ต้วนมู่เฉิงดีใจที่ได้ยินคำสั่งการของผู้เป็นอาจารย์ “ครับ ท่านอาจารย์! ศิษย์จะแจ้งให้ทุกคนได้ทราบในทันที”
ไม่นานนักสาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าทั้งหมดก็ได้รับคำสั่งของลู่โจว
…
ภายในศาลาทางใต้ นอกจากฮั๊ววู่เด๋า ผู้อาวุโสทั้งสามคนที่เหลือต่างก็ถอนหายใจ
“ไม่ว่ายังไงผู้อาวุโสก็ต้องคอยปกป้องเด็กๆ อยู่เสมอ…”
“เด็กคนนั้น ยู่เฉิงไห่ทำให้ท่านปรมาจารย์เป็นกังวลอยู่ตลอด…”
“ยังไงซะเขาก็ยังเป็นอาจารย์ของเจ้าสำนักฝ่ายอธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่ดี…พวกเจ้าทั้งสองคนจะทำยังไงถ้าหากยู่เฉิงไห่คนนั้นกลับมา?”
…
ในขณะเดียวกันศิษย์สาวกทั้งหมดก็รีบเดินทางไปยังศาลาทางเหนือในทันที
ไม่นานนักรถม้าล่องเมฆาก็ได้ลอยออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป
…
หลังจากผ่านการต่อสู้มากว่าหลายวันหลายคืน การต่อสู้ที่ยิ่งกินเวลานานก็ยิ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากขึ้น
การขาดพลังลมปราณและอากาศอย่างต่อเนื่องจากเขตแดนพลังทั้งสิบมีแต่จะทำให้ทุกคนหายใจไม่ออกมากขึ้นเรื่อยๆ อุณหภูมิที่สูงขึ้นก็ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกเหนื่อยล้าได้มากกว่าเดิม
หลายคนไม่รู้ตัวว่าของเหลวที่ไหลออกมาเป็นเลือดหรือว่าเหงื่อกันแน่
ยู่เฉิงไห่ยังคงเอามือไขว้หลัง ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มต้นจนมาถึงตอนนี้ ตัวเขาได้แต่เหลือบมองหลิวกู่ผู้ที่อยู่บนรถม้ามังกรโดยไม่คลาดสายตา
การปะทะกันระหว่างอาวุธ เสียงของการสังหาร และเสียงโห่ร้องดังขึ้นอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
ยู่เฉิงไห่กวาดสายตามองไปรอบๆ ชั่วครู่ ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
สีวู่หยาเป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างยู่เฉิงไห่มาโดยเสมอ แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่อาจหลบการสังเกตของสีวู่หยาไปได้ “ไม่ต้องห่วงไปศิษย์พี่ใหญ่ สาวกของสำนักอเวจีทุกคนล้วนแต่ฝึกฝนร่างกายกันมาเป็นอย่างดี ผู้ฝึกยุทธที่ยังมีพลังวรยุทธไม่สูงมากพอมักจะอยู่แถวหลัง ถ้าหากการต่อสู้ยังคงกินเวลาต่อไป ทหารของราชสำนักจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่…ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราไม่อาจหลีกหนีความสูญเสียในระหว่างการทำสงครามได้ ได้โปรดใจแข็งไว้ด้วย!”
ยู่เฉิงไห่พยักหน้า ดวงตาของเขาในตอนนี้จับจ้องไปที่ด้านหน้าอย่างมุ่งมั่น
สีวู่หยาพูดต่อ “พวกเราควรจะระวังผู้ฝึกยุทธที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองมากกว่า พวกเขาจะต้องคอยฉวยโอกาสในยามที่พวกเราอ่อนแอแน่”
“เจ้าพวกนั้น!” ยู่เฉิงไห่ถ่มน้ำลาย “ไว้ข้าตัดหัวของหลิวกู่ได้เมื่อไหร่ ข้าจะฆ่าพวกมันทั้งหมดแน่!”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านในตอนนี้ต้องจัดการกับหลิวกู่และหวางเย่วให้ได้ ส่วนคนอื่นๆ ข้าจะจัดการเอง”
“ดี”
ในตอนนี้แม่ทัพใหญ่ทั้งแปดที่เหลืออยู่มีเพียงหวางเย่ว แม่ทัพประตูทางตอนใต้เท่านั้น ชายคนนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นพวกฉลาดแกมโกง ชายคนนี้ชอบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดก่อนที่จะทำการลอบโจมตีนั่นเอง
สีวู่หยาพยายามหาตัวหวางเย่วตั้งแต่ที่เขตแดนพลังทั้งสิบถูกเปิดใช้งาน แต่น่าเสียดาย หวางเย่วยังไม่เคยปรากฏตัวจนถึงตอนนี้
ซู่วว!
