เล่ม 1 ตอนที่ 155-1 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 155-1 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

ซู่ซินจง ตั้งอยู่ตรงชายขอบระหว่างต้าเหลียงกับหนานฉู่ เป็นสำนักหนึ่งในยุทธภพที่ใหญ่ที่สุดทางตอนใต้ มีชื่อเสียงสะท้านแผ่นดินเท่าเทียมกับสมาคมกระบี่ทางตอนเหนือ แต่ไหนแต่ไรมามีการเรียกขานว่าเหนือสมาคมกระบี่ใต้ซู่ซินจง สำนักซู่ซินจงเน้นการฝึกวิชาเป็นหลัก ไม่เหมือนสมาคมกระบี่ที่ดุดันเน้นการฆ่าฟัน แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องภูมิหลังที่มาที่ไปแล้ว สำนักซู่ซินจงนำหน้าสมาคมกระบี่ไปไกลนัก

ประวัติความเป็นมาของซู่ซินจงต้องย้อนกลับไปถึงเมื่อแปดร้อยปีก่อนสมัยราชวงศ์เทียนฉี่

สมัยราชวงศ์เทียนฉี่แผ่นดินยังไม่แตกออกเป็นสี่แคว้น แผนที่ค่อนข้างใหญ่ ทางตอนเหนือกินยาวไปถึงเป่ยหมิง ทางใต้กินยาวไปถึงหนานฉู่ ตะวันตกติดกับซีฉิน ตะวันออกยาวไปถึงตงไห่ ทะเลทั้งสี่เป็นของแคว้นเดียว ได้ฟังเช่นนี้คล้ายว่าเป็นราชวงศ์ที่แข็งแกร่งมาก แต่กระนั้นความเป็นจริงกลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

ราชวงศ์เทียนฉี่เป็นราชวงศ์ที่มีอำนาจประมุขอ่อนแอที่สุด ในตอนนั้นบารมีของราชสำนักยังยิ่งใหญ่สู้สำนักในยุทธภพไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ละโจวแต่ละจวินล้วนอยู่ได้ด้วยความคุ้มครองจากบารมีของสำนักในแต่ละพื้นที่ ยิ่งในพื้นที่ไหนยุทธภพมีอำนาจมาก ความขัดแย้งก็จะยิ่งน้อย ชาวบ้านจะยิ่งกินดีอยู่ดี ในทางกลับกันหากมีความขัดแย้งไม่หยุดหย่อน ชาวบ้านก็ไม่อาจอยู่อย่างเป็นสุขได้

ในยุครุ่งเรืองของยุทธภพ สนมชั้นเฟยในตำหนักทั้งสี่มีมาจากทุกสำนักใหญ่ และจากซู่ซินจงก็มากถึงสามส่วนจากสี่ส่วน

ในช่วงเวลาหนึ่ง ในกายผู้สืบทอดของราชวงศ์ล้วนมีสายเลือดของซู่ซินจงไหลเวียนอยู่ทั้งสิ้น

ยุครุ่งโรจน์ของซู่ซินจง ศิษย์ในสำนักมีอยู่สามหมื่นคน ศิษย์นอกสำนักมีอยู่หนึ่งแสนคน แทบจะสามารถกวาดล้างทัพใหญ่ของราชสำหนักได้เลยทีเดียว

แต่เมื่อรุ่งเรืองก็ต้องมีถอดถอย เดือนกระจ่างก็ย่อมมีเดือนดับ อำนาจราชวงศ์มากมายขึ้นทุกวัน ยุทธภพถดถอยลงเรื่อยๆ ซู่ซินจงที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งยุทธภพ ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความโชคร้ายที่ถูกราชสำนักขับไล่ไปอยู่ชายแดนได้

ซู่ซินจงในทุกวันนี้ถอยห่างจากการแย่งชิงอำนาจการปกครองมานานแล้ว อยู่สงบสุขอย่างสันโดษ แต่ตำแหน่งยอดเขาของภูเขาหลายลูกที่สำนักซู่ซินจงตั้งอยู่ก็เป็นชัยภูมิที่พิเศษมาก ทั้งไม่อยู่ในเขตแดนของต้าเหลียง และยังไม่อยู่ลึกเข้าไปในหนานฉู่ ซึ่งนี่ทำให้ทั้งสองแคว้นปวดหัวยิ่งนัก

