บทที่ 559 ในที่สุดก็ลงมือ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 559 ในที่สุดก็ลงมือ

บทที่ 559 ในที่สุดก็ลงมือ

content warning : มีฉากบรรยายการคุกคามทางเพศผ่านความคิด

กระทั่งความอดทนของทั้งสองฝ่ายหมดลง เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้ามาจนถึง 01:30 น.

ชายหัวเกรียนลอบมองเงียบ ๆ และเมื่อแน่ใจแล้วว่าทุกคนรอบตัวหลับแล้ว เขาจึงวางแผนจะเคลื่อนไหว

“เหลือเวลาไม่มากแล้ว พวกนั้นมีของเยอะมาก ถ้าเราอืดอาดมากกว่านี้คงจะเอามันมาไม่หมดแน่!”

ภายในตู้โดยสารเงียบสงัด มีเสียงกรนเป็นครั้งคราวแต่ก็เบามาก

เพราะแบบนั้นเสียงของชายหัวเกรียนจึงดังขึ้นชัดเจน

แต่คำพูดพวกนั้นฟังดูกำกวม ถึงคนที่ยังไม่ได้หลับจะได้ยินก็คิดว่าคนกลุ่มนี้มีสัมภาระเยอะ จึงไม่ได้สงสัยอะไร

เสี่ยวเถียนขบฟันแน่น คนพวกนี้มีความชั่วร้ายอยู่จริง ๆ ด้วย

เขาคิดจะเอาทุกอย่างไปเลย!

ถ้าเธอไม่กลัว ต่อยพวกเขาจนตายแล้ว!

“ลูกพี่ แต่ซาลาเปาพวกเขากลิ่นหอมมากเลยนะ ผมเห็นยังเหลืออีกสองลูก ไว้ไปหยิบกันนะ”

ชายอ้วนนึกถึงซาลาเปาที่คนบ้านซูกินวันนี้ แค่นึกก็อยากกินจนน้ำลายไหล

แต่ไม่ทันพูดจบก็โดนหัวหน้าเตะใส่หนึ่งทีแล้วเอ่ยปากด่า “ไอ้อ้วนไม่ได้เรื่อง พูดพล่ามอะไรของแกอยู่?”

เหมือนจะตระหนักได้ว่าตนพูดอะไรผิดไป เขารีบพูดทันที “ไม่ใช่ว่าผมตะกละนะ แค่อยากกินเฉย ๆ ครับ ไว้รอลงจากรถจะไปซื้อมาสักหน่อยน่ะ!”

ระหว่างนั้นเขาคอยมองพวกเสี่ยวเถียนไปด้วย และเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครขยับถึงค่อยโล่งใจ

“เจ้าอ้วน แกคอยดูข้าง ๆ เอาไว้นะ เผื่อพวกเจ้าหน้าที่มาจะได้รับมือได้ หมาจื่อ เหล่าหนิว พวกแกลงมือกับฉัน ให้เร็วเลย!”

หัวหน้าแบ่งงาน จากนั้นจึงลงมือ

ชายอ้วนมองตู้โดยสารอันมืดด้วยสีหน้าว่างเปล่า เจ้าหน้าที่จะมาทำไมตอนนี้?

ไม่เคยคิดเลยว่าจะโดนรังเกียจเสียแล้ว

คนอื่น ๆ ยุ่งกับสิ่งที่ทำ

ตอนที่บ้านซูวางของ พวกเราคอยเฝ้ามืออยู่เงียบ ๆ จึงจำได้ว่ามันวางอยู่ตรงไหน

อีกอย่างต่อให้ขโมยผิดไปเป็นของคนอื่นก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร

เพราะของส่วนใหญ่อยู่ใต้เท้าเสี่ยวเถียนกับเสี่ยวเหมย คนพวกนี้จึงเดินมาทางสองสาว

เสี่ยวเถียนรู้สึกได้ว่ามีหลายคนกำลังเดินเข้ามาหา ตอนนี้จึงตื่นเต้นมาก สัมผัสได้ว่าเซลล์ทุกเม็ดในร่างกายของเธอกรีดร้องอย่างตื่นเต้น

รอมาตั้งค่อนคืน ในที่สุดก็มีโอกาสได้ลงมือเสียที

ตอนนี้เป็นช่วงกลางเดือนพอดี พระจันทร์ดวงกลมส่องแสงเหลืองนวลลอดเข้ามาในขบวนรถไฟ แม้จะมืดแต่ก็ยังเห็นคนในรถได้ชัดอยู่

ทั้งสามคนเดินมายังทิศทางของเรา เพียงไม่กี่ก้าวก็ได้กลิ่นหอมของเด็กสาวแต่ไกล ๆ

บนรถไฟมีกลิ่นฉุนแสบจมูก แต่กลิ่นหอมของผู้หญิงทำให้พวกเขาสดชื่นหัวใจชายทั้งสามเต้นระส่ำ พวกเขามองหน้ากัน แววตาเป็นประกายวาบ

ทั้งสามยังเดินต่อไปกระทั่งเข้าใกล้กับพวกเธอ แต่แล้วในใจพลันเกิดจินตนาการขึ้นว่าหากได้แตะต้องพวกเธอ คงจะดีไม่น้อย และความคิดดังกล่าวก็ยิ่งรุนแรงเมื่อได้เข้าใกล้เสี่ยวเถียนและเสี่ยวเหมยมากขึ้น

