ตอนที่ 583 ใครกันแน่ที่ทรมาน
เจียงโม่หานเข้ารับการตรวจสอบสัมภาระและยืนยันตัวตน ในตอนแรกก็ราบรื่นดี แต่เมื่อพบว่าในตะกร้าเข้าสอบของเขามีถุงร้อนและหม้อไฟสำเร็จรูป จู่ ๆ ก็ถูกผู้คุมสอบเรียกเอาไว้ “ช้าก่อน สิ่งนี้คืออะไร ? ”
เจียงโม่หานหยิบถุงร้อนที่ปล่อยความร้อนจากอกเสื้อออกมาพลางเอ่ยกับผู้คุมสอบว่า “สิ่งนี้เอาไว้ให้ความอบอุ่น ด้านในเป็นผงเหล็ก แร่ ( เวอร์มิคูไลท์ ) และผงถ่าน ( ถ่านกัมมันต์ )…”
ผู้คุมสอบจึงให้ผู้ช่วยฉีกออกหนึ่งใบก็พบว่าด้านในล้วนเป็นผงสีดำ จากนั้นก็ได้ทำการบีบถุงทุกใบว่ามีสิ่งใดแอบแฝงมาด้วยหรือไม่ เมื่อเห็นว่าในตะกร้าเข้าสอบของเขามีวัตถุดิบทำอาหารด้วย ผู้คุมสอบก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ในห้องสอบไม่สามารถจุดไฟทำอาหารได้ เจ้าไม่รู้หรือไร ? ”
เจียงโม่หานพยักหน้าและเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้พกอุปกรณ์จุดไฟมาด้วยและอาหารก็ไม่ได้จัดอยู่ในสิ่งของต้องห้ามใช่หรือไม่ ? ”
ผู้คุมสอบขมวดคิ้วมุ่น…ไม่มีไฟแล้ว เจ้าจะจัดการวัตถุดิบเหล่านี้อย่างไร ? กินดิบอย่างนั้นหรือ ? ผู้เข้าสอบตรงเบื้องหน้ามีอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น ใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์นัก เห็นได้ชัดว่ายังไม่เคยประสบกับสังคมที่โหดร้ายมาก่อน ฮึ ! คิดว่าสนามสอบเป็นสถานที่อย่างไร ? เจ้ามาพักผ่อนหรือ ? ช่างเถิด ไม่พูดให้เปลืองน้ำลายอีกน่าจะดีกว่า หากเข้าไปในสนามสอบแล้ว เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นี้ก็จะได้รับบทเรียนเอง !
หลังจากตรวจสอบตะกร้าเข้าสอบและเสื้อผ้าของเขาอย่างละเอียดโดยมั่นใจว่าไม่มีการโกงใดๆ แล้วก็โบกมือปล่อยเขาเข้าไปด้านใน ผู้ช่วยที่ถือถุงร้อนเอาไว้ก็พบว่าถุงผ้าเล็ก ๆ นี้สามารถให้ความร้อนออกมาราวกับที่อุ่นมือก็ไม่ปาน
ยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวมานาน หนาวจนจับขั้วหัวใจอยู่แล้ว เขาก็นึกขึ้นได้ว่าผู้เข้าสอบหนุ่มคนเมื่อครู่หยิบของสิ่งนี้ออกมาจากอกเสื้อ ดังนั้นเขาจึงยัดถุงร้อนเข้าในอกเสื้อของตนอย่างเงียบ ๆ…‘เฮ้อ ! อุ่นดีจริง ๆ ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่น่าจะหยิบออกมาอีกสักใบ ! ’
แม้ห้องสอบของเจียงโม่หานไม่ได้อยู่ใกล้ห้องน้ำและไม่มีกลิ่นเหม็นรบกวน แต่ก็ยังมืดและหนาวเย็นอยู่บ้าง เขาจึงใช้ผ้าใบกันน้ำที่เตรียมมาตอกกับหลังคาของห้องสอบอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันน้ำรั่วยามที่ฝนตก จากนั้นหยิบผ้าผืนหนาที่อยู่ก้นตะกร้าเข้าสอบมาปูที่พื้นห้อง จัดวางเครื่องเขียนให้เรียบร้อยแล้วหลับตาเพื่อพักผ่อน
หลังจากได้รับกระดาษข้อสอบแล้ว สำหรับเจียงโม่หานไม่ได้ยากอะไรเลย คำตอบของเขาในช่วงเช้าจึงราบรื่นเป็นอย่างมาก เขาเก็บกระดาษคำตอบที่หมึกแห้งแล้วไว้อย่างดี จากนั้นก็หยิบหม้อไฟสำเร็จรูปที่คู่หมั้นเตรียมให้ออกมา
ผ่านไปไม่นานผู้เข้าสอบทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาต่างก็ได้กลิ่นหอมของข้าวอบล่าฉาง ( กุนเชียง ) ‘ใคร ? ใครมาทำอาหารในสนามสอบ ? ไม่ถูกสิ เพราะนอกจากเทียนแล้วไม่อนุญาตให้จุดไฟแบบอื่นไม่ใช่หรือ ? แล้วกลิ่นหอมนี้มาจากที่ใด ? ’
ผู้คุมสอบที่เดินตรวจตราก็ได้กลิ่นหอมของอาหารเช่นกัน ผู้ตรวจการมองไปยังผู้คุมสอบที่รับผิดชอบตรวจของต้องห้ามด้วยความโมโห ‘มีคนทำอาหารในสนามสอบ ของต้องห้ามที่เห็นได้ชัดอย่างถ่าน พวกเจ้ายังตรวจไม่พบ แล้วจะมีพวกเจ้าไว้ทำไม ? ’
ผู้คุมสอบหลายคนเดินตามกลิ่นหอมนั้นไปจนมาเจอห้องสอบของเจียงโม่หาน พวกเขายืดคอเข้าไปสอดส่องด้านใน แต่ไม่พบถ่านหรือไฟอะไรเลย ทว่าข้าวอบล่าฉางอุ่น ๆ บนพื้นมาได้อย่างไร ?
