บทที่ 607 อดีตกับปัจจุบันล้วนหนีไปแล้ว

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 607 อดีตกับปัจจุบันล้วนหนีไปแล้ว

นี่คือยาจินฉวง เป็นของที่นางเคยให้ยู่หลิวซู ตอนนี้เขาเอาสิ่งนี้ให้นาง ก็เป็นแค่การหยั่งเชิงนางเท่านั้น ดูว่านางจะยินยอมใช้ฐานะอะไรพูดคุยกับเขา

นี่ยืนยันแล้ว

แม้ว่าเปลือกนอกไม่เหมือนกัน ทว่าแม้แต่ยู่หลิวซูล้วนมั่นใจแล้วว่านางก็คือหลานเยาเยา

ยอมรับ ก็คือยอมรับแล้ว นางก็คือหลานเยาเยา

ส่งคืน ก็คือยังคงพูดคุยกันในฐานะของซ่างกวนหนานซู่

หลานเยาเยาไม่ได้ส่งคืน กลับกล่าวหยอกล้อประโยคหนึ่ง : “หนึ่งปีกว่าไม่เจอ คิดไม่ถึงว่าจะเรียนรู้การอ้อมค้อมแล้ว เปลี่ยนแปลงมาเชียวนะ!”

ยู่หลิวซูแอบโล่งใจ บนใบหน้ายกเป็นรอยยิ้ม แล้วนั่งลงอย่างไม่สนภาพพจน์ น้ำเสียงที่พูดจาค่อนข้างน้อยใจ

“ช่วยไม่ได้ อยู่สำนักหงอี ตลอดเวลาต้องต่อสู้กับสติปัญญาและความกล้าหาญของเหล่าผู้อาวุโส ไม่เรียนรู้ให้ปราดเปรื่องหน่อยไม่ได้ขอรับ ท่านไม่รู้ ข้าแทบจะถูกพวกเขากดดันจนเป็นบ้าแล้ว”

“เป็นเจ้าสำนักแล้ว เป็นการเปิดประสบการณ์ความรู้ใหม่ที่ตัวเองมีต่อเจ้าสำนักใช่หรือไม่?”

คิดถึงตอนแรกเริ่ม ภายใต้สถานการณ์ที่นางไม่รู้เรื่องพวกตาเฒ่า ช่วยนางก่อตั้งสำนักหงอี นางเป็นเจ้าสำนักอย่างมึนงง ในความรู้ของนาง เจ้าสำนักควรน่าเกรงขามในทุกด้าน อิสระตามอำเภอใจ ทุกสายตาทุกการกระทำ ล้วนเพียงพอจะสามารถทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหายใจไม่ทั่วท้อง ปฏิบัติตามคำสั่ง

แต่ทว่าความจริงกลับเป็น ตาเฒ่าสิบคน ผลัดเปลี่ยนกันรังแกนาง ใช้อำนาจมั่วซั่ว นางไม่เพียงทำอะไรเขาไม่ได้ ยังต้องบริการของกินเครื่องดื่มดีๆอีก

ครั้งหนึ่งนางเคยคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าสำนักที่น่าอนาถที่สุดในประวัติศาสตร์

ตอนนี้ ในที่สุดก็มีผู้ที่น่าสงสารเหมือนกันแล้ว

โชคดีเพียงไหนนี่!

“ท่านก็เป็นเช่นนี้?” ยู่หลิวซูเบิกตาโพลงทันที สีหน้าเหลือเชื่อ

เขาคิดมาตลอดว่า มีเพียงเขาที่เป็นเช่นนี้

อย่างไรเสีย!

