ในตำหนักบูรพา ทุกความรุ่งโรจน์ ทุกความตกต่ำ ล้วนขึ้นอยู่กับไท่จื่อเพียงผู้เดียว
การปลดไท่จื่อครั้งที่แรก เหล่าข้าหลวงชุดเดิมถูกปลดออกจากตำแหน่ง ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ฉะนั้นตอนนี้ เหล่าข้าหลวงที่ปฏิบัติงานอยู่ในตงกงส่วนใหญ่เป็นคนงานชุดใหม่ จากที่เห็นแลดูเหมือนว่าคนเก่าคนแก่จะมีแค่คนเดียว แม้แต่ก่อนเขามิได้เป็นที่โปรดปราน ทว่าบัดนี้กลับกลายเป็นคนสนิทของไท่จื่อ
แต่ถึงจะเป็นคนสนิทของไท่จื่อ แต่ก็ใช่ว่าข้าหลวงผู้นั้นจะรู้สึกปลาบปลื้มใจ
เพราะเขาต้องทนดูเพื่อนร่วมงานเผชิญกับความทุกข์ยาก เดิมทีหลงคิดว่าไท่จื่อได้กลับมาดำรงตำแหน่งคราวนี้ เขาคงจะได้ใช้ชีวิตสุขสงบ แต่ไม่คิดว่าไท่จื่อก็ยังคงเป็นไท่จื่อคนเก่า ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
“เจ้าว่าข้าควรทำเช่นไร เสด็จพ่อเจ็บไข้หนนี้ องค์ชายองค์อื่นๆ ได้เข้าเฝ้ากันหมด แม้แต่พระชายาของข้าและไท่ซุนก็ยังได้เข้าเฝ้า มีเพียงแต่ข้า…” ไท่จื่อหดหู่เกินจะกล่าว รากผมเริ่มผุดขึ้นมาเป็นสีเงิน
ข้าหลวงใคร่ครวญก่อนจะตอบ “ที่ฝ่าบาททรงไม่อนุญาตให้พระองค์เข้าเฝ้าอาจเป็นเพราะฝ่าบาทยังกริ้วอยู่ จากที่กระหม่อมเห็น พระองค์คงต้องแสดงถึงความจริงใจมากกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะต้องแสดงออกความกตัญญูจากใจจริง ฝ่าบาทจึงจะทรงใจอ่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “จะว่าไป ในเมื่อเสด็จพ่อไม่ให้ข้าเข้าเฝ้า แล้วข้าจะแสดงความจริงใจได้อย่างไร หรือต่อให้ข้าแสดง เสด็จพ่อก็ไม่มีทางเห็น ไม่มีทางได้ยิน”
“พระองค์ตรัสผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าพูดผิดตรงไหน” ไท่จื่อขมวดคิ้วถามข้าหลวงผู้นั้น
ข้าหลวงเอ่ยเสียงเบา “ต่อให้ฝ่าบาทมิได้ทอดพระเนตร หรือมิทรงได้ยินด้วยพระกรรณของพระองค์เอง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนไปรายงานฝ่าบาทอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งนั่นมิได้ต่างกันเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยคิดวิธีหน่อย เพราะข้าจะไม่ปล่อยให้คนอื่นเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ และเหลือแต่ข้าคนเดียวอีกแล้ว”
……
วันถัดมา เหล่าองค์ชายก็เข้าวังมาเยี่ยมจิ่งหมิงฮ่องเต้อย่างเช่นวันวาน
ไม่นานนัก พานไห่ก็เดินออกมาเชิญทั้งหมดเข้าไป และเหมือนเดิมคือยกเว้นไท่จื่อเพียงคนเดียว
หลู่อ๋องชำเลืองไปที่ไท่จื่อแวบหนึ่งลอบยิ้มก่อนจะกล่าว “พี่รอง ในเมื่อเสด็จพ่อมิทรงอนุญาตให้พี่เข้าเฝ้า พี่ก็กลับตำหนักไปเถิด”
ไท่จื่อปราดสายตาดุดันไปหาหลู่อ๋อง ทว่ามิได้ตอบโต้
หลู่อ๋องประหลาดใจเล็กน้อย
เอ๋ ไท่จื่อสงบปากสงบคำกับเขาเป็นด้วยหรือ
ความเจ็บแปลบแล่นมาจากเอว เพราะพระชายาหลู่อ๋องเอื้อมมือมาหยิกผู้เป็นสามี
“ท่านอ๋องยังไม่รีบเข้าไปล่ะเพคะ” ปากของพระชายาหลู่อ๋องเปื้อนยิ้ม ทว่าในใจมิได้ยิ้มตาม นางกลับรู้สึกโมโหเสียมากกว่า
ปากบอนเสียเหลือเกิน ยั่วโมโหไท่จื่อไม่เว้นวัน หากไท่จื่อได้ขึ้นครองราชย์เมื่อไหร่ พวกเขาคงมิได้ตายดี
หลู่อ๋องลูบจมูก “ไปเถอะ”
เขาว่าผิดแล้ว มิใช่ไท่จื่อที่รู้จักสงบปากสงบคำ เขาต่างหากที่รู้จักสงบปากสงบคำ
เพราะไท่จื่อก็ยังเป็นไท่จื่อ หากวันใดได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากฮ่องเต้ ต่อให้เขาจะรู้สึกขัดหูขัดตาเพียงใดคงทำได้เพียงอดทนเอาไว้
ถ้าเช่นนั้น… หลู่อ๋องชะงักฝีเท้า มีแสงวาบผ่านแววตา
หรือควรหาจังหวะกำจัดไท่จื่อ!