ม่านพลังบนท้องฟ้าเริ่มส่องแสงเปลี่ยนไป
สีวู่หยาที่เงยหน้าขึ้นรู้ตัวในทันที “นี่คือช่วงเวลาอ่อนแอของเขตแดนพลังทั้งสิบ! ต้องจัดการกับองค์จักรพรรดิให้ได้ในเวลานี้!”
ยู่เฉิงไห่ได้ถือกระบี่นิลโลหิตเอาไว้ในมือก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น สิ้นสุดคำพูดของสีวู่หยาตัวเขาก็พุ่งเข้าหารถม้าในทันที
ทหารราชสำนักหลายคนพยายามที่จะหยุดยู่เฉิงไห่เอาไว้ แต่ถึงแบบนั้นทุกคนก็ถูกกระบี่นิลโลหิตจัดการไปอย่างรวดเร็ว
ฉั๊วะ! ฉั๊วะ! ฉั๊วะ!
เมื่อกระบี่นิลโลหิตเฉือนโดนเกราะของเหล่าทหาร ชุดเกราะพวกนั้นก็แตกสลายในทันที!
ถ้าหากจะเปรียบเทียบว่าใครเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ในเขตแดนพลังทั้งสิบมามากที่สุด คำตอบนั้นก็คือยู่เฉิงไห่อย่างไม่ต้องสงสัย วิธีการจัดการศัตรูในทันทีรวมไปถึงการเคลื่อนไหวให้ประหยัดพลังที่สุดยู่เฉิงไห่ล้วนแต่เตรียมตัวมาอย่างดี การเหวี่ยงกระบี่ของเขาเป็นผลลัพธ์มาจากการฝึกฝนตัวเองอย่างนับไม่ถ้วน
“บุกกก! พิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ภายในหนึ่งชั่วโมง!”
สาวกสำนักอเวจีกว่าหลายหมื่นคนต่างก็กูไปด้านหน้า
ซู่วว!
ม่านพลังบนท้องฟ้าเริ่มจางหาย แต่ถึงแบบนั้นบรรยากาศที่มีก็ยิ่งน่าอึดอัด
“หยุดเจ้าพวกนั้นให้ได้! พวกเจ้าคือนักรบที่ดีที่สุดของข้า!” หลิวกู่โบกมือขึ้นเพื่อสั่งการเช่นกัน
ทหารจากราชสำนักทั้งหลายต่างก็กูไปยังด้านหน้า
ซู่วว!
ในตอนนั้นเองดูเหมือนว่าแรงโน้มถ่วงที่มีจะเพิ่มสูงขึ้น
ทหารม้าหลายคนตกจากหลังม้าของตัวเอง
ฮี๊!
ม้าศึกทั้งหลายต่างก็คุกเข่าลง
แคร๊ก! แคร๊ก! แคร๊ก!
พื้นดินรวมไปถึงหินที่อยู่บนพื้นเริ่มแตกร้าว
“ถอดชุดเกราะ! ทุกคนถอดชุดเกราะเร็วเข้า!”
สายตาของหลิวกู่เฉียบแหลมไม่ต่างกับพญาอินทรี ตัวเขามองไปที่สีวู่หยาที่เพิ่งจะสั่งการก่อนจะเอ่ยปากถามออกมา “เจ้ารู้จักเขตแดนพลังทั้งสิบอย่างงั้นสินะ?”