หลานเยาเยามีฐานะเป็นเทพธิดา ฝีมือวิชาการรักษาล้ำเลิศเป็นเซียน อีกทั้งชื่อเสียงที่ดังสะเทือนทั้งแผ่นดินใหญ่ของเทพธิดา วิทยายุทธกำลังภายในไม่ด้อยไปกว่าอ๋องเย่ ฮ่องเต้แต่ละประเทศล้วนต้องเกรงใจนาง

บุคคลเช่นนี้ เหล่าผู้อาวุโสน่าจะยกยอปอปั้นไว้ในมือ ปฏิบัติตามคำสั่งถึงจะถูก

แต่น้ำเสียงของหลานเยาเยา เหมือนกับว่ามีน้ำเสียงของการรับรู้ความรู้สึกเดียวกันเช่นนั้น

หลานเยาเยายิ้มเจื่อนๆเล็กน้อย

“เทียบกับข้า เจ้าเป็นลูกรักในใจของพวกเขาแล้ว”

“ลูกรักในหัวใจ?” ยู่หลิวซูไม่กล้าเห็นด้วยกับเขาโดยสิ้นเชิง เนื่องด้วย หลังจากที่เป็นเจ้าสำนัก เหล่าผู้อาวุโสบังคับเขาดูหนังสือซ้อมวิทยายุทธตลอดเวลา อีกทั้งยังขัดขวางเรื่องการศึกษาวิชาพิษลวงตา บอกกล่าวแต่ละเรื่องให้นางฟัง

พูดจบ ยังถอนหายใจเงียบๆอีก!

“ท่านดูสิ เป็นลูกรักในหัวใจที่ไหนกัน? เห็นได้ชัดว่าเป็นกระสอบรับความโกรธ!”

เหอะ!

เพียงแค่นี้ยังกล้าบอกว่าตัวเองทุกข์ใจ? หลานเยาเยาส่ายหน้า ริมฝีปากที่ชุ่มชื้นค่อยปริเล็กน้อย

“เพียงแค่จิตใจของเจ้าถูกทำร้ายเท่านั้น เจ้าเคยถูกโยนเข้าไปในค่ายกลให้มีชีวิตเองตายเองหรือไม่? เจ้าเคยเผชิญกับการโดดดีดจากในรถม้าของตัวเองสูงไปในอากาศหรือไม่? เจ้าเคยหรือไม่เคยถูกเหล่าผู้อาวุโสไล่ตีไปทุกที่?

นี่เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กหนึ่งเรื่องสองเรื่องในนั้นเท่านั้น หากไม่ได้เผชิญกับสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็โชคดี”

ฟังจบ ยู่หลิวซูอดกลืนน้ำลายไม่ได้

น่ากลัวขนาดนี้เชียวหรือ?

เมื่อเทียบกับตอนนี้ เขาโชคดีมากจริงๆ

“ท่านเป็นถึงเทพธิดานะขอรับ! ไม่ไว้หน้าขนาดนี้เชียวหรือ?”

“เหอะ เทพธิดา ในสายตาของพวกเขา ข้าก็ยังเป็นเด็กผู้หนึ่ง”

“เช่นนั้นท่านทำอย่างไรกับพวกเขาขอรับ?” จุดนี้สำคัญที่สุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง!

ตอนที่รู้จักหลานเยาเยา นางเย็นชาเคร่งขรึม ทุกการขมวดคิ้วและยิ้มองอาจห้าวหาญ น่าเกรงขามที่สุด ไม่เหมือนกับเจ้าสำนักในจินตนาการของโดยสิ้นเชิง

อีกทั้ง ก่อนหน้าที่เขายังไม่เข้าร่วมสำนักหงอี ก็เคยแต่งตัวเป็นคนจนปะปนเข้าไปอยู่ในกองทหารกับถิงเมี่ยน หยั่งเชิงสถานการณ์ หลานเยาเยานำบรรดาผู้คนสำนักหงอีเข้าเหลือพวกเขาเวลานั้น เขาเห็นได้ชัด ทุกคนล้วนเคารพนับถือนางมาก ไม่กล้าขัดขืนสักน้อย

“คำเดียว เอาใจ!”

