ภาค 3 บทที่ 186 คุยเล่นมีแผนการ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เขาจางชิงซานฤดูหนาวเหน็บหนาวแห้งเย็น แต่การทำงานไม่ได้หยุด ในหมู่บ้านภูเขายามอรุณรุ่งเสียงเกราะดังรวมถึงเสียงร้องตะโกนของบุรุษสตรีผู้เฒ่าเด็กน้อยลอยมาเช่นเคย

เสียงนี้ดังต่อเนื่องตลอดอยู่เนิ่นนาน รอพวกเหลยจงเหลียนเหงื่อโชกศีรษะกลับมา หลิ่วเอ๋อร์ก็รอจนอดรนทนไม่ไหวแล้ว

“ทำไมนานขนาดนี้อีกแล้ว?” นางเอ่ยถาม ยกอาหารที่อุ่นร้อนอยู่บนเตาไฟออกมา

“พวกเขาบอกว่าฤดูหนาวล้วนเป็นเช่นนี้ เพราะงานเพาะปลูกไม่ยุ่ง ดังนั้นจึงฝึกฝนมาก” เหลยจงเหลียนเอ่ย

หลิ่วเอ๋อร์เบะปากอีกครั้ง

“มีอะไรน่าฝึกนักหนา ไม่ใช่แค่เหวี่ยงหอกยาวทิ่มซ้ายนิดหนึ่งทิ่มขวานิดหนึ่งโง่ๆ รึ” นางเอ่ย

นางย่อมเคยไปดูเรื่องสนุกด้วย ทว่ารู้สึกเรื่องสนุกนี่ไม่น่าดู แห้งแล้งไม่น่าสนใจจึงไม่ไปแล้ว

“ยังเล่นดีสู้หอกของลุงเหลยไม่ได้เลยเถอะ บอกอารองเซี่ยให้ท่านสอนพวกเขาดีกว่ามัง” นางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา

เหลยจงเหลียนยิ้มแล้ว

“ในหมู่พวกเขาทุกคนไม่มีใครวิชาหอกร้ายกาจเท่าข้าก็จริง แต่พวกเขาหลายคนก็ร้ายกาจกว่าข้าแล้ว” เขาเอ่ย

หลิ่วเอ๋อร์ฟังไม่เข้าใจก็ไม่สนใจ ยกอาหารมาให้พวกเขาเสร็จก็อุ้มเตาพกเอาไออุ่น

“คุณหนูขึ้นเขาแล้วรึ?” เหลยจงเหลียนเอ่ยถาม

หลิ่วเอ๋อร์พยักหน้า

“คงใกล้กลับมาแล้ว” นางบอก

ทุกวันคุณหนูจวินทำงานและพักผ่อนเหมือนกับพวกเหลยจงเหลียน พวกเขาไปฝึกทหาร ส่วนนางขึ้นเขาไปฝึกธนูกับจ้าวฮั่นชิง หลังจากนั้นพาจ้าวฮั่นชิงแยกแยะจดจำสมุนไพร

กลิ่นหอมหอบหนึ่งกระจายในป่า

“เสร็จแล้ว เสร็จแล้ว กินได้แล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย ใช้ก้อนหินกับดินกลบฝังกิ่งไม้ที่ถูกจุดไฟตรงหน้า

จ้าวฮั่นชิงนั่งยองๆ อยู่ข้างก้อนหิน มองคุณหนูจวินขุดรากไม้ที่ถูกหุ้มด้วยใบไม้แห้งสองชิ้นออกมา

“นี่กินได้จริงหรือ?” นางเอ่ยถามอย่างใคร่รู้

คุณหนูจวินใช้สองมือปอกเปลือกรากไม้ชิ้นหนึ่ง ในปากสูดอากาศเย็น

“เจ้าลองชิมดูก็รู้แล้ว” นางเอ่ย ส่งรากไม้ให้จ้าวฮั่นชิง

จ้าวฮั่นชิงรับไปเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

เวลาอยู่ด้วยกันกับคุณหนูจวินนางไม่สวมผ้าปิดหน้าแล้ว นางใช้จมูกลองดมก่อน ตอนนี้ถึงกัดคำหนึ่งอย่างระมัดระวัง ดวงตาเป็นประกายทันที

“อร่อยล่ะสิ” คุณหนูจวินเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น

จ้าวฮั่นชิงเริ่มกินคำโตแล้ว พลางพยักหน้าส่งเสียงอืมๆ งึมงำสองที กินเสร็จชิ้นหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่ง

