บทที่ 567 ซูฉีฟื้นคืนชีพ เห็นแสงตะวันอีกครั้ง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 567 ซูฉีฟื้นคืนชีพ เห็นแสงตะวันอีกครั้ง

เมื่อมองลงไปจากมุมสูง ธารน้ำแข็งไร้ขอบเขตดูราวกับกระจกที่แตกร้าว รอยปริแตกนับไม่ถ้วนแผ่ขยายตัดสลับกลายเป็นหุบเหว ไอดำที่เล็ดลอดออกมากลายเป็นคลื่นหมอกโขมงพวยพุ่ง ขจัดความขาวโพลนทั่วพื้นที่ออกไป

แผ่นดินเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับมีสิ่งใหญ่โตมโหฬารอันใดกำลังจะทะลุพื้นออกมา

เวลานี้เอง

แสงทองมากมายส่องทะลุเมฆหมอก หลังจากเมฆหมอกสลายตัวไป เงาร่างที่ส่องแสงเจิดจ้าบาดตาก็ปรากฏขึ้นบนยอดเมฆาทีละร่าง เป็นเทพเซียนจากเผ่าสวรรค์

ผู้นำคือฟางเหลียง แม่ทัพเทพสวรรค์และยอดแม่ทัพเทพยืนอยู่ข้างกายเขา

ฟางเหลียงทอดสายตามองด้านล่าง ถามว่า “พวกเจ้ามองเบาะแสออกหรือไม่”

ยอดแม่ทัพเทพขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คล้ายมารทว่ามิใช่มาร กลับเหมือนเผ่าอสูรที่สิ้นผ่าพันธุ์ไปในมหาเคราะห์ครั้งก่อน”

แม่ทัพเทพสวรรค์พยักหน้ากล่าวว่า “มิผิด น่าจะเป็นเผ่าอสูร ได้ยินว่ายามที่เซวี่ยหมิงเหอจะดับสูญเคยสำแดงพลังวิเศษลึกลับอย่างหนึ่ง ต้องการหวนกลับมา”

ฟางเหลียงตกอยู่ในห้วงความคิด

ธารน้ำแข็งในรัศมีหลายสิบล้านลี้พังถล่ม หมอกน้ำแข็งที่พวยพุ่งล่องลอยสู่นภา ตระการตาน่าตะลึง

ท่ามกลางไอหมอกหนาทึบมองเห็นเงาร่างน่าสะพรึงอยู่เลือนราง ยากจะแยกแยะตัวตนที่แท้จริงได้

ฟางเหลียงโบกมือกล่าวว่า “จับตัวเจ้าสิ่งชั่วร้ายนี้!”

ยอดแม่ทัพเทพและแม่ทัพเทพสวรรค์พุ่งลงไปทันที เทพเซียนที่เหลือรีบตามหลังไป

….

ภายในเขตเซียนร้อยคีรี หานเจวี๋ยเพิ่งเริ่มแสดงธรรมได้ไม่ถึงปี

เขาพลันรับรู้ถึงกลิ่นอายทรงพลังที่ล่องลอยมาจากสุดเขตตอนเหนือ อย่างน้อยก็เป็นครึ่งอริยะ ไม่ด้อยไปกว่าสือตู๋เต้าเลย

หานเจวี๋ยไม่ได้หยุด แสดงธรรมพร้อมกับทอดสายตามองไกลออกไป

คณะที่มีฟางเหลียงเป็นผู้นำถูกตัวตนลึกลับนั้นข่มอย่างรุนแรง ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

หานเจวี๋ยไม่คิดจะลงมือช่วยเหลือ อีกอย่างฟางเหลียงไม่ใช่ลูกชายเขา ในเมื่อไปเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอก ก็มีราคาที่ต้องจ่าย

หานเจวี๋ยไม่สามารถปกป้องศิษย์ทุกคนในสำนักซ่อนเร้นได้ อีกทั้งฟางเหลียงไม่เคยกลับมาเลย หากมิใช่เพราะค่าความประทับใจไม่เคยลดลง เขาคงสงสัยว่าฟางเหลียงทรยศแล้ว

ไม่นานนัก หลี่เต้าคงก็ตามไปสมทบจากชั้นฟ้าที่ยี่สิบสาม การต่อสู้ฉากใหญ่น่าตื่นตะลึงอุบัติขึ้น

หลายพันปีผ่านไป หลี่เต้าคงแข็งแกร่งขึ้นอีกมากนัก ความเข้าใจในหมื่นกระบี่ก่อกำเนิดลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ด้อยไปกว่าตัวตนลึกลับนั้นเลย

ในเมื่อฝีมือพอๆ กัน เช่นนั้นหลี่เต้าคงก็ไม่มีทางแพ้

หานเจวี๋ยเริ่มทุ่มสมาธิแสดงธรรม

การแสดงธรรมครั้งนี้ดำเนินไปหนึ่งร้อยปี

แสดงธรรมหนึ่งร้อยปี ศิษย์ส่วนใหญ่ล้วนมีความก้าวหน้า แต่ตบะของเหล่าศิษย์สืบทอดไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด

หานเจวี๋ยแสดงธรรมมหามรรคต้นกำเนิดไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแล้ว สิ่งที่สมควรตระหนักรู้ก็ตระหนักรู้กันแล้ว แสดงธรรมอีกมากแค่ไหนก็ยากจะบังคับให้เข้าใจได้

ท่ามกลางความมืดมัว คุณสมบัติและทักษะความเข้าใจเสมือนโซ่ตรวนแห่งมรรคาสวรรค์ที่ผูกล่ามเหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นไว้

หมู่ศิษย์ในนามยามนี้ยังมิมีระดับเทพปรากฏกายขึ้น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เพิ่งระดับจักรพรรดิเซียนเจ็ดวัฏเท่านั้น

หากเป็นไปตามแนวโน้มนี้ ท่ามกลางบรรดาศิษย์ในนามนับล้านคงจะปรากฏครึ่งอริยะมาสักคน

หานเจวี๋ยครุ่นคิดพลางกลับไปที่อารามเต๋า

เขานั่งบนบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร เริ่มตรวจดูจดหมาย

เวลานี้เอง เขาพลันสัมผัสถึงบางอย่างได้ จึงหลับตาลง

ภายในโลกอนธการ ซูฉีกำลังเรียกหาหานเจวี๋ย

เสียงของหานเจวี๋ยแว่วขึ้นมา “มีเรื่องอันใด”

กลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลมาได้สักระยะ กายเนื้อของซูฉีควบรวมตัว ไม่แตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตแล้ว

“อาจารย์ เมื่อไรข้าจะได้ออกไปขอรับ ปราณฟ้าบุพกาลของที่นี่ทำให้ข้าก้าวหน้าไม่ได้แล้ว” ซูฉีรีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย

ถึงอย่างไรเขาก็เคยตายมาก่อน เขาจึงกังวลว่าหานเจวี๋ยจะไม่ปล่อยเขาออกไปอีก

ซึ่งหานเจวี๋ยก็คิดเช่นนี้จริงๆ

“ตอนนี้เจ้าควบคุมโชคร้ายได้หรือยัง”

“ได้แล้วขอรับ!”

หานเจวี๋ยจับสัมผัสดูอย่างละเอียด ซูฉีเก็บงำไว้ได้ดีมากจริงๆ ไม่เล็ดลอดออกมาเลย

เขาเริ่มใคร่ครวญดู

ซูฉีตกอยู่ในความกระวนกระวาย กลัวหานเจวี๋ยจะไม่ตอบตกลง

เขานึกย้อนกลับไปถึงเรื่องผิดพลาดเหล่านั้นที่ตนเคยกระทำ ยิ่งไม่มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น

หากเขาเป็นหานเจวี๋ย ก็ไม่มีทางปล่อยตนเองออกไปเช่นกัน

มิใช่ว่ากำเนิดใหม่แล้วจะลบล้างความผิดบาปได้!

ทันใดนั้นเอง!

ซูฉีรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน สองเท้าของเขาพลันแตะลงบนพื้น ทิวทัศน์รอบกายเปลี่ยนเป็นอารามเต๋าหลังหนึ่ง แสงเทพจากหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราทำให้เขาตาพร่า

“อาจารย์!”

ซูฉีคุกเข่าลงด้วยความตื่นเต้น น้ำเสียงสั่นเครือไปหมด

นานแค่ไหนแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้เห็นหานเจวี๋ยด้วยตาตนเอง

การรอคอยอันเนิ่นนานนี้มิใช่ชั่วชีวิตของโลกมนุษย์ แต่เป็นหนึ่งยุคสมัยมรรคาสวรรค์

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “นับจากนี้ไปก็พำนักอยู่ในเขตเซียนร้อยคีรี ห้ามออกไปไหน ไปหาสถานที่พักเอาเองเถิด”

ซูฉีพยักหน้ารับ ตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

ได้ออกมาเห็นแสงตะวันอีกครั้งก็ไม่เลวแล้ว เขาย่อมไม่กล้าเพ้อฝันจะได้เป็นอิสระอย่างสมบูรณ์

หลังเดินออกมาจากอารามเต๋า ซูฉีมองแสงตะวันเจิดจ้าแยงตา เขาร้องไห้ออกมา

“ข้ามีชีวิตอีกครั้งแล้ว…ครั้งนี้ ข้าจะไม่ตกเป็นเบี้ยอีกเด็ดขาด!”