เป็นครั้งแรกที่มีความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นในสมองของหลู่อ๋อง
เมื่อทุกคนเยี่ยมจิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นไท่จื่อคุกเข่าอยู่ที่บันไดหินหน้าตำหนัก
“น้องรอง นี่เจ้ากำลัง…”
ไท่จื่อช้อนตาขึ้นมองฉินอ๋องที่เอ่ยปากเป็นคนแรก “ข้าทำให้เสด็จพ่อกริ้ว ข้าจะคุกเข่าอยู่ที่นี่จนกว่าเสด็จพ่อจะทรงยกโทษให้ และข้าจะคุกเข่าเช่นนี้เพื่อขอพรให้เสด็จพ่อหายประชวรโดยเร็ว”
สายตาทุกคนเปลี่ยนไปในทันใด
นี่ไท่จื่อคิดได้แล้วหรือ
คนที่ไม่อยากอยู่ในวังหลวงนานๆ อย่างฉินอ๋องกล่าวอย่างสุภาพ “น้องรองถนอมร่างกายไว้เถิด พื้นเย็นเพียงนี้”
“จริงด้วย พี่รอง คุกเข่านานๆ จะเจ็บเข่าเอานะ” ฉีอ๋องแสดงความห่วงใย
“ขอบใจทุกคนมากที่เป็นห่วงข้า หากการทำเช่นนี้จะทำให้เสด็จพ่อหายโกรธ และร่างกายกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าหนักหนา” ไท่จื่อกล่าวเคร่งขรึม
ที่บริเวณหน้าประตูนอกพระราชวัง หลู่อ๋องถอดถอนหายใจ “น่าเสียดายเหลือเกิน อดรอชมเรื่องสนุกเลย”
พระชายาหลู่อ๋องกลอกตาใส่ผู้เป็นสามี “รอดูเรื่องสนุกอะไรเล่า รีบกลับกันจวนกันเถิดเพคะ”
อีกด้านหนึ่ง เหล่าฉินตวัดแส้ม้า และรถม้าของจวนเยี่ยนอ๋องก็เคลื่อนตัวออกไป
ภายในรถม้า อวี้จิ่นกล่าวเสียดเย้ย “นึกไม่ถึงเลยว่าไท่จื่อจะงัดกลยุทธ์ทรมานกายออกมาใช้ ความสามารถเหลือล้นจริงๆ”
เจียงซื่อเอนหลังพิงหมอนอิง พลางกล่าวเนิบนาบ “การใช้กลยุทธ์ทรมานกายมิได้ซับซ้อน เพียงแต่เป็นการเดิมพันว่า คนที่ต้องรับมือกับกลยุทธ์เช่นนั้นจะใจอ่อนหรือไม่”
“เจ้าว่าเสด็จพ่อจะทรงใจอ่อนหรือไม่”
“เดายาก”
เนื่องจากนางกลับมาเกิดใหม่ ทำให้หลายเรื่องเปลี่ยนไปไม่เหมือนเก่า ฉะนั้นนางจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่าการปลดไท่จื่อครั้งที่สองจะเกิดขึ้นเมื่อใด
“เช่นนั้นคงต้องรอดูกันต่อไป ใจอ่อนเป็นการแสดงออกว่าเสด็จพ่อยังอาทรความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตรชายคนนี้ แต่มิได้หมายความว่าจะยอมให้ไท่จื่อขึ้นครองราชย์ต่อ” อวี้จิ่นกล่าวเสียงเรียบ
ในเมื่อเรื่องทั้งหมดดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ฮ่องเต้ยังไม่มีความคิดจะปลดไท่จื่อ นั่นคงเป็นคราวอวสานของแผ่นดินต้าโจวเป็นแน่แท้
……
ภายในตำหนักหย่างซิน พานไห่เอ่ยแผ่วเบา “ฝ่าบาท ไท่จื่อยังคุกเข่าอยู่ที่ด้านนอกอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ให้คุกเข่าต่อไป!” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวอย่างเดือดดาล
พานไห่ไม่กล้าพูดมาก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ
เหล่าองค์ชายมาเข้าเฝ้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ตั้งแต่เช้า บัดนี้เริ่มใกล้จะเข้ายามอู่เต็มที ไท่จื่อที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่บันไดหินเริ่มหน้ามืดตาลาย ในใจก่นด่าข้าหลวงสาดเสียเทเสีย
ไอ้เวรตะไลนั่นแนะนำบ้าอะไร เขาคุกเข่าจนตัวตาย เสด็จพ่อยังไม่เห็นเลย!
