Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 184 ข้าเหยียบเมฆไป
เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาพร้อมกับลมหนาว บนท้องถนนในเมืองหลวงคนเดินทางรีบร้อน
ฤดูหนาวปีนี้หิมะตกเร็วเป็นพิเศษ นี่ทำให้ชีวิตขอทานในเมืองหลวงกลายเป็นลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพักนี้จำนวนเพิ่มขึ้นมาก
ราวหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ในเมืองหลวงมีคนสำเนียงทางเหนือมากมายทยอยมา มีผู้เฒ่ามีเด็กน้อย พาครอบครัวมารวมตัวที่เมืองหลวง คนเหล่านี้เดินทางมาไกลถึงที่แห่งนี้ก็เหน็ดเหนื่อยหมดเรี่ยวแรงแล้ว ทั้งไม่มีวิชาความสามารถ ได้แต่อาศัยอยู่ตามถนนสะพานขอทานเลี้ยงชีพ
พวกนี้ล้วนเป็นชาวบ้านที่หนีมาเพราะสงครามแดนเหนือ
การมาถึงของพวกเขาย้ำเตือนผู้คนในเมืองหลวงถึงสงครามแดนเหนือที่ยังคงดำเนินอยู่ ถึงขั้นไม่อาจมองในแง่ดี
บรรยากาศในราชสำนักเคร่งเรียดร้อนรน
“เสียเมืองติดกันสามเมือง นี่คือที่พวกเจ้าบอกว่าแพ้ครั้งหนึ่งไม่ใช่พ่ายแพ้หรือ?” ฮ่องเต้พิโรธตวาด “นี่แพ้กี่ครั้งแล้ว?”
หนิงเหยียนยืนอยู่หน้าท้องพระโรงสีหน้าแน่วแน่อยู่บ้าง
“โจรจินยกพลมายิ่งใหญ่ หลบคมอาวุธถอยหลีกย่อมถูกต้องแล้ว” เขาเอ่ย “นอกจากนี้ยามเฉิงกั๋วกงถอนทหารก็คุ้มครองประชาชน นอกจากนั้นยังเผาป้อมปราการจนราบ โจรจินยึดไปได้เพียงเมืองเปล่าๆ แห่งหนึ่ง ทั้งไม่อาจเติมเสบียงและไม่มีกำลังคนสร้างใหม่ ตรงกันข้ามยังต้องสิ้นเปลืองแบ่งกำลังทหาร”
หวงเฉิงที่อยู่ด้านข้างหัวเราะแล้ว
“ใต้เท้าหนิงกล่าวเช่นนี้ ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ก็ยังคงเป็นเกียรติยศ ยังต้องชื่นชมงั้นรึ?” เขาเอ่ย
หนิงเหยียนไม่สนใจคำเสียดสีของเขา
“นี่ไม่ใช่พ่ายแพ้ นี่เป็นยุทธวิธี” เขาเอ่ย “แม่ทัพออกรบไม่รอคำสั่งนายเหนือหัวก็เพราะในสนามรบสถานการณ์พริบตาเปลี่ยนแปรหมื่นหน มีแต่คนที่อยู่ข้างในถึงรู้ว่าทำอย่างไรจึงดีที่สุด”
“นี่ล้วนเป็นคำพูดของเฉิงกั๋วกงฝ่ายเดียว” มีขุนนางใหญ่ก้าวออกมาเอ่ยอีก “ข้าว่าเป็นตัวเขาหาข้ออ้าง กระหายความชอบถึงพ่ายแพ้ถอยร่น”
“ไม่ผิด เวลาสั้นๆ เสียไปสามเมือง เสียผู้บัญชาการใหญ่ไปคนหนึ่ง ผู้บัญชาการทหารตายไปสองนาย ยังพูดเต็มปากเต็มคำว่ากลยุทธ์อะไร ยังมีความชอบอีกหรือ?” ขุนนางใหญ่อีกคนหนึ่งก็ตำหนิด้วยใบหน้าที่เต็มไปความโกรธแค้นเช่นกัน “ยังต้องให้ทหารกองหนุนที่ต่างๆ ล้วนฟังคำสั่งของเขาอีก เขาคิดจะทำอะไร?”
