บทที่ 557 คงต้องเรียกว่าอาฮั่ว

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 557 คงต้องเรียกว่าอาฮั่ว

บทที่ 557 คงต้องเรียกว่าอาฮั่ว

“พ่อไม่ต้องห่วงนะ หนูรู้ขอบเขตดี ถ้ามองไม่เห็นก็จะไม่อ่านต่อค่ะ”

เสี่ยวเถียนเมินภาพฮั่วซือเหนียนดูแลเสี่ยวเหมยแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ หลังจากนั้นเด็ก ๆ คนอื่นก็เริ่มหยิบออกมาอ่านบ้าง

โอ๊ะ เหมือนซื่อเลี่ยงจะเจอปัญหาเพราะตัวเองไม่ได้เอามาด้วย แต่ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าเขาทำมือเหมือนกำลังเขียนอักษรอยู่

ตอนนั้นเองที่อาจารย์ฉั่วรู้สึกว่าถ้าไม่อ่านบ้างก็คงเข้ากับคนกลุ่มนี้ไม่ได้ ไม่ได้การแล้ว เขาตัดสินใจแล้วว่าจากนี้ไปต้องตั้งใจอ่านหนังสือกับเขาบ้าง

แต่หลังจากนั้นก็ต้องสลดใจที่พบว่าคนอื่น ๆ ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือมาก ในขณะที่เขาเป็นคนขี้เบื่อ เหมือนว่าจะมีแค่เหล่าซานที่ตนสามารถคุยด้วยได้

โชคดีที่อีกฝ่ายอัธยาศัยดี รู้จักพูดจา

ระหว่างสนทนาพวกเขาระมัดระวังอารมณ์ของฝั่งตรงข้าม ฮั่วซือเหนียนจึงไม่รู้สึกอึดอัดหรือเบื่อเลย

ฉืออี้หย่วนมองชายคนนั้น แล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าอาฮั่วหรือเปล่า?

ก็ดูสิ เขาคุยกับอาสามสนุกมากเลยไม่ใช่หรือ? แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นความเข้าขาของคนวัยเดียวกัน! โดยที่ไม่รู้เลยว่าไอ้ความคิดนั้นมีแต่จะทำให้ฮั่วซือเหนียนเสียใจตายเท่านั้น

พอฟ้ามืด ไฟบนรถพลันสว่างขึ้น ถึงจะไม่ได้สว่างมากอะไรแต่ก็สว่างพอให้เราอ่านหนังสือได้

เด็ก ๆ ทุกคนตั้งใจอ่านหนังสืออย่างจริงจัง และเวลาอ่านพวกเขาก็ก้มหน้าก้มตาอ่านท่าเดียวไม่สนใจอะไร

เหล่าซานและฮั่วซือเหนียนรับหน้าที่คุ้มกันเด็ก ๆ เอาไว้ แล้วสนทนากันต่อ

กลุ่มคนที่เฝ้ามองได้แต่ตกตะลึง

มันจะมีใครในโลกที่รักการอ่านหนังสือขนาดนี้ด้วยหรือ? แม้กระทั่งอยู่บนรถไฟก็ยังอ่านอย่างเป็นจริงเป็นจัง?

กระทั่งถึงเวลาสี่ทุ่มครึ่ง ไฟบนรถดับลง

เด็ก ๆ เก็บหนังสือ

คนอื่น ๆ บนรถหลับกันหมดแล้ว เหล่าซานเอ่ยขึ้น “เด็ก ๆ นอนแต่หัววันหน่อยเถอะ เดี๋ยวพวกเราดูสัมภาระให้”

เสี่ยวเถียนตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ อีกทั้งบนนี้ยังไม่มีพืชพรรณที่ไหนคอยบอกเล่าเหตุการณ์โดยรอบให้ จึงไม่ทันสังเกตว่ามีกลุ่มคนจ้องมองอยู่ตรงมุมตู้โดยสาร

แต่เพราะเป็นคนที่ระมัดระวัง พอได้ยินว่ากำลังจะดับไฟลง เธอจึงคิดขึ้นทันทีว่าอาจมีอันตรายอยู่ จึงมองไปรอบ ๆ คอยตรวจสอบโดยอัตโนมัติ

เธอไม่ได้จริงจังอะไรมาก แต่ก็พบว่าเหมือนจะมีคนที่มีปัญหาอยู่จริง ๆ แถมยังสังเกตเห็นอีกว่าพวกเขาแอบมองมาที่เรา

เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ชายพวกนั้นมองจริงไหม เสี่ยวเถียนจึงอ้างว่าจะไปห้องน้ำก่อนจะผุดลุกขึ้น

และแน่นอนว่าแววตาของคนพวกนั้นเป็นประกายทันที จากนั้นก็รีบก้มหัวหลบอย่างไว

“เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนนะ” เสี่ยวเหมยไม่รู้ว่าเสี่ยวเถียนเจออะไรเข้า แค่คิดว่าน้องจะไปห้องน้ำจึงจะตามไปด้วย

สองพี่น้องจูงมือกันเดินไป

รถไฟรอบนี้ดีหน่อยตรงที่ในตู้ไม่ถือว่าแน่นพิเศษ แต่อย่างน้อยก็ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ง่ายขนาดนั้น

และทิศทางห้องน้ำตรงกับที่คนกลุ่มนั้นอยู่พอดี เห็นได้ชัดเลยว่าพอพวกเขาเห็นสองสาวสีหน้าประหม่าทันที

เห็นกันจะ ๆ ว่าตั้งใจตรงมาที่ตนเอง

เธอมั่นใจในระดับนึงว่าพวกเขาหมายตาเราแน่ ๆ หรือจะบอกว่าเล็งสินค้าที่เราเอามามากกว่า