จิตใจทั้งสามโหมกระพือ กรงเล็บกางออก แต่ก็ต้องบอกเลยว่าพวกเขายังฉลาดอยู่บ้าง

ในที่สุดเหตุผลก็เอาชนะความคิดน่ารังเกียจพวกนั้น จึงยอมรามือ

“ลงมือขนของซะ!” หัวหน้าที่อายุมากที่สุดกัดฟันเอ่ย

แค่ได้ของมาก็ทำเงินได้แล้ว จะผู้หญิงแบบไหนก็มีทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง? ทำไมต้องมาเสี่ยงกับที่นี่ด้วย? ถึงอีกสองคนจะรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่เจ้านายก็พูดถูก

ทั้งสามคนย่องเข้าไป กลัวว่าคนใดคนหนึ่งจะตื่นขึ้นมาเสียก่อน

แต่ตอนนี้ทุกคนตื่นกันหมดแล้ว เพราะกำลังรอเวลาอยู่ ทำไมจะไม่รู้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ล่ะ?

ความคิดของคนอื่น ๆ เหมือนกับเสี่ยวเถียน

ขอแค่พวกมันลงมือเท่านั้น

เนื่องจากตอนนี้ตื่นเต้นมาก อัตราการเต้นหัวใจของคนบ้านซูจึงยิ่งถี่ขึ้นเรื่อย ๆ และหายใจหอบหนักกว่าเดิม

ส่วนพวกคนที่โดนสินค้าล่อใจและคิดว่าจะทำเงินได้มากมายนั้น กลับไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติเลย

จังหวะที่เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าใบใหญ่ใต้ที่นั่งสองสาว ตอนนั้นเองก็มีมือยื่นมาจับแขนแน่นและไม่ใช่แค่มือเดียว แต่เป็นสามมือต่างหากที่จับพร้อมกัน

“ไอ้หนุ่ม รอพวกเธอตั้งนานเลย ลำบากใช่ไหมล่ะต้องที่อดใจรอจนกว่าพวกเราจะหลับน่ะ!”

คนที่เอ่ยคือเหล่าซานผู้ที่ง่วงนอนมาก เขารอพวกเด็ก ๆ ลงมืออยู่จึงหลับตารอจนเกือบจะหลับ

และถ้าหลับไปจริง ๆ พรุ่งนี้จะไม่โดนเจ้าเด็กพวกนี้หัวเราะเยาะเอาเรอะ?

เขาเกือบจะเสียหน้าแล้วด้วยซ้ำ และเหมือนกับว่าความโกรธเหล่านั้นถูกระบายใส่หัวหน้ากลุ่มขโมยคนนี้

ชายที่ออกกำลังกายมาทั้งปีกับหัวขโมยตัวจ้อยจะไปสู้ไหวได้ยังไง?

“ปล่อยนะ!” ชายหัวเกรียนทนความเจ็บไม่ไหว ถึงกระนั้นก็ยังลดเสียงลง

อันที่จริงก็รู้อยู่แก่ใจว่าวันนี้อาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

แต่ตอนนี้จะต้องทำต่อไปให้ได้

ไม่ต้องคิดเรื่องข้าวของแล้ว คิดแต่จะออกไปในสภาพสมบูรณ์ก็พอ!

ในขณะที่เหล่าซานกลับรู้สึกหงุดหงิดกว่าเดิม เมื่อนึกภาพคนพวกนี้ลงมือมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่รู้ว่ามีกี่รอบครับที่ต้องพังเพราะพวกมัน ยิ่งนึกก็ยิ่งโกรธ

และผลของความโกรธคือแรงบีบของฝ่ามือยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ

ชายหัวเกรียนรู้สึกแต่ความเจ็บปวดที่แขน เหมือนตนกำลังจะถูกบดขยี้เลย

“พวกคุณจะทำอะไร? คิดจะทำอะไรกัน?” หัวหน้าขบฟันด้วยความเจ็บ แต่ไม่ลืมตะโกนใส่เสียงแข็ง

ตอนนี้เขาไม่สนใจเบาเสียงตัวเองแล้ว

และเพราะเสียงนั่นจึงทำให้คนอื่น ๆ เริ่มตื่นและหันมามองกลุ่มนี้ด้วยความงงงวย

ชั่วขณะหนึ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“ทำอะไรงั้นหรือ? ยังมีหน้ามาถามอีกหรือไง?” เหล่าซานใช้มือข้างที่ว่างตบเขา

“นี่แกลงไม้ลงมือเลยหรือ กล้าทำได้ยังไง?” ใบหน้าชายหัวเกรียนร้อนผ่าวด้วยความเจ็บ อยากจะดิ้นให้หลุดจากเกาะกุม แต่ด้วยพละกำลังอันน้อยนิดจึงสู้ไม่ได้เลย

“ถ้าไม่ตบแกแล้วจะตบใคร? ไม่ใช่ที่ของตัวเองแท้ ๆ ทำไมถึงมายุ่งกับพวกเรา?”

เหล่าหนิวเป็นคนมีไหวพริบ เขารีบตอบทันที

“คุณพี่เข้าใจผิดแล้วครับ เข้าใจผิดกันหมดแล้ว พวกเราไม่ได้ซื้อตั๋วนั่งมา ยืนอยู่ตรงมุมจนง่วง เลยอยากจะคลานเข้าไปนอนใต้เบาะน่ะ!”

เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะไม่มี คนอื่นจึงทน ๆ ไป

และยิ่งได้ยินคำตอบ พวกเขาก็มองคนบ้านซูด้วยสายตาประณาม แต่ตอนนี้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ยึดหลักการถูกผิดอะไรมาก และถึงจะใช้สายตามองแบบนั้นก็ใช่ว่าจะเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมช่วย