เผชิญหน้าคำถาม หนิงเหยียนไม่หวาดกลัวสักนิด
“พวกท่านทำไมมองเห็นแต่การบาดเจ็บล้มตายของพวกเรา? จำนวนโจรจินที่เสียไปพวกท่านล้วนลืมสิ้นแล้วหรือ?” เขาเอ่ย
สิ้นเสียงของเขาก็มีขุนนางใหญ่หลายคนยืนขึ้นมาบ้าง รายงานการบาดเจ็บล้มตายของโจรจินออกมา
เทียบกับความเสียหายของทหารต้าโจว ของโจรจินหนักหนากว่าจริงๆ
“ใครจะรู้ว่ายึดได้จริงๆ หรือเป็นอะไรอย่างอื่น” ขุนนางใหญ่คนหนึ่งแค่นเสียง
ขุนนางใหญ่อีกคนหนึ่งถลึงตาเดือดขึ้นมาทันที
“นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร? ท่านจะบอกว่าเฉิงกั๋วกงแจ้งข่าวทหารเท็จหรือ?” เขาตะโกนโกรธเกรี้ยว
“เท็จไม่เท็จใครจะรู้ อย่างไรทั้งแดนเหนือวันนี้ล้วนอยู่ในมือของเขาเฉิงกั๋วกง” มีคนเอ่ยขึ้นบ้าง
“ท่านจะบอกว่าเฉิงกั๋วกงมือเดียวปิดฟ้ารึ?”
“ข้าหาได้กล่าวไม่ คำพูดนี้ใต้เท้าทังท่านกล่าวเอง”
ในท้องพระโรงเสียงเอะอะดังระงมทันที ขุนนางใหญ่หลายคนหน้าแดงหูแดง น้ำลายกระเซ็น อยากจะตีกันขึ้นมายิ่งนัก
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นทุกวัน
“หุบปากให้หมด” ฮ่องเต้บนบัลลังก์มังกรกุมหน้าผากตวาด
สุรเสียงของพระองค์ไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง ยังคงเป็นเหล่าขันทีตะโกนเสียงแหลม ผู้ตรวจการรวมถึงเหล่าองครักษ์เสื้อแพรก้าวเข้ามาห้ามปรามขุนนางใหญ่ที่ทะเลาะโวยวายเหล่านี้ไว้
“ข้าไม่อยากรู้ว่านี่เป็นกลยุทธ์อะไร ข้าอยากรู้แค่เมื่อไรทหารจินจะถอยไปได้?” ฮ่องเต้สีหน้าติดจะร้อนรนตรัสขึ้น
คำพูดนี้ทำให้ในท้องพระโรงเงียบไปครู่หนึ่ง
“ฝ่าบาท การรบไม่ใช่วันเดียวคืนเดียวจะสำเร็จ หนิงเหยียนเอ่ยเสียงเข้ม
“ถ้าอย่างนั้นต้องลากทหารหลายพันไปด้วยหรือ?” หวงเฉิงเอ่ยเบาๆ
หนิงเหยียนหันหน้ามองไปทางเขา
“ลากไปด้วย? ใต้เท้าหวงคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร? ทหารทั้งหลายออกรบจบชีวิตเพื่อประเทศเป็นเรื่องผิดหรือ?” เขาเอ่ย
“นั่นก็ต้องดูว่าตายเพื่อบ้านเมืองหรือตายเพื่อความกระหายความชอบของเฉิงกั๋วกง” หวงเฉิงเอ่ยไม่สะทกสะท้าน
“ใต้เท้าหวง…” หนิงเหยียนตะโกน เพิ่งเอ่ยปาก นอกประตูเสียงแจ้งข่าวด่วนก็ดังขึ้น
เพราะสงคราม ข่าวด่วนจึงส่งมาวันเว้นวัน ขุนนางราชสำนักกับฮ่องเต้คุ้นชินยิ่งแล้ว ได้ยินก็หยุดทะเลาะโวยวายทันทีมองไปนอกประตู
คนทั้งหมดสีหน้าล้วนเคร่งเครียดนิ่งนัก
ข่าวดี ต้องเป็นข่าวดีนะ
ในใจหนิงเหยียนกำลังคิด ในใจหวงเฉิงก็กำลังคิด แม้ข่าวดีที่พวกเขาคาดหวังจะไม่เหมือนกัน
