ตอนที่ 573 บอกแล้วว่าเว่ยเอ๋อร์คือดาวนำโชคดวงน้อย

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 573 บอกแล้วว่าเว่ยเอ๋อร์คือดาวนำโชคดวงน้อย

หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยความตื่นเต้น “ผู้อาวุโสเซวียชอบกินหัวสิงโตน้ำแดงกับหมูตงพอฝีมือข้าที่สุด ! เราจะไปกันวันไหน ? ข้าจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า ! แล้วก็ยังมีพวกขนม…น่าเสียดายที่ไม่ได้นำสุราองุ่นมาด้วยมากสักเท่าไร แต่เอาชาผลไม้ไปให้สักสองโถก็แล้วกัน ? ผู้อาวุโสเซวียอายุมากแล้วต้องดูแลสุขภาพหน่อย ! ”

หมินอ๋องตรัสด้วยความหงุดหงิดทันที “พ่อเองก็อายุมากแล้ว ! มีบาดแผลจากการสู้รบตั้งเยอะ เหตุใดเจ้าไม่พูดว่าเป็นห่วงพ่ออย่างโน้นอย่างนี้บ้าง ? ”

หลินเว่ยเว่ยมองอีกฝ่ายด้วยแววตาของผู้บริสุทธิ์ “พระองค์ไม่ได้แย่งดื่มชาผลไม้ของหมู่เฟยทุกวันหรือเพคะ ? แล้วก็ขนมที่ลูกทำให้หมู่เฟยอีก พระองค์เสวยมากกว่านางด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่ลูกทำของอร่อย ของกว่าครึ่งเข้าไปอยู่ในท้องใครเพคะ ? ส่วนบาดแผลบนตัวพระองค์…ถ้าอย่างไรลูกทำอาหารที่เหมาะกับพระองค์เพื่อบำรุงร่างกายดีหรือไม่เพคะ ? ”

หลังได้เห็นท่าทางทะเล้นของบุตรสาวแล้ว หมินอ๋องก็รู้ทันทีว่าอาหารที่นางพูดถึงต้องไม่เหมือนกับอาหารปกติที่ทำให้พระชายาแน่นอน เมื่อนึกถึงอาหารที่มีสรรพคุณทางยาซึ่งพวกหมอหลวงเคยสั่งให้ทำในสมัยก่อน สีพระพักตร์ก็เปลี่ยนไปทันที “อาหารเหล่านั้นช่างเถิด ทำพวกชาผลไม้ให้พ่อแทนแล้วกัน ? เว่ยเอ๋อร์ สุราองุ่นที่เจ้าพูดถึงเมื่อครู่…เจ้าเป็นคนหมักเองหรือ ? ”

“ใช่เพคะ ! ลูกใช้องุ่นป่าบนภูเขาต้าชิงมาหมัก รสชาติหวานอมเปรี้ยว หอมกลมกล่อม น่าเสียดายที่เดินทางไกลจึงเอามาเยอะไม่ได้ รอให้ถึงฤดูใบไม้ร่วงที่องุ่นออกแล้ว ลูกจะหมักให้ฟู่หวางและท่านพี่ได้ลองดื่มเพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยหัวเราะร่า

ยังต้องรอถึงฤดูใบไม้ร่วงเชียวหรือ ? แบบนั้นก็ไม่เท่ากับว่าต้องรออีกครึ่งปี ? สู้ไม่รู้ยังดีเสียกว่า ! นักรบมีผู้ใดบ้างไม่ร่ำสุรา ? หมินอ๋องก็เช่นเดียวกัน ทว่าตอนหมินหวางเฟยยังไม่ป่วยก็ควบคุมเรื่องการดื่มสุราของพระองค์อย่างเข้มงวด มีครั้งหนึ่งที่พระองค์ดื่มจนเมามาย นางโมโหจนไม่สนใจพระองค์นานถึง 10 วัน นับแต่นั้นมาพระองค์ก็เลิกดื่ม ยิ่งหลังจากพระชายาล้มป่วย พระองค์ก็ไม่มีอารมณ์ดื่มมากกว่าเดิม…

แต่ถ้าเป็นสุราผลไม้ที่บุตรสาวหมักเอง หากมีดีกรีไม่มาก ย่อมไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย เสวี่ยเอ๋อร์ก็คงไม่ห้ามกระมัง ? หลังคิดได้ว่าต่อไปจะมีสุราให้ดื่มด่ำวันละนิดละหน่อย หมินอ๋องก็มีความสุขจนแทบจะบินได้

กว่าจะกลับออกมา หมินอ๋องและซื่อจื่อก็ใช้เวลาอยู่ในเรือนของเจียงโม่หานนานมาก ตอนที่เดินออกมาแล้วสองพ่อลูกยังลากหลินเว่ยเว่ยออกมาด้วย ไม่อย่างนั้นเจ้าหน้าขาวได้เอาเปรียบเด็กน้อยของพวกพระองค์อีกแน่