สองมือของซูฉีกำแน่น หัวไหล่สะท้านด้วยอารมณ์ตื่นเต้น

จางเจี่ยว เฉาเชา และจิ้งจอกชาดลืมตามองเขาด้วยแววตาแปลกใจ

ซูฉีสังเกตเห็นพวกเขาจึงหันไปยิ้มให้ จากนั้นเดินเข้าไปพูดคุยด้วย

จางเจี่ยวและเฉาเชาไม่สนใจเขา กลับเป็นจิ้งจอกชาดที่กระตือรือร้นยิ่ง

จิ้งจอกชาดเป็นปีศาจน้อยที่หานเจวี๋ยรับมาตอนออกไปหาประสบการณ์ในแดนมนุษย์ เมื่อมาถึงเขตเซียนร้อยคีรี มันฝึกบำเพ็ญอย่างสงบมาโดยตลอด เพิ่งทะลวงถึงระดับเซียนแท้ไท่อี่เมื่อไม่นานมานี้

พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ซูฉีถึงจากไป เขาไปเยี่ยมเยือนศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักซ่อนเร้น

ในไม่ช้า เหล่าศิษย์สืบทอดต่างก็ได้รับข่าวว่าซูฉีฟื้นคืนชีพ ศิษย์สืบทอดทุกคนล้วนตกตะลึงยิ่ง

เป็นไปได้อย่างไรกัน!

ซูฉีสิ้นชีพไปแล้วมิใช่หรือ

พวกเขาต่างทราบว่าซูฉีเป็นผู้ปิดฉากมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตครั้งก่อน

แม้แต่หลี่เสวียนเอ้าก็มาหาซูฉีด้วย

ศิษย์สืบทอดทุกคนมารวมตัวกันใต้ต้นฝูซัง พวกเขาห้อมล้อมซูฉี ซักถามกันสารพัด

“อาจารย์คืนชีพให้เจ้าหรือ”

“เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าเจ้าทำอะไรลงไป”

“เจ้าทำลายล้างสรรพสิ่งได้อย่างไร แข็งแกร่งเกินไปแล้วกระมัง!”

“หลังจากสำแดงพลังวิเศษทำลายมรรคา เจ้าหนีรอดจากการทำลายล้างของมรรคาสวรรค์ได้อย่างไร”

“ไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ…”

เหล่าศิษย์ล้วนรู้สึกแปลกใจ ไก่คุกรัตติกาลถึงขั้นคิดว่าเขาเป็นแค่คนที่มีรูปลักษณ์ของซูฉีเท่านั้น

ซูฉีเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด หลังจากข้าตาย ข้าตกอยู่ในสภาวะหลับใหลมาโดยตลอด จนกระทั่งฟื้นตื่น ได้ยินเสียงของอาจารย์ ต้องเป็นอาจารย์ที่ช่วยข้าไว้แน่ๆ”

หลี่เสวียนเอ้าร้องจุ๊ๆ กล่าวว่า “แม้กระทั่งมหันตภัยมรรคาสวรรค์ก็สามารถพลิกผันได้ หรือว่าเจ้าสำนักจะเป็นบรรพชนเต๋ากลับชาติมาเกิดจริงๆ”

ก่อนหน้านี้เขาได้ยินไก่คุกรัตติกาลบอกว่าหานเจวี๋ยเป็นบรรพชนเต๋ากลับชาติมาเกิด เขายังไม่เชื่อ แต่เมื่อคิดดูดีๆ ก็มีเหตุผลเข้าเค้าจริง

หลังจากหานเจวี๋ยผงาดขึ้นมาบรรพชนเต๋าก็หายไป เวลาบังเอิญตรงกันเกินไปแล้ว

ซูฉีเอ่ยว่า “นับจากนี้ไปข้าจะฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่ ไม่ออกไปไหนอีกเด็ดขาด สำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมาในอดีต หวังว่าทุกท่านจะไม่นำมาล้อเลียนข้าอีก ข้าไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องมีเกียรติเลย”

เขาถอนหายใจคราหนึ่ง

หากมิใช่เพราะถูกบีบคั้นจนหมดหนทาง อีกทั้งถูกอริยะล่อลวง เขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร

ตอนนี้พอนึกย้อนขึ้นมา ในใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

เต้าจื้อจุนแค่นเสียง “หวังว่าเจ้าจะสำนึกผิดจริงๆ”

สีหน้าของจ้าวเซวียนหยวนและหลงเฮ่าก็ไม่น่ามองยิ่งนัก พวกเขาต่างเงียบงันมาตลอด

ในมหาเคราะห์ครั้งก่อน มิตรสหายใกล้ชิดของพวกเขาดับสูญไปไม่น้อยเลย ซูฉีเป็นตัวต้นเหตุ แม้จะถูกอริยะล่อลวง ทั้งสามคนก็ไม่มีทางลืมเลือนไปอย่างสิ้นเชิง

ไก่คุกรัตติกาลร้องขึ้นว่า “ซูฉี เข้าไปในแบบจำลองการทดสอบให้พวกเราทุบตีสักร้อยรอบเถอะ เจ้าห้ามเอาคืน ถือเสียว่าให้พวกเราระบายแค้นแทนสรรพสิ่งในมหาเคราะห์ครั้งก่อน”

ซูฉีถามด้วยความสงสัย “แบบจำลองการทดสอบคือสิ่งใด”

………………………………………………………………