“ที่ผ่านมาข้าไม่รู้เลยว่าหญ้าที่ไม่สะดุดตาชนิดนี้ถึงกับมีรากที่อร่อยปานนี้” นางสีหน้าเริงร่าเอ่ย

“เดิมทีข้าก็ไม่รู้” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย

จ้าวฮั่นชิงสีหน้าหม่นหมองลงเล็กน้อย

“เป็นเขาสอนเจ้าหรือ?” นางเอ่ยถามแววตาอิจฉาอยู่บ้าง

เขาย่อมหมายถึงจ้าวจื้ออี้

“พูดจริงๆ ไม่ใช่เขาสอนข้า” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “ตอนนั้นไม่มีของกินแล้วจึงขุดออกมาประทังความหิว ไม่ใช่ตั้งใจขุดมาให้ข้าเล่นหรือเสาะหาของอร่อยหรอก”

ประทังความหิว….

เขาก็อยู่ไม่ง่ายเหมือนกันหรือ? จ้าวฮั่นชิงเงียบไป

คุณหนูจวินฉีกรากไม้ครึ่งหนึ่งในมือตนส่งให้นาง จ้าวฮั่นชิงก็รับไปกินอย่างไม่เกรงใจ

“นอกจากนี้เขาขี้งกยิ่ง” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย

ขี้งก?

ในเรื่องเล่าที่พวกท่านอาหยางเล่าบุรุษคนนั้นประหนึ่งเทพ เทพเซียนย่อมไม่มีทางขี้งก

จ้าวฮั่นชิงมองคุณหนูจวิน

คุณหนูจวินชี้รากไม้ในมือนาง

“ตอนนั้นข้ากินแค่ครึ่งหนึ่ง” นางเอ่ย เบ้ปาก “พ่อของเจ้าก็ไม่ยอมให้ข้ากินเพิ่ม”

“เพราะ กินมากไม่ดีหรือ?” จ้าวฮั่นชิงลังเลนิดหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมา

คุณหนูจวินแค่นเสียง

“ที่ไหนเล่า เขาว่าเขาต้องได้กินอิ่ม เขาสำคัญที่สุด ข้าเด็กน้อยหิวนิดหน่อยไม่เป็นไร” นางเอ่ย

ถึงกับพูดเช่นนี้เชียว? พวกผู้ใหญ่ไม่ใช่ล้วนควรถอยให้เด็กเล็กหรือ?

เขา…ช่าง… น่าสนใจ

จ้าวฮั่นชิงกลั้นหัวเราะไม่ไหว

“เจ้ายังหัวเราะอีก” คุณหนูจวินยื่นมือบีบจมูกของจ้าวฮั่นชิง

ขี้เถ้าที่มือทิ้งรอยประทับรอยหนึ่งไว้ คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

จ้าวฮั่นชิงลูบทีหนึ่งมองเห็นขี้เถ้าที่เปื้อนบนมือก็หยิบขี้เถ้าบนพื้นลูบบนหน้าคุณหนูจวินบ้างทันที

ในป่าภูเขาเสียงหัวเราะโวยวายใสกังวานของพวกเด็กสาวฉับพลันดังขึ้น หยางจิ่งที่เดินเข้ามามองเห็นเด็กสาวสองคนที่ยิ้มแย้มเล่นสนุกอยู่ด้วยกันก็อดยิ้มขึ้นมาด้วยไม่ได้

“คุณหนูจวิน” เขาเอ่ยเรียก “จดหมายจากในเมืองส่งมา”

หลายวันนี้เพราะสถานการณ์เลวร้ายลงทุกที ร้านค้าล้วนปิดประตู เต๋อเซิ่งชางก็ไม่เว้น อาหารที่ใช้ข้ามฤดูหนาวสะสมไว้บริบูรณ์ คุณหนูจวินจึงให้พวกเขาไม่ต้องมาอีก ข่าวก็ใช้พิราบสื่อสารส่ง

พิราบสื่อสาร พวกเซี่ยหย่งกลับคุ้ยเคยยิ่งนักเช่นกัน ดังนั้นคุณหนูจวินจึงให้พวกเขารับส่งเสียเลย ไม่ใช่ว่าจะต้องให้พวกผู้คุ้มกันอย่างเหลยจงเหลียนทำเท่านั้น

คุณหนูจวินหยุดหัวเราะโวยวาย ไม่สนใจว่าบนหน้าถูกลูบจนดำ เดินเข้าไปรับกระดาษม้วนน้อย อ่านหนึ่งประโยคสั้นๆ จบ สีหน้านางก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

“สถานการณ์ย่ำแย่ปานนี้แล้วรึ” นางเอ่ยเสียงเบา พรูลมหายใจเฮือกหนึ่งออกมา จากนั้นเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “ท่านอาหยาง รบกวนท่านเตรียมการสักหน่อย ข้าต้องเข้าเมืองสักครั้ง”

……………………………………….