“กราบทูลฝ่าบาท เมืองไคเค๋อแตกแล้ว ตู้เมี่ยวเจ้าเมืองสละชีพ” ขันทีทูนสาส์นด่วนคุกเข่าประกาศเสียงสั่น
เมืองไคเต๋อ นั่นเป็นเมืองที่ค่อนมาทางใต้ของมณฑลเหอเป่ยตง ยี่สิบกว่าปีก่อนชาวจินก็บุกเข้ามาล้อมเมืองหลวงจากทางนี้ รอบด้านช่วยไม่ได้ พระราชวังถูกล้อม ฮ่องเต้ถูกจับตัวไป
นี่เป็นความอัปยศที่ราชวงศ์ต้าโจวไม่อยากย้อนคิดถึง แล้วก็เป็นฝันร้ายที่คนใต้หล้าล้วนไม่อยากคิดถึง
คิดไม่ถึงห่างนานปีปานนี้ ภาพนี้ถึงกับปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
วันวานหวนมาอีกหน
ในท้องพระโรงเงียบกริบ จากนั้นก็เห็นฮ่องเต้ผุดลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกร
“ใครมา..” เขาตะโกนออกมาทีหนึ่ง เสียงตะโกนสั่นๆ สีหน้าซีดขาว คำหนึ่งเอ่ยจบคนก็สั่นเทาทรุดนั่งกลับไปบนบัลลังก์มังกร
เหล่าขันทีตกใจสะดุ้งโหยง
บรรดาขุนนางไม่มีเวลาสนใจโต้เถียง ตื่นตะลึงพากันแห่ไปที่บัลลังมังกร
“ฝ่าบาท”
“รีบเรียกหมอหลวง”
ในท้องพระโรงตกสู่ความโกลหล
หนิงอวิ๋นเจายังคงยืนอยู่ท้ายแถว เขาไม่มีคุณสมบัติเบียดเข้าไปแล้วก็ไม่ได้เบียดเข้าไป ยืนอยู่ที่เก่าด้วยกันกับขุนนางที่ไม่อาจเข้าไปได้คนอื่นๆ สีหน้าร้อนรนวิตก
แต่หากมองให้ละเอียด ความร้อนรนวิตกขอเขานิ่งสงบกว่าคนอื่นมากนัก ทว่าตอนนี้ไม่มีใครสังเกตเขา ทุกคนล้วนเขย่งเท่ามองไปด้านหน้า ถกเถียงกันเสียงเบาเป็นระยะ
“นี่บังเอิญเกินไปแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ถกเถียงกับคนด้านข้าง เพียงเอ่ยกับตนเองเสียงเบา คิ้วขมวด
……………………………………….
“นี่บังเอิญเกินไปแล้ว”
จูจั้นถ่มหญ้าเลี้ยงม้าในปากออกแค่นเสียงเอ่ยขึ้น ใช้มือจิ้มบนพื้น
บนพื้นวาดแผนที่ง่ายๆ อันหนึ่ง วางก้อนหินแทนเมือง หญ้าเลี้ยงม้าต้นแล้วต้นเล่าวางเส้นทางเคลื่อนทัพของชาวจิน
“มีแค่ทหารฝีมือดีกลุ่มหนึ่งได้ทหารจินหลายทางคุ้มกันฝืนบุกฝ่าเข้ามาที่นี่ หากจะพูดว่านี่เป็นการบุกยึด ไม่สู้บอกว่าเป็นกองทหารเดี่ยวบุกลึกเข้ามาเสี่ยงดวง” จางเป่าถังเอ่ย “พวกเราล้วนรู้ว่าทหารจินถนัดขี่ม้ายิงธนู เคลื่อนพลรวดเร็ว ทำเรื่องนี้ได้ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้”
“บางทีอาจไม่ใช่แค่การคุ้มกันของทหารจิน” ซื่อเฟิ่งพลันเอ่ยขึ้น
จางเป่าถังตะลึงไปนิดหนึ่ง สีหน้าจูจั้นราบเรียบ ยังคงนิ่งสงบ
“เจ้าสืบมาแล้วหรือ?” เขาเอ่ย
จางเป่าถังมองไปทางซื่อเฟิ่งอย่างไม่เข้าใจ ช่วงก่อนหน้านี้ซื่อเฟิ่งหายออกไปข้างนอกไปช่วงเวลาหนึ่ง บอกว่ามีงานต้องทำ ที่แท้งานที่ว่าเป็นจูจั้นสั่งหรือ?