“เอาใจ?”

“พวกเขาสั่งสอนพวกเราเป็นเด็ก พวกเราก็เอาใจทำเหมือนพวกเขาเป็นเด็ก ลองร้อยครั้งเห็นผลร้อยครั้ง” นี่คือในสามปีที่นางเป็นเจ้าสำนัก ปฏิบัติออกมาเป็นผลลัพธ์

ยู่หลิวซูรู้สึกว่านางพูดจามีเหตุผลมาก แทบจะเอาสมุดเล็กๆออกมาจด

“ยังมีไหมขอรับ? มีเรื่องที่ต้องระวังหรือไม่ขอรับ?”

“มี ด้านในนี้มีวิชาความรู้อีกมากมายเชียวล่ะ! เจ้าดูสิ ผู้อาวุโสทุกคนนิสัยอารมณ์ล้วนไม่เหมือนกัน ความสนใจความชอบเป็นธรรมดาที่ไม่เหมือนกัน

ก็ยกตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสใหญ่ คุณธรรมค่อนข้างลึกซึ้ง ชอบศึกษาค่ายกล เจ้าเพียงแค่เอาใจในเรื่องที่ชอบ รับรองว่าเขาอารมณ์ดีเป็นแน่

คนต่อไปผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสรองเป็นคนที่จริงจังเคร่งขรึมที่สุดในเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมด เขาไม่พูดขบขัน เคร่งครัดระเบียบวินัย แต่ฉลาดปราดเปรื่องเป็นพิเศษ อย่าหาเรื่องเขาเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นชีวิตในแต่ละวันจะลำบาก

รับมือกับเขาเพียงต้องการบีบให้ตัวเองพัฒนา แสดงความสามารถที่ดีออกมา

ยังมีผู้อาวุโสสาม…….”

หลานเยาเยากำลังช่วยยู่หลิวซูวิเคราะห์นิสัยของผู้อาวุโสเหล่านั้นทีละคน รวมถึงวิธีการรับมือ ยู่หลิวซูฟังไปพลางแอบจดไปพลาง นี่เกี่ยวข้องกับการเป็นอยู่หลังจากนี้ของเขาว่าจะดีหรือไม่เชียว จำเป็นต้องตั้งใจฟังบรรยาย จำไว้ให้แม่น

ทั้งสองคนหนึ่งพูดอย่างละเอียด คนหนึ่งฟังอย่างตั้งใจ ไม่รู้ตัวโดยสิ้นเชิงว่า ผู้ที่พวกเขาวิเคราะห์ เวลานี้ก็ยืนอยู่ด้านหลัง ฟังคำพูดของพวกเขาไม่ให้ตกหล่นแม้สักคำ

แต่ละคนโกรธเคือง แสดงความรู้สึกในใจออกมาบนใบหน้าเล็กน้อย โดยเฉพาะ หลานเยาเยาเข้าใจพวกเขาขนาดนี้ แต่บนใบหน้าเริ่มกำหมัดแล้ว พูดแบบนี้ให้เจ้าสำนักฟัง พวกเขาไม่ต้องการหน้าตาแล้วหรือ?

“แฮ่ม!”

ผู้อาวุโสรองฟังต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ กระแอมเบาๆเสียงหนึ่ง หยุดยั้งพวกเขาการสนทนาต่อของพวกเขา

หลานเยาเยาและยู่หลิวซูตะลึงทันที จากนั้นคอแข็งหันกลับไปพร้อมกันโดยไม่ได้นัด ทันใดนั้นก็เห็นรอยยิ้มที่มีจุดประสงค์ไม่ดีของเหล่าผู้อาวุโส

ใจหล่นวูบ

“เจ้าสำนัก คุณชายซ่างกวน อารมณ์สุนทรีย์จริงๆเลย!”

เออะ……

น้ำเสียงนี้ จบเห่แล้ว…….