ลมหนาววูบหนึ่งพัดผ่าน ใบไม้แห้งบนพื้นปลิวว่อน หมุนควงหน้าประตูเมือง

“ไม่ได้มาหนึ่งเดือนกว่า ในเมืองกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” บุรุษคนหนึ่งเบิกตามองประตูเมืองที่ปิดสนิทพลางเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ

“ชาวจินไม่ใช่ยังบุกมาไม่ถึงที่นี่หรือ? ทำไมดูแล้วเหมือนกลายเป็นเมืองร้าง” เหลยจงเหลียนก็เอ่ยบ้าง

คิดถึงความรุ่งเรืองครึกครื้น คนมาคนไปตอนพวกเขามาปลูกฝี แตกต่างจากวันนี้มากเหลือเกินจริงๆ

“สถานการณ์ย่ำแย่มากจริงๆ” คุณหนูจวินที่ขี่อยู่บนม้าเอ่ยขึ้น มองดูทหารที่เฝ้าอย่างเข้มงวดบนประตูเมือง “เรียกยามเฝ้าประตูเถอะ”

ชื่อคุณหนูจวินมีประโยชน์ยิ่ง ได้ยินชื่อนี้ประตูก็เปิดออกทันที เมื่อเข้าเมืองแล้ว เจ้าเมืองโจวที่ได้ยินข่าวก็เร่งเดินทางมาเช่นกัน

“คุณหนูจวินของข้า ทำไมท่านยังไปอีก?” เขาเอ่ยอย่างตกตะลึง สีหน้าก็พลันวิตก “นี่เวลาใดแล้ว ทำไมท่านยังอยู่ที่นี่ของพวกเราอีก”

คุณหนูจวินปลอบประโลมเขาแล้วถามไถ่ข่าวสงครามยามนี้เป็นอย่างไร

ทางการไม่มีทางบอกสถานการณ์สงครามที่แท้จริงให้ชาวบ้านทราบเด็ดขาด ถึงเป็นคุณหนูจวินก็ไม่เว้น ถึงขั้นยิ่งไม่มีทางเอ่ยกับนาง

หากนางยกแขนร้องเรียกทุกคนหนีกันเถอะ ถ้าอย่างนั้นเมืองชิ่งหยวนก็โกลาหลแล้ว

เจ้าเมืองโจวหัวเราะฮ่าฮ่า

“ไม่มีปัญหาแน่นอน” เขาเอ่ย “มีเฉิงกั๋วกงอยู่คุณหนูจวินวางใจได้”

อย่างอื่นไม่พูดมาก คุณหนูจวินก็ไม่ถามมากด้วย

“ใช่แล้ว มีเฉิงกั๋วกงอยู่ไม่มีปัญหา” นางพยักหน้าเอ่ย

“มีเฉิงกั๋วกงอยู่ไม่มีปัญหาแน่นอน”

มาถึงเต๋อเซิ่งชาง ผู้ดูแลใหญ่ก็เอ่ยเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่สีหน้าของเขาหนักใจ

“แต่ตอนนี้ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือเฉิงกั๋วกงจะอยู่ได้หรือไม่”

พลางเอาจดหมายที่ละเอียดยิ่งกว่าที่กำลังจะให้คนไปส่งออกมา

จดหมายเหล่านี้บางฉบับมาจากฟางจิ่นซิ่วที่เมืองหลวง บางฉบับมาจากฟางเฉิงอวี่ที่หยางเฉิง อ่านจดหมายเหล่านี้จบ เรื่องราวที่เกิดที่เมืองหลวงรวมถึงความขัดแย้งในราชสำนักคุณหนูจวินล้วนเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว

“เฉิงกั๋วกงไม่มีทางจากไป” คุณหนูจวินเอ่ย “หากจากไปถึงตกหลุมพรางแผนชั่วของชาวจิน ในราชสำนักมีคนกลัวจนเลอะเลือนแล้ว เฉิงกั๋วกงไม่มีทางเลอะเลือน”