“รายละเอียดยังสืบมาไม่ได้ แต่แม่ทัพบางคนเบื้องหน้ารับบัญชาเบื้องหลังขัดคำสั่งไม่สู้กลับหนีเป็นเรื่องจริง” ซื่อเฟิ่งเอ่ย
เรื่องนี้ในสนามรบพบเห็นไม่น้อย ไม่อาจบ่งชี้อะไรได้
“ไม่อาจบ่งชี้อะไรได้ แต่การกระทำของพวกเขากลับสร้างผลที่ไม่ควรเกิดมากมาย นี่บังเอิญเกินไปแล้ว” ซื่อเฟิ่งเอ่ย
จูจั้นยกเท้าเตะก้อนหินกับหญ้าเลี้ยงม้าบนพื้นจนเละเทะ
“ข้าเข้าใจแล้ว ทหารจินนี่ไม่ได้มาเพื่อรบ แต่มาเพื่อขู่” เขาเอ่ย เหยียบตรงเครื่องหมายที่แทนเมืองไคเต๋อเมื่อครู่ “ทุกสิ่งดำเนินไปตามเส้นทางการตีเมืองหลวงในอดีตก็เพื่อให้ฮ่องเต้ ขุนนางและประชาชนคิดถึงเรื่องตอนนั้นขึ้นมา ใจเกิดความหวาดกลัว”
จางเป่าถังฟังเข้าใจแล้ว แค่นเสียงออกจมูก
“โจรจินนี่ครั้งนี้ยังเล่นลูกไม้แบบนี้เป็นด้วย” เขาเอ่ย
“ลูกไม้นี้ใช้ประโยชน์ได้มากอยู่” จูจั้นเอ่ยขึ้น
ซื่อเฟิ่งก็ไม่ได้ยิ้ม สีหน้ายิ่งหนักใจไปชั่วครู่
“เมื่อครู่นี่เอง ฮ่องเต้ออกคำสั่งให้เฉิงกั๋วกงเคลื่อนทหารมาช่วยเมืองไคเต๋อพร้อมกับประจำการที่ไคเฟิง” เขาเอ่ย
จางเป่าถังถลึงตา
“ท่านลุงจะขยับได้อย่างไร ขยับที่เดียวย่อมหางเลขทั้งร่าง” เขาเอ่ย “ไม่ต้องให้ท่านลุงกลับมา โจรจินกลุ่มนี้ก็อยุ่ที่เมืองไคเต๋อได้ไม่นาน”
ซื่อเฟิ่งยิ้มขื่นทีหนึ่ง
“เพราะฮ่องเต้ทรงหวาดกลัว” เขาเอ่ยเสียงเบา
จูจั้นตบแขนเสื้อ มองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
“ข้าต้องไปแล้ว” เขาพลันเอ่ย
ซื่อเฟิ่งกับจางเป่าถังตะลึง คล้ายตามไม่ทันว่าเขาพูดอะไร
“พวกเจ้ามาวันนี้ บอกข่าวเรื่องเมืองไคเต๋อแตกกับข้า ตอนนี้ข้าวิ่งไปช่วยสังหารศัตรูให้ประเทศ เหมาะสมสมควรสมเหตุสมผล ไม่อาจกล่าวโทษตัวพวกเจ้าได้เช่นกัน” จูจั้นเอ่ยต่อ
นี่สมเหตุสผลจริงๆ แต่ตอนนี้ปัญหาสำคัญย่อมไม่ใช่เรื่องนี้
“ท่านจะไปอย่างไรเล่า?” ซื่อเฟิ่งเอ่ยถาม
จูจั้นเดินออกไปหลายก้าวแล้ว ได้ยินเข้าก็หันกลับมาหัวเราะ
“ก็ ไปไง” เขาเอ่ย ยกมือวางในปากผิวปากหลายที
พร้อมกับเสียงผิวปาก ซื่อเฟิ่ง จางเป่าถังก็ได้ยินเสียงม้าร้อง พร้อมกันนั้นผืนดินก็สั่นไหว เกิดเรื่องอะไรขึ้น? พวกเขาหันกลับไป สีหน้าตะลึงทันที
เห็นเพียงม้าฝูงแล้วฝูงเล่าพุ่งออกมาจากคอกม้า วิ่งไปทั่วทุกสารทิศ โรงเลี้ยงม้าทั้งหมดประหนึ่งสายฟ้าฟาดโจมตี
“ม้าตื่น!” จูจั้นตะโกนเสียงดังทีหนึ่ง คนก็วิ่งไปหาม้า ความเร็วของเขาเร็วอย่างที่สุด ปะปนเข้าไปในฝูงม้าอย่างรวดเร็ว อีกพริบตาหนึ่งก็กระโดดโผขึ้นไปบนม้าแล้ว ท่ามกลางฝูงม้าควบทะยานประหนึ่งเรือลำน้อยผลุบๆ โผล่ ๆ
แต่เรือลำน้อยไม่เพียงไม่ถูกคลื่นพลิกคว่ำ ตรงกันข้ามกลับนำเกลียวคลื่นอยู่เลือนราง
โรงเลี้ยงม้าทั้งหมดล้วนตื่นตกใจ คนทั้งหมดวิ่งออกมาแต่ไร้หนทางขวางฝูงม้าซึ่งประหนึ่งน้ำหลากไหลเชี่ยว ได้แต่เบิ่งตามองฝูงม้ากระโดดข้ามรั้วกั้นไปทั่วทุกสารทิศ
ม้าตื่น ม้าหนีไปแล้ว
เสียงตะโกนดังขึ้นไม่ขาด ผู้คนวิ่งวุ่นกระจายรอบด้าน
คุณพระ
ซื่อเฟิ่งกับจางเป่าถังยืนหนึ่งอยู่ที่เดิม มีเพียงคำนี้ที่ถ่ายทอดอารมณ์อออกมาได้ พวกเขามองเงาคนที่ไกลออกไปในสายตา อ้าปากกว้างหุบไม่ลงอยู่เนิ่นนาน