ในขณะที่สงสัยกันอยู่นั้นก็เห็นบัณฑิตหนุ่มทางด้านในค่อย ๆ วางถุงตาข่ายใบหนึ่งลงในกล่องเหล็ก ก่อนจะเทน้ำลงไป จากนั้นก็นำกล่องเหล็กอีกใบที่ใส่น้ำและผักสองสามชนิดวางซ้อนด้านในอีกชั้น ก่อนจะใช้กระดาษน้ำมันห่อคลุมให้แน่น…เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ เหล่าผู้คุมสอบก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ามีไอน้ำพวยพุ่งออกมาจากกระดาษน้ำมัน หลังจากค่อย ๆ เย็นแล้วเปิดกระดาษน้ำมันออกก็พบว่าผักด้านในสุกได้ที่แล้ว
หากไม่ใช่เพราะว่ามีกฎห้ามพูดคุยกับผู้เข้าสอบยามที่อยู่ในสนามสอบแล้วล่ะก็ ผู้คุมสอบทั้งหลายจะต้องเข้าไปถามผู้เข้าสอบคนนี้ว่าทำได้อย่างไร ไม่มีไฟแต่สามารถต้มผักให้สุกได้ ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก !
เจียงโม่หานเงยหน้าขึ้นพลางเหลือบมองเหล่าผู้คุมสอบที่ห้อมล้อมอยู่นอกห้องเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ โรยเครื่องปรุงบนผักและเริ่มกินอาหารกลางวัน อืม เหมือนจะใส่น้ำในข้าวมากไปหน่อย ล่าฉางนี้ว่าที่ภรรยาของเขาเป็นคนทำเองกับมือ รสชาติย่อมไม่ต้องพูดถึง กินผักอีกสักหน่อยเพื่อเพิ่มวิตามินอะไรสักอย่าง ? คำพูดแปลก ๆ จากปากของเด็กน้อยไม่มีสิ้นสุด จนบางทีเขาต้องยอมแพ้ !
ผู้เข้าสอบที่อยู่ติดกับห้องของเขาทั้งด้านซ้ายและขวาก็สูดดมกลิ่นล่าฉางหอม ๆ ไปพลางแทะอาหารแห้งที่เย็นชืดในมือไปด้วย…‘ในมือมีหมั่นโถว ในกับข้าวไม่มีน้ำมันสักหยด…ที่จริงไม่มีกับข้าวเลยด้วยซ้ำ ผู้คุมสอบมัวทำอะไรอยู่ ? เหตุใดไม่ไปจับเขา ? สิทธิพิเศษ ต้องมีการใช้สิทธิพิเศษแน่นอน ! ’
กลางคืน สายลมด้านนอกห้องสอบส่งเสียงหวีดหวิว ภายในห้องสอบหนาวเย็นราวกับถ้ำน้ำแข็ง เมื่อมองอาหารแห้งที่แข็งกระด้างแล้ว ผู้เข้าสอบหลายคนฝืนกัดได้เพียงคำสองคำก็เลือกที่จะม้วนตัวลงนอนใต้ผ้าห่มทันที
“บัดซบ ! ข้าเหมือนได้กลิ่นบะหมี่ ! ” ผู้เข้าสอบทางด้านซ้ายของเจียงโม่หานกุมท้องที่ร้องโครกคราก เขาก็ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของร้านหนิงจี้มาด้วยและรู้ว่าบะหมี่ชนิดนี้สามารถใช้น้ำร้อนต้มกินได้ แต่ในสนามสอบไม่มีน้ำร้อนให้…ไม่ใช่สิ ใครกำลังกินบะหมี่ต่างหาก ? หลังออกไปแล้วเขาจะต้องร้องเรียนผู้คุมสอบฐานปกปิดความผิดให้ได้ !
