ตอนที่ 579 ใช่จะรับใครเป็นพ่อได้ง่าย
หลงจู๊ที่รับผิดชอบการทำขนมของร้าน พอเห็นหลินเว่ยเว่ยก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับทันที “เถ้าแก่เนี้ย ลมอันใดหอบท่านมาถึงนี่ได้ ? เถ้าแก่หนิงกำลังยุ่งอยู่หน้าร้าน ให้ไปตามเขามาดีหรือไม่ขอรับ ? ”
“ไม่ต้องไปรบกวนเขาหรอก แต่หลงจู๊หวังช่วยเตรียมห้องสะอาดให้พวกเรานั่งพักหน่อยเถิด” ร้านขนมแห่งนี้ นอกจากจะมีขนมหลากหลายรูปแบบแล้วยังมีชานมและชาผลไม้ให้บริการ ดังนั้นด้านบนจึงสร้างห้องเอาไว้ประมาณห้าถึงหกห้อง ส่วนห้องโถงใหญ่ก็มีโต๊ะตั้งเอาไว้หลายตัวเช่นกัน
หลงจู๊หวังพานางไปยังห้องพิเศษสำหรับเจ้านาย ทั้งยังจัดเตรียมชาหอมกรุ่นหนึ่งกาและขนมสามสี่จานมาให้อย่างพิถีพิถัน “เถ้าแก่เนี้ยยังต้องการสิ่งใดเพิ่มอีกหรือไม่ขอรับ ? ”
หลินเว่ยเว่ยจึงเอ่ยว่า “เอาชานมถั่วแดงหวานปกติ เพิ่มพุดดิ้งมาให้เจียวเจียวอีกหนึ่งแก้ว”
หลินจื่อเหยียนได้ยินดังนั้นก็รีบเอ่ยทันที “พี่รอง ข้าด้วย ข้าเอาชานมเผือกหวานน้อยเพิ่มพุดดิ้งถั่วแดง…”
หลินเว่ยเว่ยนึกขึ้นได้ว่าเจียงโม่หานชอบของหวานจึงหันไปถามเขา “เจ้าล่ะ ? ดื่มชานมหรือชาธรรมดา ? ”
เจียงโม่หานครุ่นคิดสักพักก็เอ่ยขึ้นว่า “เอาชานมถั่วแดงหวานน้อยก็พอ ! ”
หลินเว่ยเว่ยสั่งชานมให้พวกเขา แต่ตัวเองสั่งแค่ชาธรรมดาหนึ่งแก้วเท่านั้น เนื่องจากปีใหม่กินเต็มที่เกินไป นางรู้สึกว่าน้ำหนักเพิ่มขึ้นไม่น้อย ดังนั้นจึงต้องควบคุมน้ำหนักเสียหน่อย !
แม่ทัพหลินมองบุตรสาวและบุตรชายของตนอย่างมีความสุข อดไม่ได้ที่จะถามหลินจื่อเหยียนว่า “ต้าฮว๋า เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่เมืองหลวงได้ ? ท่านแม่ พี่ใหญ่และน้องสี่ของเจ้าล่ะ ? อาการป่วยของเว่ยเอ๋อร์ดีขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ? เหตุใดนางถึงได้กลายเป็นน้องสาวของซื่อจื่อ ? ”
หลินเว่ยเว่ยยื่นมือออกมาปรามความสงสัยที่พรั่งพรูของอีกฝ่าย ก่อนจะมองไปทางหลินจื่อเหยียน “เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาคือพ่อของพวกเรา ? ”
หลินจื่อเหยียนมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครารกรุงรังพลางเอ่ยอย่างลังเลว่า “ข้า…ก็ไม่แน่ใจ เพราะท่านพ่อในความทรงจำของข้าไม่มีหนวด…พี่รอง คงจะ…ไม่มีใครต้องการรับคนอื่นเป็นลูกอย่างไร้เหตุผลหรอกกระมัง ? ”
แม่ทัพหลินมองไปยังหลินเว่ยเว่ย…‘องค์หญิงเว่ยเว่ย’ รูปร่างสูงโปร่งและนิสัยร่าเริงพระองค์นี้จะเป็นบุตรสาวคนรองที่มีรูปร่างอ้วนท้วน แววตาเฉื่อยชาผู้นั้นของตนจริงหรือ ? นอกจากใบหน้าที่ดูละม้ายคล้ายคลึงแล้ว หากไม่มีต้าฮว๋าอยู่ด้วยล่ะก็ เขาคงไม่เชื่ออย่างแน่นอน !
เขาเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตาออกมา “สงสัยอะไรกัน ? ใครจะไปทึกทักว่าบุตรคนอื่นเป็นบุตรตัวเองง่าย ๆ กันเล่า ? แต่ข้าคือพ่อของพวกเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย ! ”
หลินเว่ยเว่ยปรายตามองเขาเล็กน้อยพลางเอ่ยกับหลินจื่อเหยียนว่า “บางที…จุดประสงค์ของเขาอาจไม่ใช่เจ้า แต่เป็น…” พูดแล้วก็ชี้มาที่ตัวเอง
หลินจื่อเหยียนอาจไม่มีผู้ใดสนใจก็จริง แต่เพราะมีคนอยากก่อกบฏและต้องการกระชับความสัมพันธ์กับหมินอ๋องจึงพุ่งเป้ามาที่นางก็ได้ ? อิทธิพลของหมินอ๋องในกองทัพหาใช่ธรรมดาไม่ !
หมินอ๋องซื่อจื่อที่นั่งอยู่ด้านข้าง จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “แม่ทัพหลินเหมือนจะไม่ใช่คนเช่นนั้น ! ”
หลินเว่ยเว่ยได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะใช้สายตามองสำรวจแม่ทัพหลินต่ออีกครั้ง แม่ทัพหลินจึงยิ้มแห้งออกมา เหตุใดถึงใช้คำว่า ‘เหมือนจะ’ กันเล่า ? หรือเพราะหนวดของเขายาวและรกรุงรังเกินไป !
แม่ทัพหลินจึงบอกวันเดือนปีเกิดของสี่พี่น้องออกมา แต่ก็เห็นว่าหลินเว่ยเว่ยเหมือนยังสงสัยอยู่จึงเอ่ยอีกว่า “ที่ก้นของต้าฮว๋ามีปานแดงขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ตอนเขายังเด็ก ข้าเปลี่ยนผ้าอ้อมให้และยังคิดว่าเป็นรอยยุงกัดจึงบ่นกับแม่ของเจ้าว่ายุงตัวนี้ช่างเลือกกัดบริเวณเนื้อเยอะจริง ๆ…”
หลินจื่อเหยียนอดไม่ได้ที่จะลูบตรงก้นของตัวเองพลางเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ท่าน…พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม ? ที่นี่มีกู่เหนียงน้อยอยู่ด้วย ! ” เอ่ยจบ สายตาก็ประสานกับดวงเนตรแห่งความสงสัยขององค์หญิงเจียวเจียวเข้าพอดี แก้มของเขาพลันแดงก่ำราวกับก้นลิง
“ยังมีเจ้ารอง…เจ้า…” แม่ทัพหลินเอ่ยถึงตรงนี้ก็ถูกเสียงกระแอมไอเสียงหนึ่งขัดขึ้น แม่ทัพหลินมองเจียงโม่หานที่ส่งเสียงเตือนเล็กน้อยจึงนึกขึ้นได้และรีบเปลี่ยนหัวข้อไปพูดถึงหลินจื่อเหยียนและเสี่ยวเอ้อร์ฮว๋าแทน บุตรสาวของเขาโตแล้ว ต้องเคารพความเป็นส่วนตัวของนาง
ทุกสิ่งที่เขาพูดมาล้วนถูกต้อง หลินจื่อเหยียนรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้รีบยอมรับเขาเป็นบิดาในทันที พลางส่งสายตาที่คลอไปด้วยน้ำใสไปทางพี่รอง
แม่ทัพหลินรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ดูเหมือนว่าตอนนี้คนที่ต้องตัดสินทุกอย่างในบ้านจะเป็นบุตรสาวคนรองที่หายป่วยได้หนึ่งปีกว่า ๆ แล้วหนึ่งปีกว่ามานี้นางไปทำอะไรมา ? จึงทำให้ต้าฮว๋าที่อ่อนกว่านางเพียงปีเดียวเชื่อฟังได้ถึงเพียงนี้ ?
หลินเว่ยเว่ยใช้นิ้วเคาะบนโต๊ะเบา ๆ พร้อมจ้องมองไปทางแม่ทัพหลิน ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยออกมาว่า “ตอนนี้ข้าจะคิดว่าท่านเป็นท่านพ่อที่หายตัวไปเมื่อหลายปีของพวกเราแล้วกัน ! แต่ข้ามีคำถามหนึ่ง…ไม่ทราบว่าท่านจะตอบพวกเราได้หรือไม่ เพราะเหตุใดตลอดหกปีที่ผ่านมาท่านถึงไม่ส่งจดหมายมาหาพวกเราแม้แต่ฉบับเดียว ? ”
นางจินตนาการไปถึงบิดาที่นิสัยไม่ดีและดันไปเข้าตาบุตรสาวแม่ทัพจึงละทิ้งลูกเมียเพื่อไปแต่งงานกับหญิงอื่นราวกับละครโทรทัศน์ ฮึ ! บิดาเช่นนี้ต่อให้มีตำแหน่งสูงส่งเพียงใด พวกนางก็ไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด !
แต่ใครจะไปรู้ว่าชีวิตของเขายิ่งกว่าละครโทรทัศน์เสียอีก ! เดิมทีแม่ทัพหลินถูกสัตว์ป่าไล่ล่าบนภูเขาจึงตกจากหน้าผาและได้รับการช่วยเหลือจากพรานหนุ่มท่านหนึ่ง หลังจากฟื้นขึ้นมาก็สูญเสียความทรงจำ จากนั้นเมื่อเขารักษาตัวอยู่ที่บ้านพรานหนุ่มจนหายดีแล้วก็ได้มีการเกณฑ์ทหารเกิดขึ้น ทั้งสองจึงเข้าร่วมกับกองทัพเพื่ออนาคต และความทรงจำของแม่ทัพหลินเพิ่งจะฟื้นคืนเมื่อปีก่อนนี้เอง
“ในเมื่อหนึ่งปีก่อนความทรงจำฟื้นคืนมาแล้ว เหตุใดจึงไม่เคยกลับไปที่บ้านเลย ? ต่อให้อยู่ในกองทัพและไม่สามารถลาหยุดได้ แต่ให้คนช่วยส่งจดหมายก็ได้นี่ ? ” หลินเว่ยเว่ยเลิกคิ้วเล็กน้อย
แม่ทัพหลินค่อย ๆ ระงับความตื่นเต้นภายในใจลงพลางมองหลินเว่ยเว่ยและเอ่ยว่า “ใครบอกว่าพ่อไม่เคยส่งจดหมายไป ? ตอนที่ความทรงจำฟื้นคืนมา สงครามก็เริ่มตึงเครียดจนไม่สามารถปลีกตัวได้จริง ๆ จึงให้คนนำจดหมายและเงินกลับไป แต่คนส่งจดหมายได้กลับมารายงานว่าที่เขตเริ่นอันเกิดภัยแล้งอย่างรุนแรง ในหมู่บ้านไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว พวกเจ้าไปจากฉือหลี่โกวกันหมดแล้ว…”
หลินจื่อเหยียนตบโต๊ะด้วยความโมโหและเอ่ยว่า “เหลวไหว ! ฉือหลี่โกวของเรา เนื่องจากมีกังหันน้ำกระดูกมังกรที่พี่เขยรองสร้างขึ้น อีกทั้งพี่รองยังได้พาคนทั้งหมู่บ้านช่วยกันขุดร่องส่งน้ำจึงทำให้เราไม่ประสบภัยพิบัติ พี่รองยังพาคนหนุ่มสาวทั้งหมู่บ้านขึ้นเขาไปเก็บเมล็ดสนและของป่าเพื่อนำมาขายแลกเงิน จนทำให้หมู่บ้านฉือหลี่โกวกลายเป็นหมู่บ้านที่มั่งคั่งของเขตเริ่นอัน…ครอบครัวเราแปรรูปเนื้อแผ่น ผลไม้อบแห้ง เนื้อกระต่ายเส้นและเปิดโรงงานแปรรูปเมล็ดสน มีชีวิตที่ดีกว่าใคร ! แต่พวกเรากลับไม่ได้รับข่าวคราวใด ๆ จากท่านเลย ท่านพ่อ ท่านให้ใครไปส่งจดหมายกันแน่ ? ท่านคงถูกหลอกแล้วกระมัง ! ! ”
แม่ทัพหลินค่อย ๆ ขมวดคิ้ว “เรื่องนี้พ่อจะไปตรวจสอบอีกที ! ”
จู่ ๆ หลินเว่ยเว่ยก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “แม่ทัพหลิน ช่วงที่ท่านความจำเสื่อมได้แต่งภรรยาหรือภรรยารองหรือไม่ ? ข้างกายมีสตรีเคียงข้างหรือเปล่า ? ”
แม่ทัพหลินถลึงตาใส่นาง เจ้าเด็กคนนี้คิดว่าเขาเป็นคนอย่างไร ? เขาจึงตอบอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มี ! ตอนนั้นพ่อเริ่มจากการเป็นนายทหารระดับล่าง กระบี่ไร้ตา และทุกวันล้วนเสี่ยงอันตราย อาจตายได้ทุกเมื่อแล้วจะไปดึงบุตรสาวของชาวบ้านมาลำบากได้อย่างไร ? ”
“อีกอย่างคือแม้พ่อจะความจำเสื่อมแต่ไม่ได้โง่ ด้วยอายุของพ่อแล้วไม่มีทางที่จะยังไม่แต่งภรรยา ตอนนั้นก็คิดว่าหลังจากประสบความสำเร็จแล้วค่อยไปสืบหาชาติกำเนิดของตน บางทีอาจจะง่ายกว่า ดังนั้นจนถึงตอนนี้พ่อยังเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบ ! ”
“ไม่ใช่สิ หลังจากพบพวกเจ้าแล้ว พ่อก็ไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบอีกต่อไป มีภรรยาและบุตรอยู่เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ ต้าฮว๋า เจ้ารอง แล้วแม่ของพวกเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงด้วยหรือไม่ ? ”