สีหน้ายู่หลิวซูเต็มไปด้วยความเก้ๆกังๆ หลานเยาเยายิ้มด้วยความละอายใจ สองคนยืนขึ้นช้าๆ มองกันแวบหนึ่ง จากนั้น แฉลบตัวจากไป หนีไว้ก่อน

“ปัดโถ่ หนีแล้ว อดีตและปัจจุบันล้วนหนีหมดแล้ว”

“ต้องไล่ตามหรือไม่?”

“จำเป็นสิ! หรือจะดูเฉยๆหรือ?”

“แต่ทางนั้นยังมีเรื่องที่จัดการไม่เสร็จสิ้น พวกเราทำธุระก่อนค่อยตาม หรือว่าตามก่อนค่อยไปทำธุระ?”

ผู้อาวุโสรองสะบัดแขนเสื้อ “กังวลอะไร? พวกเจ้าวิ่งหนีได้พระวิ่งหนีวัดไม่ได้ สถานการณ์เช่นนี้ตอนนี้ พวกเขาจะสามารถหนีไปไหนได้? สุดท้ายยังจำเป็นต้องหางหดกลับมาอย่างเชื่อฟัง”

จากคำพูดของผู้อาวุโสรอง บรรดาผู้อาวุโสพยักหน้าพร้อมกัน

“มีเหตุผล รอพวกเขากลับมาค่อยว่ากัน”

…….

เรื่องการซุ่มสังหารทูตขุนนาง นอกจากสำนักหงอี ที่มาก่อนก็คือข้าหลวงท้องถิ่น หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ใต้เท้าผู้ว่าการสีหน้าซีดขาวไม่ได้ดีขึ้น เห็นศพกองเป็นภูเขาด้วยตาตัวเอง เขายืนก็ไม่มั่นคง ยังต้องการคนสองคนพยุงไว้ จึงสามารถสั่งการเจ้าหน้าที่จัดการศพให้ดี

ได้ยินว่าอ๋องเย่ก็อยู่

ทั้งคนก็อกสั่นขวัญผวา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อยู่ในเขตปกครองของเขา เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ สิบหัวก็ไม่พอให้ตัด

เพียงแค่เย่แจ๋หยิ่งเกิดโทสะ ใจของเขาก็รับไม่ไหวแล้ว

โชคดีที่อ๋องเย่กำลังจัดการเรื่องราวอยู่ตลอด และไม่มีใจมาดูขุนนางเล็กๆผู้นี้

ผู้ว่าการมาถึงไม่นาน แต่ทว่าที่มาอย่างรีบร้อนคือเย่หลีเฉิน

ทันทีที่ข่าวคราวขององครักษ์ส่งถึง เขาก็นำองครักษ์วังหลวงมาเองด้วยความรีบร้อน เห็นสถานการณ์ที่น่าสังเวชเช่นนี้ สีหน้าของเย่หลีเฉินเย็นชาอย่างไม่เคยมีมาก่อน หลังจากหารือกับเย่แจ๋หยิ่งรอบหนึ่งแล้ว ได้นำองครักษ์วังหลวงไปยังอีกสถานที่หนึ่งอย่างรีบร้อน

หลังจากที่หลานเยาเยาและยู่หลิวซูสนทนากันจบ ขณะที่กลับมาถึงที่โล่ง ก็ไม่เห็นเงาของพวกตาเฒ่าแล้ว ยู่หลิวซูก็ต้องรีบกลับไปสำนักหงอีเพื่อเตรียมการ

อย่างไรเสีย!

ในหนึ่งเดือนมานี้ มีนักฆ่าสามกลุ่มแล้ว วางแผนที่จะทำลายกลไกค่ายกลรอบๆสำนักหงอี นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ

“เทพธิดา ท่านจะกลับมาเมื่อไหร่ขอรับ? สำนักหงอีต้องการท่านในการควบคุมสถานการณ์ใหญ่”