารุณีถอนใจ “ตอนที่เขาเสียเป็นอย่างไรบ้าง ทรมานไหม”

ศรัณย์ยิ้ม “ไม่เลย เขามีความสุขดี”

“มีความสุข?” นัทธีเลิกคิ้ว

ศรัณย์ตอบรับคำหนึ่ง “อันที่จริงวันนี้เขามีความสุขทั้งวันเลย โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินข่าวว่าขยานีโดนตัดสินโทษ เขาหัวเราะเสียงดัง และยังให้ผมซื้อเบียร์มาให้ด้วยเพื่อดื่มฉลอง จากนั้น……”

“จากนั้นเป็นยังไงต่อ” วารุณีถาม

“จากนั้น เขาให้ผมติดต่อตำรวจให้เพื่อคุยกับขยานี ผมไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง แต่ว่าคุยกันนานมากทีเดียว หลังจากคุยกันเสร็จ เขาก็ดื่มเบียร์ต่อแล้วบอกว่าอยากนอนให้ผมกลับไปได้แล้ว หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง ตอนที่พยาบาลมาเดินตรวจจึงพบว่าเขาไม่หายใจแล้ว แต่เขาจากไปพร้อมรอยยิ้ม ผมเลยคิดว่าเขาไม่ทรมานครับ” ศรัณย์ตอบ