เธอไม่ค่อยสบายใจเลย ถึงจะแน่ใจว่าพวกเขาไม่น่าฉวยโอกาสแต่ยังไงก็ยังไม่วางใจอยู่ดี

ตอนเธอกลับมานั่งที่เดิม สายตายังคงจ้องมองคนพวกนั้นอยู่เงียบ ๆ เธอกระทำอย่างระมัดระวังกลัวไก่จะตื่นกันเสียก่อน

แต่เดิมคนบ้านซูฉลาดอยู่แล้ว ยิ่งเป็นบรรยากาศอย่างนี้ยิ่งคุ้นเคยดี ถึงจะสบตาเพียงแวบเดียวก็เข้าใจกันแล้ว

แค่คำใบ้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากน้องสาวก็สังเกตได้เช่นกัน

เดิมทีพวกเราก็มีนิสัยระมัดระวังตัวมากอยู่แล้ว แถมยังรู้ด้วยว่าตอนนี้เราอยู่ห่างไกลจากบ้าน ถึงจะไม่แน่ใจความคิดลึก ๆ ของฝ่ายนั้น แต่คงเป็นการดีกว่าถ้าเราเก็บข้อมูลมาก่อน

พวกเขาตัดสินใจทำเป็นสุมหัวกันคุย

ในจังหวะที่ฝ่ายนู่นมองเห็นไม่สะดวก เราลอบมองแล้วสังเกตสิ่งรอบข้างเพื่อให้แน่ใจว่ามีกี่คนที่หมายตาเรากัน

สิ่งที่หมายปองไม่ใช่พวกเราแต่เป็นเงินมากกว่า เป็นเงินที่มาจากสินค้าที่เราเอามา

“ผมเห็นสี่คน พวกพี่ล่ะ?”

ฉืออี้หย่วนลดตัวลงก่อนจะหันไปคุยกับพวกซื่อเลี่ยงที่อยู่ข้าง ๆ

อันที่จริงการเดินทางครั้งนี้ราบรื่นมาก เราเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์ออกไปที่ไหนไกล ๆ เลยด้วย และเดิมทีก็ไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าจะมีคนปองร้าย

เพราะในความคิดเด็ก ๆ มีแค่เรื่องลักเล็กขโมยน้อยอะไรทำนอง แต่การใช้สายตามองและเตรียมจะลงมือแย่งเนี่ย นี่คือการปล้นแล้ว มันไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย

และตอนนี้เราก็เห็นตัวการแล้วด้วย

“พี่ก็เห็นสี่คนเหมือนกันแต่ไม่คิดว่าเขาเก่งอะไรนะ ถ้าจะลงมือเขาชนะเราไม่ได้หรอก!”โส่วเวินยิ้ม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ

เสี่ยวเถียนเองก็เห็นด้วยคำพูดพี่ใหญ่ คนพวกนั้นดูเหมือนหุ่นไล่กาไร้ประโยชน์เลย

ถึงเราจะไม่ได้มีความสามารถอะไรมาก แต่อย่างน้อยพวกเราก็เก่งนะ

“ลุกขึ้นสู้เลยไหม?” ซานกงตื่นเต้นมาก ถึงขนาดหักนิ้วรอด้วยซ้ำ

“ไม่ได้ ๆ!” ฮั่วซื่อเหนียนรีบพูด “เขายังไม่ได้ทำอะไรเราเลย ถ้าเราไปหาเรื่องก่อนเราจะเป็นฝ่ายผิดนะ”

“ถ้าจำไม่ผิด เหมือนพวกเขาจะตามเราขึ้นรถไฟมานะ หลังจากนั้นอาจจะเลือกจังหวะที่เราหลับก็ได้” ซื่อเลี่ยงใจเย็นมาก

ในขณะที่รอคอยกำลังจะทำบางสิ่ง มันมีเวลาให้ลงมือเสมอ แล้วทำไมต้องรีบด้วยล่ะ?

ฉืออี้หย่วน “สถานีแรกที่รถไฟจะจอดคือสี่ทุ่มครึ่ง ใกล้จะถึงแล้วด้วย ตอนนี้คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้หลับ พวกเขาคงยังไม่ลงมืออะไร”

“ที่พี่อี้หย่วนจะบอกคือ พวกเรามีกันเยอะแต่ฝ่ายนั้นมีน้อยสินะ อีกอย่างบนรถไฟมีผู้โดยสารแล้วก็เจ้าหน้าที่เยอะเลยด้วย ไม่น่ามีทางปล้นกันซึ่ง ๆ หน้าหรอก แต่เรื่องขโมยก็ไม่แน่”

“พี่ว่าพวกเขาน่าจะวางแผนขโมยตอนสถานีที่สอง ตอนนั้นจะเป็นเวลา 02:25 นาที เวลาที่ลงมือคงราว ๆ ตีหนึ่งครึ่ง เวลานี้คนจะหลับสนิทที่สุด”

ฉืออี้หย่วนเห็นด้วยกับที่เสี่ยวเถียนว่า ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่คาดการณ์ไว้ออกไป

หากคนเหล่านี้โจมตีตอนที่เราหลับและเอาของไปทันทีเลย หลังจากลงที่สถานีแล้วก็จะรอกระทั่งรุ่งสางจึงจะสามารถกลับไปหรงเฉิงได้

แต่ถ้าเรารอแบบนี้จนถึงเวลานั้นได้เพลียตายแน่ นั่นแหละคือปัญหาที่จะต้องเจอ