เจียงโม่หานต้มน้ำในหม้อไฟสำเร็จรูป ใส่บะหมี่อบแห้งลงไป จากนั้นก็ใส่ไข่ ใส่ผงปรุงรส หลังกินอิ่มแล้วก็ยัดถุงร้อนเข้าไปที่อกเสื้อและแผ่นหลัง วางกระดานไม้เพื่อทำเป็นเตียงนอนง่าย ๆ พลางขดตัวลงนอนด้านบน แต่เพราะเขาขายาวเกินไปจึงนอนไม่ค่อยสบายสักเท่าไรนัก…
การสอบตลอดหลายวันนี้อากาศเลวร้ายมาก เพิ่งจะวันที่สามก็มีผู้เข้าสอบไม่สบายจนถูกหามออกนับสิบคน หลินเว่ยเว่ยจองห้องหนึ่งของโรงน้ำชาฝั่งตรงข้ามสนามสอบเอาไว้ ทุกวันพอฟ้าสางก็จะมานั่งจนถึงเวลาห้ามออกนอกบ้านยามวิกาลจึงกลับตำหนักอ๋อง ทุกครั้งที่มีผู้เข้าสอบถูกหามออกมา นางจะเป็นกังวลมาก แม้ได้รับคำยืนยันจากซัวถัวแล้วก็ยังไม่สามารถวางใจเรื่องคู่หมั้นหนุ่มที่อยู่ในสนามสอบได้อยู่ดี
หลังต้องทนกับความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนจนครบเก้าวัน ในวันสุดท้ายหลินเว่ยเว่ยก็มารอที่หน้าประตูสนามสอบตั้งแต่เช้าตรู่ บัณฑิตน้อยเป็นกลุ่มแรกที่ออกมาจากสนามสอบ คนที่ออกมาพร้อมเขาหลายคนล้วนถูกหามออก บางคนออกจากประตูสนามสอบได้ไม่ทันไรก็ล้มลงกับพื้นและหมดสติไปเลย
หลินเว่ยเว่ยพุ่งเข้าไปที่หน้าประตูสนามสอบเป็นคนแรก ก่อนใช้มือข้างหนึ่งรับตะกร้าในมือของเจียงโม่หานมาถือไว้และใช้มืออีกข้างประคองแขนของเขาพลางเอ่ยถามเป็นชุด “เป็นอย่างไรบ้าง ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ? เหตุใดสีหน้าถึงดูย่ำแย่เช่นนี้ ? เหนื่อยหรือไม่ ? พิงข้าไว้ แล้วข้าจะประคองเจ้าเอง…”
ส่วนหลินจื่อเหยียนช่วยประคองเอาไว้อีกข้าง “รถม้าอยู่ตรงโน้น พี่รองเชิญหมอหลวงมาให้ท่านแล้ว…พวกท่านต้องประหลาดใจมากแน่ ! ”
ทุกครั้งที่มีการสอบขุนนาง บรรดาหมอในเมืองหลวงล้วนมีไม่เพียงพอ ตระกูลที่อยู่ในเมืองหลวงหากมีผู้เข้าสอบในครอบครัวก็มักจะไปเชิญหมอเอาไว้ล่วงหน้า อีกทั้งด้วยสภาพอากาศที่เลวร้ายในปีนี้ก็ยิ่งทำให้หมอขาดแคลน หลินเว่ยเว่ยที่น้อยครั้งจะเข้าวังด้วยตัวเอง แต่เพื่อคู่หมั้นของนางแล้วถึงขั้นเข้าวังไปขอพระราชทานอนุญาตจากฮองเฮาเหนียงเหนียงเพื่อเชิญหมอหลวงมารออยู่บนรถม้าเรียบร้อยแล้ว
หลินเว่ยเว่ยกึ่งประคองกึ่งอุ้มเจียงโม่หานเข้าไปในรถม้าคันนั้น ก่อนจะส่งกระบอกน้ำที่บรรจุน้ำพุวิญญาณอุ่น ๆ ให้เขา “ดื่มน้ำเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นก่อน”
เจียงโม่หานดื่มน้ำไปหลายอึก สีหน้าจึงดีขึ้นเล็กน้อย เขาส่งยิ้มปลอบประโลมให้แก่หลินเว่ยเว่ยพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล ! ”
หมอหลวงที่รออยู่ด้านข้างก็หันมาทางพวกนาง เจียงโม่หานจึงมองด้วยความตกใจ ที่แท้ก็เป็นท่านหมอเหลียงแห่งฉือหลี่โกว…หลินจื่อเหยียนจึงขยิบตาให้เขา “แปลกใจใช่หรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยก็คาดไม่ถึงว่าหมอหลวงที่นางให้มารออยู่จะเป็นท่านหมอเหลียงซึ่งเป็นทั้งอาจารย์และสหายของตน