ต้าเหลียงกับหนานฉู่ต่างเคยลองเกลี้ยกล่อมให้ซู่ซินจงเข้ามาอยู่กับแคว้นของตน แต่ก็จนใจที่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ซู่ซินจงสามารถตัดสินใจเลือกเองได้ จะไปอยู่กับต้าเหลียง หนานฉู่ก็ไม่ยอม จะไปอยู่กับหนานฉู่ ต้าเหลียงก็ไม่ให้

ต้าเหลียงไม่ใช่ไม่เคยคิดที่จะทำลายซู่ซินจงเสีย แต่ซู่ซินจงมีหนานฉู่เป็นปราการตามธรรมชาติ หากคิดจะทำลายก็ต้องเข้าไปในหนานฉู่ ซึ่งเท่ากับเป็นการเข้าไปในเขตแดนที่ไร้ซึ่งผู้คน หนานฉู่ก็เช่นกัน หากเขาคิดจะทำอะไรซู่ซินจงแม้เพียงเล็กน้อย ต้าเหลียงก็ไม่มีทางนิ่งเฉยแน่นอน

ภายใต้สถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนนี้ ซู่ซินจงยังคงอยู่ต่อไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ กลายเป็นสำนักที่ไม่ขึ้นกับแคว้นใดแคว้นหนึ่ง และไม่ได้ตั้งตนเองเป็นแคว้น

แน่นอนว่าที่ซู่ซินจงสามารถอยู่รอดปลอดภัยมาได้ตลอดหลายปีนี้ นอกจากทั้งสองแคว้นที่คุมเชิงกันอยู่แล้ว ตัวสำนักเองก็หลักแหลมเพียงพอ ซู่ซินจงทำดีกับทั้งสองฝ่าย ไม่เป็นปฏิปักษ์กับใครทั้งสิ้น ราชสำนักต้องการส่งคนไปฝึกวิชาที่ซู่ซินจง ซู่ซินจงก็ยินดีมาตลอด ตัวอย่างเช่นจีหมิงซิว หลี่อวี้ ล้วนเป็นศิษย์ของสำนักซู่ซินจงทั้งสิ้น

ภายในศาลารับลมของจวนไท่ซือ สวี่หย่งชิงเจ้าสำนักซู่ซินจงตรวจชีพจรให้จีหมิงซิวเสร็จก็เอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า “ตอนนี้ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร แต่ตอนนี้ไม่มี ไม่ได้แปลว่าในอนาคตก็จะไม่มี กำลังภายในนี้ทิ้งไว้ให้อยู่ในร่างกายอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี การกดมันไว้เป็นแค่การรักษาที่ปลายเหตุ ไม่อาจแก้ที่ต้นเหตุได้ ต้องคิดหาทางกำจัดออกไปถึงจะดีที่สุด… จีอู๋ซวงยังหาทางแก้ไม่ได้หรือ”

จีหมิงซิวชะงักไป “ยังขอรับ”

สวี่หย่งชิงลุกขึ้นยืน เดินไปตรงริมรั้ว มองต้นหลิวตรงขอบสระบัว “ครั้งนี้ข้ามาที่นี่ก็ด้วยเหตุนี้ ข้าได้ยินว่าทะเลสาบข้างหลังในจวนไท่ซือมีเกาะเล็กๆ อยู่เกาะหนึ่ง บนเกาะปลูกต้นสองภพเอาไว้ ต้นไม้ต้นนี้ยี่สิบปีถึงจะออกดอกออกผลครั้งหนึ่ง ครั้งก่อนที่ออกผลข้าไม่ทันรู้ข่าว มันเลยแห้งเหี่ยวไปเฉยๆ ครั้งนี้ข้าพาลูกศิษย์มาด้วย หนึ่งก็เพื่ออวยพรวันเกิดให้ไท่ซือ สองก็เพราะอยากให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้าช่วยเจ้าหาผลของต้นสองภพนี้”

สายตาจีหมิงซิวพลันอึ้งงันไป “ผลของต้นนี้มีประโยชน์ต่ออาการบาดเจ็บภายในของข้าหรือ”

สวี่หย่งชิงเอ่ยว่า “คำเล่าลือบอกไว้ว่ามันสามารถทำให้คนตายกลับมาเกิดใหม่ได้ อาการบาดเจ็บภายในของเจ้าเดิมทีเกิดเพราะได้รับบาดเจ็บภายในจากตอนอยู่ในครรภ์มารดา ก็ถือเป็นอาการป่วยอย่างหนึ่ง มันน่าจะช่วยรักษาได้”

จีหมิงซิวใช้ความคิด “ความหมายของอาจารย์ก็คือ… มันสามารถรักษาได้ทุกโรคหรือ”