นอกเหนือไปจากการตัดพลังลมปราณแล้ว เขตแดนพลังทั้งสิบยังคงมีผลพิเศษอีกหลายอย่างที่เกิดขึ้นแบบสุ่ม ไม่ว่าจะเป็นอากาศร้อนจัดหรือเย็นจัด ลมพายุอันปั่นป่วน
หลังจากที่แรงดึงดูดเพิ่มสูงขึ้น ทหารที่ไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งอะไรต่างก็ต้องหยุดเคลื่อนไหว ทุกคนต่างก็หอบเหนื่อยก่อนจะนั่งอยู่บนพื้น
ในบรรดาสาวกของสำนักอเวจีทั้งหลาย ทหารกว่าหลายคนยังคงสวมชุดธรรมดาในขณะที่เดินสวนกับทหารของราชสำนักไป
“นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน?”
สีวู่หยาพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “พวกเราได้เตรียมการทั้งหมดเอาไว้แล้ว…จัดการพวกมันซะ!”
แม้ว่าการเคลื่อนไหวของเหล่าสาวกในตอนนี้จะเชื่องช้า แต่ถึงแบบนั้นมันก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับทหารของราชสำนักที่ถูกตรึงไว้อยู่กับที่ เพียงแค่การเหวี่ยงอาวุธแค่ครั้งเดียวมันก็มากพอที่จะปลิดชีวิตของใครสักคนได้!
ยู่เฉิงไห่มองไปที่รถม้ามังกรก่อนที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยเสียงฝีเท้าอันมั่นคง
ตึ่ก! ตึ่ก! ตึ่ก!
เพียงครู่เดียวเท่านั้นยู่เฉิงไห่ก็มายืนอยู่ต่อหน้ารถมังกร ยู่เฉิงไห่ได้กวัดแกว่งกระบี่ด้วยทั้งสองข้างไปที่รถม้ามังกรอย่างสุดพลัง
รถม้ามังกรสั่นไปทั้งคันเมื่อต้องพบกับการโจมตีของกระบี่
ยู่เฉิงไห่เพ่งความสนใจทั้งหมดก่อนที่จะใช้กระบี่ฟาดฟันอีกครั้ง!
พรึ๊บ!
“ก็ได้ เจ้าคงจะไม่หยุดต่อสู้แน่ถ้าหากไม่ตายกันไปข้างหนึ่ง!” หลิวกู่หันกลับมาก่อนที่จะชักดาบออกจากทหารที่คอยคุ้มกัน หลิวกู่ได้กระโดดลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว
ตู๊ม!
แผ่นหินบนพื้นดินในรัศมีกว่าหลายสิบเมตรต่างก็ได้รับความเสียหาย เท้าของหลิวกู่ได้ทิ้งรอยเท้าลึกไว้บนพื้นหิน
ยู่เฉิงไห่ยกกระบี่ขึ้นมาก่อนจะชี้ไปยังหลิวกู่ “เยี่ยมมาก!” ทันทีที่พูดจบตัวเขาก็พุ่งไปที่ด้านหน้า ถ้าหากไร้ซึ่งพลังวรยุทธ ภายในพื้นที่ที่มีแรงโน้มถ่วงเพิ่มมากขึ้น ในตอนนี้คงจะไม่มีใครที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสง่างามหรือน่าเกรงขามได้ สิ่งที่ต้องการพึ่งพามีเพียงกำลังและกระบวนท่าเท่านั้น!
แคล๊ง! แคล๊ง! แคล๊ง!
ยู่เฉิงไห่เหวี่ยงกระบี่ของตัวเอง
หลิวกู่เองก็เช่นกัน เขาไม่ยอมเปิดเผยจุดอ่อนแม้แต่น้อย
ทั้งสองคนต่างก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
สีวู่หยาตกใจเล็กน้อย “องค์จักรพรรดิเองก็มีร่างกายแข็งแกร่งอย่างงั้นเหรอ?” สีวู่หยารีบตรวจสอบสถานการณ์ต่อ
นอกเหนือจากสาวกจากสำนักอเวจีจำนวนหนึ่งที่ยังเคลื่อนไหวได้ ทุกๆ คนในตอนนี้ยังคงขยับไปไหนไม่ได้ ทหารราชสำนักส่วนใหญ่สวมชุดเกราะหนักเกินกว่าที่จะขยับตัวได้ เมื่อทุกคนถอดชุดเกราะเสร็จ เมื่อถึงตอนนั้นการต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะถูกฆ่าและเข่นฆ่าไปมากดแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นหลิวกู่ก็ยังสามารถต่อสู้กับยู่เฉิงไห่ได้อย่างสูสี
แคล๊ง!