พูดถึงตรงนี้ก็เงียบไปอีกครู่หนึ่ง

กลัวก็แต่คนในราชสำนักไม่ใช่กลัวจนเลอะเลือน แต่ตั้งใจแสร้งเลอะเลือน

ยังมีจูจั้นอีก ครั้งนี้เขาข้างหน้ามีสุนัขป่าข้างหลังมีเสือจริงๆ แล้ว เทียบกับตอนเข้าเมืองหลวงก่อนหน้านี้ยากลำบากยิ่งกว่า

“แจ้งเต๋อเซิ่งชางทั้งหมดในแดนเหนือ หากพบบุตรชายเฉิงกั๋วกงช่วยเหลือสุดกำลัง” นางเอ่ย

ทั้งหมด นี่คือถ่ายทอดคำสั่ง? ช่วยเหลือสุดกำลัง คำพูดนี้ก็คุ้ยเคยยิ่งนัก เป็นคำสั่งที่นายน้อยฟางสั่งกับเต๋อเซิ่งชางทุกแห่ง

ถ้าอย่างนั้นความหมายนี่ก็คือบุตรชายเฉิงกั๋วกงผู้นี้ได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับคุณหนูจวิน

ผู้ดูแลใหญ่ของเต๋อเซิ่งชางตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่คิดถึงคำสั่งของนายน้อยฟาง

“คำพูดของคุณหนูจวินก็คือคำพูดของข้า นางว่าอย่างไรพวกท่านก็ทำอย่างนั้น”

บนจดหมายติดต่อทุกครั้ง คำพูดประโยคนี้มักจะเขียนไว้บนหัว แทบกลายเป็นหัวจดหมายของเต๋อเซิ่งชางไปแล้ว

“ขอรับ” ผู้ดูแลใหญ่ค้อมกายขานรับ

เพราะต้องเร่งเดินทางทั้งคืนกลับไป คุณหนูจวินจึงไม่รั้งอยู่อีก

“ตอนนี้แดนเหนือโกลาหลเกินไปไม่ปลอดภัย ขอเจ้าเมืองจัดทหารอารักขาให้เถอะขอรับ” ผู้ดูแลใหญ่มองบรรดาบุรุษที่ยืนอยู่ในลาน

นอกจากพวกเหลยจงเหลียนสองสามคน คนที่เหลือล้วนเป็นชาวบ้านท่าทาทางบ้านๆ สีหน้าโง่งม

ทำไมไม่พาผู้คุ้มกันของตนเองมาด้วย คนเหล่านี้พึ่งไม่ได้กระมัง

“ไม่ต้อง พวกเขาก็พอแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย

คำพูดของคุณหนูจวินจงเชื่อฟัง อย่าสร้างปัญหาเพิ่ม ผู้ดูแลใหญ่ได้แต่ค้อมกายขานรับ แล้วเตรียมอาหารอีกหลายถุงยกขึ้นหลังม้าให้พวกเขา มองดูพวกเขาจากไป

……………………………………….

บนทางภูเขาพลบค่ำมาเยือน กระทั่งเงาผีก็มองไม่เห็น คิดถึงหมู่บ้านรกร้างเสื่อมโทรมไม่มีใครสักคนที่เห็นระหว่างทางที่ผ่าน อารมณ์ของคุณหนูจวินก็หนักอึ้งอย่างยิ่ง

ความรุ่งเรืองสงบสุบที่สิบปีถึงสร้างขึ้นมาได้ ปุบปับก็ย่อยยับในคราวเดียว จะฟื้นคืนดังเดิมอีกครั้งคงต้องใช้อีกนานหลายปี

ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าแผ่วเบาระลอกหนึ่งก็ดังเข้าหู คุณหนูจวินที่อยู่บนม้าพลันนั่งตัวตรง ส่วนหยางจิ่งที่เดินอยู่ด้านหน้าก็ยื่นมือออกไปแล้วเช่นกัน

ชบวนที่เคลื่อนที่อยู่หยุดชะงักทันที

“ฮ่า! พบแกะตัวอ้วนแล้ว!”

เสียงร้องประหลาดดังมาจากข้างทาง พร้อมกันนั้นบุรุษเจ็ดแปดคนก็กระโดดออกมาจากป่า ในมือชูดาบขวาน สีหน้าดุร้ายทั้งยังตื่นเต้น

บ้านเมืองวุ่นวายโจรผู้ร้ายมากจริงๆ คุณหนูจวินมองคนเหล่านี้แล้วถอนหายใจ

“ฆ่าพวกเขาซะ” นางเอ่ย