สวี่หย่งชิงส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่กล้ารับประกัน ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เคยลองมาก่อน แต่ท่านอาจารย์ปู่เคยกล่าวไว้เช่นนี้”

“ไท่ซือรู้เรื่องนี้หรือไม่” จีหมิงซิวถาม

สวี่หย่งชิงจึงเอ่ยว่า “พ่อตาข้าไม่รู้ เรื่องต้นสองภพนี้ข้าได้ยินมาจากผู้เฒ่าไป๋เหมยเมื่อเดือนที่แล้ว ไป๋เหมยดื่มสุราไปมาก จึงพลั้งปากเผลอพูดออกมา ตอนหลังเขาเสียใจมาก กำชับข้าว่าห้ามแพร่งพรายความลับนี้ออกไป ไม่อย่างนั้นหากทั่วทั้งใต้หล้ารู้ จวนไท่ซือคงยากจะหนีจากการถูกกวาดล้างไปได้”

“ศิษย์ในซู่ซินจงรู้กันมากน้อยเพียงใด” จีหมิงซิวถามต่อ

สวี่หย่งชิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่มากเท่าไร ข้าบอกพวกเขาเพียงว่าข้าบาดเจ็บภายใน จำเป็นต้องใช้ยาตัวหนึ่ง พวกเขาไม่รู้ว่าต้นนั้นคือต้นสองภพ คิดว่าเป็นเพียงผลของต้นไม้ธรรมดา”

จีหมิงซิวขมวดคิ้ว “ศิษย์น้องหญิงก็ไม่รู้?”

“ปากอย่างนางนั่น หากบอกไปตอนนี้ ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม คนทั้งจวนไท่ซือคงได้รู้กันทั่ว” ปากเขากำลังต่อว่าบุตรสาว แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู

“พวกท่านกำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ” หลีเย่ว์เดินถือกล่องข้าวเข้ามา

ใบหน้าสวีหย่งชิงพลันมีรอยยิ้มรักใคร่ปรากฏให้เห็น “เจ้าไปซุกซนที่ไหนมาอีกแล้ว เหตุใดแต่เช้ามาถึงไม่เห็นตัวเลย”

หลีเย่ว์วางกล่องอาหารลงบนโต๊ะม้าหิน ยิ้มแปล้ขณะเอ่ยว่า “ข้าไปเรียนทำกับข้าวมาน่ะสิ”

“ทำให้ข้าหรือ” สวี่หย่งชิงถาม

หลีเย่ว์ยิ้มแหยๆ “ท่านกินด้วยได้”

สวี่หย่งชิงกระจ่างแจ้งแก่ใจโดยพลัน “กล่าวเช่นนี้แสดงว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้ข้าสินะ บุตรสาวที่ข้าเลี้ยงดูมาจนโตพอจะทำอาหารได้ อาหารจานแรกที่ทำกลับไม่ใช่เพื่อแสดงความกตัญญูต่อข้า ช่างน่าเศร้าใจนัก!”

หลีเย่ว์บีบนวดไหล่ของบิดา “ข้าเพิ่งทำครั้งแรก ยังไม่ชินมือ หากเกิดไม่อร่อยขึ้นมาเล่า จริงหรือไม่ ไว้ฝีมือการทำอาหารของข้าก้าวหน้าขึ้นแล้ว ข้าจะแสดงความกตัญญูต่อท่านพ่อให้ดีทีเดียว!”

สวี่หย่งชิงเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็คืออยากให้ศิษย์พี่ของเจ้าเป็นหนูลองยาอย่างนั้นสิ?”

“ก็ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น!” หลีเย่ว์ไปต่อไม่ถูก

สวี่หย่งชิงไม่แหย่บุตรสาวอีก กลับลงนั่งที่โต๊ะม้าหิน “คืออะไรน่ะ”

“ลูกชิ้นกุ้งบด” หลีเย่ว์ยกลูกชิ้นกุ้งบดตุ๋มน้ำแกงเห็ดออกมา จากนั้นก็เอาชามอีกสองใบมาตักให้พวกเขาคนละครึ่งชาม

สวี่หย่งชิงเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าศิษย์พี่ของเจ้าไม่กินกุ้ง”

หลีเย่ว์อึ้งไป “ศิษย์พี่ไม่กินกุ้ง? แต่ว่า… แต่ว่าสหายของศิษย์พี่เป็นคนบอกเองว่าศิษย์พี่ชอบกินกุ้งที่สุด”