โอ้ยเจ็บๆๆ…
ไท่จื่ออยากลุกใจจะขาด เพียงแต่หวนนึกถึงความหวาดหวั่นพรั่นพรึงตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็ได้แต่กัดฟันคุกเข่าต่อไป
จะมาตกม้าตายตอนนี้ไม่ได้ หากทนต่ออีกหน่อย เสด็จพ่ออาจให้เข้าเฝ้าก็ได้ หากเสด็จพ่อเห็นบุตรชายน่าสงสารจะต้องใจอ่อนอย่างแน่นอน ตั้งแต่เล็กจนโต เขาทำให้เสด็จพ่อกริ้วตั้งไม่รู้กี่ครั้ง แต่สุดท้ายเสด็จพ่อก็ทรงใจอ่อนทุกครั้งไป…
ไท่จื่อหลับหูหลับตาเชื่อเช่นนั้น ภาพเบื้องหน้ามืดลงก่อนที่ร่างจะล้มกองบนพื้น
ขันทีรี่เข้าไปรายงานจิ่งหมิงฮ่องเต้
“ไท่จื่อเป็นลมไปแล้วงั้นรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองนาฬิกาทรายโดยพลัน
เพิ่งจะเข้ายามอู่ก็เป็นลมล้มพับไปแล้ว หากเป็นเจ้าห้าหรือเจ้าเจ็ด ให้คุกเข่ายันฟ้ามืดยังไปเป็นอะไรเลย
เมื่อคิดเช่นนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เกรี้ยวโกรธหนักกว่าเดิม
“พาไท่จื่อกลับไปที่ตงกง!”
ไท่จื่อฟื้นขึ้นมาก่อนจะพบว่าตัวเองอยู่ที่ตำหนักบูรพาเรียบร้อยแล้ว เขาผุดลุกขึ้นนั่ง “เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่”
ขันทีนายหนึ่งตอบ “พระองค์ทรงเป็นลมไปที่หน้าตำหนักหย่างซิน ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้พาพระองค์มาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“หมายความว่า เสด็จพ่อมิได้ออกมาดูข้าอย่างนั้นหรือ” ไท่จื่อรำพึง
ขันทีไม่กล้าส่งเสียง
“แล้วพระชายาล่ะ” ไท่จื่อเพิ่งนึกขึ้นได้
“พระชายาไท่จื่อกำลังต้มข้าวต้มอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของไท่จื่อคล้ำหม่นลงทันใด
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าข้าวต้มนั่นทำให้เสด็จพ่อ
หลายวันที่ผ่านมา พระชายาไท่จื่อลงมือปรุงข้าวต้มเองเพื่อนำไปถวายที่ตำหนักหย่างซิน ต่อให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่เสวย แต่ก็ทรงรับไว้ ซึ่งถือว่าเป็นการยอมรับน้ำใจของพระชายาไท่จื่อ
ไท่จื่อยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธดั่งเพลิงกัลป์
พระชายาไท่จื่อประจบประแจงเสด็จพ่อเพียงนี้ เพราะคิดว่าเขาไร้ประโยชน์งั้นหรือ เขาแค่ต้องรอให้เสด็จพ่อเปลี่ยนพระทัย หากได้เป็นกษัตริย์เมื่อไหร่ เขาจะปลดหญิงชั่วนางนี้ให้รู้แล้วรู้รอด!
ไม่ได้การล่ะ พรุ่งนี้ต้องไปคุกเข่าอีกรอบ!
แม้วันนี้คุกเข่าจนเป็นลมล้มพับไป แต่ถ้าพรุ่งนี้ไปอีก เสด็จพ่อจะต้องออกมาดูใจเขาอย่างแน่นอน
ไท่จื่อตัดสินใจแน่วแน่ แต่เมื่อลูบหัวเข่าบวมแดงแล้วก็อดลังเลไม่ได้
เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง บันไดหินเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ ถ้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นนานๆ จะทำให้ง่อยเปลี้ยเสียขาหรือเปล่า
เมื่อคิดดังนั้น ไท่จื่อก็เรียกนางในที่ ‘สนทนา’ เก่งเป็นที่สุดเข้ามา “เจ้าเย็บปักถักร้อยเป็นหรือไม่”
นางในผงกศีรษะรับ “เป็นเพคะ”
ไท่จื่อทำท่าเหมือนจะคุกเข่าลง “ทำนวมรองเข่าให้ข้าคู่หนึ่ง”
“หะ?” นางในตะลึง
ไท่จื่อปั้นหน้านิ่ง “ตกลงทำได้หรือไม่ได้”
นางในรีบตอบทันควัน “ทำได้เพคะ ไม่ทราบว่าพระองค์อยากได้แบบไหนหรือเพคะ…”
“เอาแค่หนาๆ ก็พอ” ไท่จื่อนึกถึงบันไดหินเย็นเยือกจึงรู้สึกว่ายิ่งหนายิ่งดี แต่ก็กลัวว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นจึงกล่าวเสริม “แบบที่ใส่เสื้อคลุมทับแล้วมองไม่เห็น เข้าใจหรือเปล่า”
นางในพยักหน้าด้วยอาการงงงัน “เข้าใจแล้วเพคะ”