หลิวกู่จับดาบด้วยมือทั้งสองข้างก่อนที่จะใช้มันจู่โจม
ยู่เฉิงไห่ได้ใช้มือทั้งสองข้างจับกระบี่รับการโจมตี ตัวเขาได้ถอยไปหลายก้าวก่อนที่จะเหวี่ยงกระบี่อีกครั้ง!
หลังจากปะทะไปกว่าหลายรอบ ใบหน้าของทั้งสองฝ่ายก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
ดวงตาของทั้งคู่ต่างก็จับจ้องกันและกัน!
“ชาววู่เฉียนมักจะเกิดมาพร้อมกับความกล้าหาญและความแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องตกใจกับเรื่องนี้ ศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้า” ยู่เฉิงไห่พูด
“ข้าจะช่วยท่าน!” สีวู่หยาพยายามก้าวไปยังด้านหน้า ในเวลานั้นเองตัวเขาก็พบว่าร่างกายกำลังหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่ไม่เคยฝึกฝนร่างกายมาอย่างดี เมื่อต้องพบกับแรงโน้มถ่วงของเขตแดนพลังทั้งสิบมันก็ไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย
“ไม่จำเป็นจะต้องช่วยข้า…ข้าอยากจะรับมือกับหลิวกู่ด้วยมือตัวเอง!” ยู่เฉิงไห่พูด
หลิวกู่พูดต่อ “ดูเหมือนว่าพวกเราจะเห็นตรงกันนะ”
พรึ๊บ!
หลิวกู่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วด้วยดาบของตัวเอง
แคล๊ง! แคล๊ง! แคล๊ง!
ยู่เฉิงไห่ที่จับกระบี่ด้วยมือทั้งสองข้างถอยกลับมา แขนของเขาชาไปทั้งแขนก็เพราะแรงกระแทกที่ได้รับ
ทั้งสองฝ่ายยังคงต่อสู้กันต่อไป
การปะทะกันกว่าหลายสิบรอบจบลงภายในพริบตา
แคล๊ง!
ดาบและกระบี่ปะทะกันอีกครั้ง!
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถอยกลับมา
ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อของทั้งคู่กำลังจับจ้องกันอย่างไม่หยุดพัก
ยู่เฉิงไห่ที่ถอยกล่าวอย่างใจเย็น “เจ้าแพ้ไปแล้ว…ราชสำนักของเจ้าจะต้องถูกข้าทำลาย ไม่ว่าเจ้าจะมีเขตแดนพลังหรือไม่ ยังไงซะเจ้าก็สู้ข้าไม่ได้ ผิงอัน ข้าบอกเจ้าไปแล้วสินะว่าข้าจะตัดหัวเจ้า”
พรึ๊บ!
ยู่เฉิงไห่ชี้ไปยังหลิวกู่ด้วยกระบี่นิลโลหิต
หลิวกู่หัวเราะออกมาเบาๆ “ถ้าข้าสามารถฆ่าเจ้าได้อีกเพียงครั้งเดียว ข้าก็จะฆ่าเจ้าแน่…”
ในตอนนั้นเองม่านพลังก็เริ่มจะเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
ซู่วว!
เขตแดนพลังได้เปลี่ยนแปลงไป ในตอนนี้พลังแรงดึงดูดได้หายไปอย่างสมบูรณ์แบบ
สีวู่หยารีบสั่งการในทันที “จับกลุ่มเล็กๆ เอาไว้!”
หลิวกู่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ตัวเขารีบผลักตัวออกจากพื้นอย่างนุ่มนวลก่อนที่จะฟาดฟันเข้าใส่ยู่เฉิงไห่
ในตอนนี้ไร้ซึ่งพลังลมปราณและพลังวรยุทธใดๆ ที่ทุกคนสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วขึ้นเป็นเพราะแรงโน้มถ่วงที่ได้หายไปนั่นเอง
แคล๊ง! แคล๊ง! แคล๊ง!
หลิวกูใช้ดาบโจมตีอีกหลายครั้ง
ยู่เฉิงไห่กระทืบเท้าลงบนพื้นก่อนที่จะลอยขึ้นไปบนอากาศกว่าหลายสิบเมตร