“สหายของศิษย์พี่?” สวี่หย่งชิงขมวดคิ้ว สหายเช่นไรกันถึงให้ทำอาหารที่หมิงซิวไม่มีวันกิน

จีหมิงซิวยกชามขึ้นมาลองชิมคำหนึ่ง “รสชาติไม่เลว”

ในห้องครัว พวกเฉียวเวยเริ่มยุ่งกันจริงจังแล้ว คนผัดก็ผัดไป คนหั่นก็หั่นไป คนจัดแต่งจานก็จัดแต่งไป ยุ่งจนไม่เป็นอันพูดจากัน บ่าวในจวนไท่ซือรออยู่ที่หน้าประตู คอยฟังเผื่อมีใครเรียกหา

กลิ่นหอมของอาหารลอยออกมาจากห้องครัว ใครได้กลิ่นเข้าเป็นต้องท้องร้องจ๊อกๆ น้ำลายสอกันทั้งสิ้น

อาหารทำใหม่จานแล้วจานเล่าออกจากกระทะ บ่าวไพร่ก็รีบเข้ามายกใส่กล่องอาหารขนาดใหญ่ที่ทำขึ้นโดยเฉพาะ แล้วยกทีละกล่องออกไปตรงส่วนงานเลี้ยง

พ่อครัวแม่ครัวของหรงจี้ล้วนเป็นมือฉมังที่ฝีกปรือมาจากภัตตาคารใหญ่ ความเร็วในการผัดอาหารไม่อาจเทียบกับคนครัวของจวนไท่ซือได้ ทุกคนจึงได้เห็นอาหารถูกยกออกจากห้องครัวไปราวกับน้ำไหล

พ่อครัวเหอกับพ่อครัวไห่รับผิดชอบการผัดอาหารเป็นหน้าที่หลัก เฉียวเวยดูแลการนึ่งและแล่ปลา

ในจวนไท่ซือไม่มีปลาแซลมอนให้กิน หลักๆ เป็นปลาตะเพียนกับอาหารทะเลจำพวกหอยสด เฉียวเวยมีฝีมือการใช้มีดดี ปลาแต่ละชิ้นจึงบางราวกับปีกจักจั่น ปรุงรสด้วยน้ำปรุงรสที่เป็นสูตรเฉพาะแค่เล็กน้อย พอขึ้นตั้งโต๊ะก็แย่งกันจนหมดในพริบตา

ไม่นานก็มีศิษย์จากสำนักซู่ซินจงที่แต่งตัวอย่างสาวใช้เดินเข้ามา “ไม่ทราบว่า…ใครคือแม่นางเฉียวหรือ”

ทุกคนหันไปเหลือบมองนาง ในห้องนี้ยังมีใครเป็นสตรีอีกหรือ

สาวใช้เด็กยิ้มแหยๆ แล้วเดินเข้าไปหาเฉียวเวยที่กำลังแล่ปลาเป็นชิ้นๆ อยู่ “แม่นางเฉียว คุณหนูของพวกเราบอกว่าขอบคุณมาก ลูกชิ้นกุ้งบดที่เจ้าทำ ศิษย์พี่สี่ชื่นชอบมาก”

มีดที่หั่นปลาอยู่ของเฉียวเวยพลันชะงัก “ศิษย์พี่สี่ของพวกเจ้ากินเข้าไปแล้วหรือ”

“ใช่แล้ว” สาวใช้เด็กเอ่ยตอบ

ขนตาเฉียวเวยสั่นเล็กน้อย “เขารู้ว่าเป็นลูกชิ้นกุ้งบด?”

สาวใช้เด็กตอบตามจริงว่า “รู้เจ้าค่ะ คุณหนูของพวกเราบอกเขาแล้ว”

รู้แล้วยังกินเข้าไปอีก ไม่ใช่แพ้กุ้งหรอกหรือ ที่บอกว่าแพ้เป็นเรื่องหลอก หรือว่าแค่เพราะเป็นอาหารที่ศิษย์น้องหญิงทำ เขาจึงรับได้ทั้งสิ้น?

อีตาบ้า!