หมินอ๋องพยายามเกลี้ยกล่อมบุตรสาว “เว่ยเอ๋อร์ ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน แม้จะบอกว่าเจ้ากับคนแซ่เจียงหมั้นหมายกันแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่สามีภรรยา ตอนพบกันจะต้องรักษาระยะห่างเข้าไว้ ห้ามให้เด็กนั่นเข้าใกล้เด็ดขาด จะแตะต้องหรือสัมผัสร่างกายก็บอกปัดทั้งหมด เข้าใจหรือไม่ ! ”

หลินเว่ยเว่ยเชื่อฟังพลางพยักหน้าอย่างว่าง่าย แต่ใจกลับลอยไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้แล้ว…ไม่ให้บัณฑิตน้อยเข้าใกล้นาง ? แต่นางเข้าไปใกล้เขาเองก็น่าจะไม่นับกระมัง ?

นางกำมือตัวเอง เหตุใดฟู่หวางมักคิดว่าบัณฑิตน้อยชอบลวนลามนาง ? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่านางแรงเยอะกว่า ใครลวนลามใครยังไม่ชัดเจนอีกหรือ ? ถ้านางไม่เต็มใจแล้วคนอย่างบัณฑิตน้อยสักยี่สิบสามสิบคน นางใช้แค่มือเดียวก็ซัดได้แล้ว !

ผ่านไปอีกไม่กี่วัน ข่าวการเพิ่มโจทย์คณิตศาสตร์ในการสอบฮุ่ยซื่อก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง ทางราชสำนักก็ออกประกาศอย่างเป็นทางการและใช้ม้าเร็วเพื่อไปส่งข่าวยังทั่วทุกหนทุกแห่ง

ข่าวนี้เป็นดั่งน้ำที่ราดลงไปบนน้ำมันเดือด บัณฑิตทั่วเมืองหลวงเผชิญปัญหากันถ้วนหน้า พวกเขาร้องโอดครวญกันดังระงม…เหตุใดพวกตนถึงโชคร้ายขนาดนี้ เหลือเวลาห่างจากการสอบฮุ่ยซื่ออีกแค่ 2 เดือนเท่านั้น ถ้าขยันเรียนเพิ่มตอนนี้ยังจะทันหรือเปล่า ?

ร้านหนังสือในเมืองหลวงเต็มไปด้วยบัณฑิต ตำราทุกเล่มที่เกี่ยวกับศาสตร์ด้านตัวเลขในท้องตลาดมีไม่มากนัก ตอนนี้โดนกวาดจนเกลี้ยงแผง พวกบัณฑิตที่คิดอยากคัดตำราด้วยตัวเองก็หาไม่ได้แล้ว ขอแค่เป็นตำราที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวเลขเพียงน้อยนิด หรือด้านในจะมีเนื้อหาเอ่ยถึงศาสตร์ตัวเลขขึ้นมาบ้างก็จะมีคนแย่งซื้อ ไม่เพียงแค่ในเมืองหลวงและชานเมืองหลวงหรือหัวเมืองต่าง ๆ เท่านั้น ไม่ว่าที่ใดตำราเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ล้วนเป็นสิ่งที่จับต้องยากไปแล้ว !

และแล้วในเวลานี้เอง ร้านโม่เซียงก็วางจำหน่ายตำรา ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ มันเป็นดั่ง แสงสว่างของบัณฑิตที่กระหายในการตามหาตำรา และเพื่อลดการเบียดเสียดหรือเหยียบกันตาย ร้านโม่เซียงจึงทำการเปิดจอง ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ รอบสองให้พวกบัณฑิต ทุกคนต้องเข้าแถวตามลำดับก่อนหลัง หลงจู๊และพนักงานในร้านโม่เซียงต่างให้การรับประกันกับพวกบัณฑิตว่าตำราเล่มนี้จะถูกตีพิมพ์ออกมา 1,000 ชุด รับรองได้ว่าถึงมือบัณฑิตทุกคนแน่นอน !

ผู้ที่ซื้อ ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ ได้ก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานขุนนางที่ได้ทราบข่าววงในมาก่อน หลังได้ตำราไปแล้วพวกเขาก็เปิดดูชื่อผู้เขียน…เจียงโม่หาน…ใครหรือ ? ไม่เคยได้ยินมาก่อน ? ลูกหลานขุนนางที่ไม่วางใจก็นำตำราไปให้ผู้อาวุโสและญาติที่ชำนาญในศาสตร์ตัวเลขได้ตรวจสอบ

แม้แต่อาจารย์ที่สอนวิชาคณิตศาสตร์มาหลายสิบปีก็ยังรู้สึกทึ่งกับคำอธิบายและเอ่ยชมไม่ขาดปาก ทุกคนเดาว่าเจียงโม่หานท่านนี้อาจเป็นนักคณิตศาสตร์ที่ซ่อนตัวมาตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน

บนโต๊ะทรงพระอักษรของฮ่องเต้หยวนชิงก็มีตำราเล่มนี้วางอยู่เช่นกัน พระองค์เรียกหมินอ๋องเข้าวังแล้วชี้ตำรา ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ บนโต๊ะพลางตรัสว่า “หยูอัน เจ้าดูนี่สิ ! ”

หมินอ๋องขมวดพระขนงและทำท่าทางออกห่างไว้เป็นดี “ฝ่าบาท พระองค์ก็รู้ว่านอกจากตำราพิชัยสงครามแล้ว พอกระหม่อมอ่านตำราชนิดอื่นก็อยากนอนหลับทั้งนั้น…”

ฮ่องเต้หยวนชิงถลึงดวงเนตรใส่อีกฝ่าย “ไม่ชอบอ่านตำรา เจ้าก็ยังมีเหตุผลด้วยหรือ ? ถ้าคนรุ่นหลังมาได้ยินคำพูดพวกนี้ของเจ้า ดูสิว่าเจ้าจะอายหรือไม่ ! ”

หมินอ๋องแย้มพระสรวลแฮะแฮะ “ในห้องทรงพระอักษรก็ไม่ได้มีแค่เราสองคนหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ฝ่าบาท ตำรา ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ นี้เป็นตำราด้านศาสตร์ตัวเลข พระองค์ให้กระหม่อมดูเพื่ออะไร ? ดูไปก็ไม่เข้าใจหรอกพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ดูชื่อคนเขียนตำราเล่มนี้ก่อน ! ดูสิว่าคุ้นตาหรือไม่ ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงชี้ไปที่บทนำของตำรา

กระทั่งตอนนี้หมินอ๋องถึงได้ยื่นดวงพักตร์ไปทอดพระเนตร หลังเห็นชื่อคนเขียนแล้วพระองค์ก็มีดวงเนตรเบิกกว้างพลางอุทานออกมาทันที “เจียงโม่หาน ? เหตุใดจึงเป็นเจ้าเด็กคนนั้นได้ ? ฝ่าบาท เรื่องการเพิ่มโจทย์คณิตศาสตร์ในการสอบฮุ่ยซื่อครานี้ กระหม่อมเพิ่งรู้แค่ไม่กี่วันเอง กระหม่อมไม่ใช่คนปากโป้งพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฮ่องเต้หยวนชิงทอดพระเนตรสหายด้วยความรังเกียจ “เจิ้นย่อมรู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ใช่คนปากโป้ง ! เมื่อสิบวันก่อนเจิ้นยังลังเลอยู่เลย เพื่อจะเพิ่มโจทย์คณิตศาสตร์นี้ เจิ้นถึงขั้นต้องสู้รบตบมือกับพวกขุนนางอาวุโสในราชสำนัก แม้เจ้าจะเป็นคนไปบอกบุตรเขยในตอนนั้น ทว่าระยะเวลาสั้น ๆ แค่สิบวัน แม้จะไม่หลับไม่นอนและใช้เวลากินข้าวมาเขียน เขาก็ไม่มีทางเขียนออกมาได้แยบยลขนาดนี้หรอก ! ”

หมินอ๋องทำโอษฐ์เป็นรูปเส้นตรง ‘–’ แล้วตรัสด้วยความหงุดหงิดว่า “ฝ่าบาท เจ้าเด็กนั้นยังไม่ใช่บุตรเขยของกระหม่อม ! ถ้าเช่นนั้นเขารู้ได้อย่างไรว่าจะมีการสอบคณิตศาสตร์ด้วย ? คงไม่ได้เป็นนกรู้ เพียงนับนิ้วทำนายก็ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ ? ”

ฮ่องเต้หยวนชิงปล่อยวรกายเอนพิงเก้าอี้ขณะทอดพระเนตรหมินอ๋อง “ข้าถามจื่อชิง (นามรองของกั๋วจิ้วเย่) มาแล้ว เขาบอกว่าตำรา ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ นี้ ว่าที่บุตรเขยเจ้าได้แรงบันดาลใจมาจากบุตรสาวของเจ้า หรือจะพูดว่าที่จริงแล้วเขาเขียนตำราเล่มนี้ให้องค์หญิงเว่ยเว่ย ! ”

“ฮึ ! กระหม่อมบอกแล้วว่าเว่ยเอ๋อร์คือดาวนำโชคดวงน้อยไม่ใช่หรือ ? ” หมินอ๋องดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “ฝ่าบาท ใช่ว่ากระหม่อมเป็นคนงมงาย ยกตัวอย่างเช่นบ้านของกระหม่อมก็แล้วกัน ตอนที่เว่ยเอ๋อร์ยังไม่ได้พบกระหม่อม นางได้ช่วยจินเฉิงมาจากมนุษย์โอสถและยังช่วยเหลือที่ตลาดการค้าข้ามเขตแดนในเขตอวี้อัน หากไม่มีนางแล้ว หน่วยลาดตระเวนที่ตลาดการค้าข้ามเขตแดนก็คงไม่สามารถยืนหยัดได้จนทหารกองหนุนมาช่วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”