เฉียวเวยไม่หั่นปลาอีก เปลี่ยนไปสับหัวปลาแทน

สาวใช้เด็กยังไม่ไป

เฉียวเวยกวาดตามองอีกฝ่ายเย็นๆ สาวตาของนางหนาวเหน็บเกินไป สาวใช้กลัวจนใจเต้นระส่ำไปหมด

สาวใช้เด็กเอามือลูบหน้าอกแล้วก้าวถอยหลังไปหลายก้าวจนชนเข้ากับเสี่ยวลิ่วที่อยู่ข้างหลัง

เสี่ยวลิ่วเอ็ดนางด้วยความรำคาญว่า “อะไรน่ะๆ ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังจัดจานอยู่ ถ้าทำเสียไป ใช่เจ้าเป็นคนชดใช้หรือ”

สาวใช้เด็กไม่เสียแรงที่เป็นบ่าวประจำตัวศิษย์น้องหญิง ปฏิกิริยาท่าทางนางเหมือนศิษย์น้องหญิงราวกับแกะ นางเอ่ยด้วยความกลัวว่า “ขอโทษด้วย ข้าชนเจ้าเอง เจ้าไม่เจ็บที่ตรงใดกระมัง”

“…” คนเขายอมอ่อนให้ขนาดนี้แล้ว เสี่ยวลิ่วจึงระบายความโกรธต่อไม่ออก

เสี่ยวลิ่วส่งเสียงเหอะแล้วไม่สนใจอีกฝ่ายอีก เพียงขยับถาดให้ไกลออกไปหน่อย

“ยังไม่ไปอีก” เฉียวเวยเอ่ยเรียบๆ

เด็กรับใช้ลังเลเล็กน้อยก่อนบอกว่า “คุณหนูของข้าอยากเชิญเจ้าไปขึ้นเรือ”

หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ เฉียวเวยก้าวขึ้นเหยียบบนเรือที่หรูหรางดงาม จะบอกว่าเป็นเรือที่ตกแต่งอย่างงดงามก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เรือลำนี้มองดูแล้วคล้ายเรือยาวอูเผิงขนาดใหญ่โตมโหฬาร แต่เรืออูเผิงบ้านใดเขาทำจากถมทองกันบ้าง

ความร่ำรวยระดับนี้ เฉียวเวยเดิมพันด้วยหมูแท่งเผ็ดหนึ่งห่อว่าไท่ซือไม่ใช่ขุนนางสะอาดอะไร

“แม่นางเฉียว เชิญ” เด็กรับใช้นำทางให้เฉียวเวย

เฉียวเวยเดินตามเด็กรับใช้เข้าไปในหลังคา ริมหลังคาทั้งสองฝั่งมีม่านไข่มุกห้อยลงมา เมื่ออยู่ใต้แสงอาทิตย์จึงสะท้อนเป็นประกายวิบวับ ข้างในม่านพอจะเห็นว่ามีศิษย์ของซู่ซินจงอยู่สิบกว่าคนได้ มีทั้งบุรุษและสตรี นี่คงเป็นความแตกต่างระหว่างคนในยุทธภพกับคนในตระกูลใหญ่ ทุกคนอัดรวมกันอยู่ในห้องเดียว ไม่มีการรู้สึกเขินอายใดๆ กันทั้งสิ้น

ไม่รู้ว่าสมัยที่หมิงซิว “ฝึกวิชา” อยู่ที่ซู่ซินจงนั้น เขาเองก็เคยได้มีปฏิสัมพันธ์ของลูกศิษย์ผู้ใหญ่หรือไม่

ก็เหมือนตอนนางอยู่มหาวิทยาลัย ที่ตั้งใจไปนั่งฟังเลคเชอร์อยู่ข้างๆ หนุ่มหล่อ ฟังอาจารย์พูดไปน้ำลายไหลไปนั่นแหละ

เมื่อคิดเช่นนี้ ในใจเฉียวเวยก็เริ่มไม่พอใจขึ้นมาอีกแล้ว

ของดีอย่างนั้นหากไปอยู่ในมหาวิทยาลัยของนาง จะต้องได้อยู่ในระดับเทพบุตรเป็นแน่ การไปถึงก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมงเพื่อจองที่อย่างที่นางทำไม่เป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น จะต้องเป็นระดับคลั่งไคล้เท่านั้นถึงจะทำให้ได้เจอ

“ฮิๆๆ…” ข้างในมีเสียงหัวเราะกังวานใสปานกระดิ่งของศิษย์น้องหญิงลอยออกมา

หากมองเข้าไปจากมุมที่เฉียวเวยอยู่ ศิษย์น้องหญิงนั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของหมิงซิว ตัวหมิงซิวบังนางเอาไว้มิดพอดี เขาหันหน้าไป ไม่รู้ทำอะไร แต่ดูคล้ายกำลัง…

ไหน้ำส้มในใจเฉียวเวยพลันพลิกคว่ำ