บทที่ 462 ปมในใจถูกคลาย (2)
องค์หญิงซิ่นหยางอยู่ที่เรือนจนถึงดึก ก่อนเสด็จกลับ เซียวเหิงเดินออกมาส่งนางที่หน้าประตู
วันนี้นางได้พูดทุกอย่างที่ควรพูดแล้ว และในส่วนที่ยังไม่ได้บอกออกไป สำหรับเซียวเหิงแล้วคงเดาความในใจนางได้ไม่ยากนัก กระนั้น นางก็ยังเป็นกังวลเล็กน้อย
ก่อนจะขึ้นรถม้า องค์หญิงมองเข้าไปที่ดวงตาของเซียวเหิง “ตอนนี้เจ้า…”
“ข้าเข้าใจ” เซียวเหิงพยักหน้า “ท่านมิต้องกังวลเรื่องในอนาคต ข้าจะจัดการเอง”
เขายังไม่สามารถประกาศตัวตนแท้จริงของเขาต่อภายนอกได้ แต่วันหนึ่งเขาจะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนในนามของเซียวเหิงอย่างสง่าผ่าเผย!
เขาจะจับผู้ที่อยู่เบื้องหลังการวางยาพิษและวางเพลิงให้ได้ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นคนหรือกองกำลัง ไม่ว่าเขาจะต้องเผชิญกับความยากลำบากใดๆ เขาจะไม่ถอยกลับหรือหลบหนี
ถ้าเป็นภูเขา เขาจะสกัดภูเขาลูกนั้น!
หากเป็นแม่น้ำ เขาจะจมมันเอง!
แมลงเม่าอาจตัวเล็ก แต่เขย่าต้นไม้ได้!
องค์หญิงเห็นถึงความมุ่งมั่นที่ระเบิดออกมาจากดวงตาของเขา ทำให้นางรู้ว่าในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาเขาเติบโตขึ้นขนาดไหน นางกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขานับครั้งไม่ถ้วนและเสียใจกับการตัดสินใจเดิมของตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางรู้ว่าเซียวซู่เป็นโรคเรื้อนหลังจากออกจากเมืองหลวงได้ไม่นาน เซียวเหิงใช้เวลากว่าสองปีในการดูแลและคอยอยู่เคียงข้างเซียวซู่ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำองค์หญิงรู้สึกราวกับหัวใจของนางกำลังจะหยุดเต้น
ในตอนนี้ นางระลึกได้ว่าไม่ว่าจะเลือกทางเดินไหน ล้วนแล้วแต่เป็นทางเลือกที่คุ้มค่า
ความเจ็บปวดทั้งหมดที่เขาได้รับจะกลายเป็นเกราะที่แข็งแกร่งให้เขา
อาเหิง แม่ภูมิใจในตัวลูกจริงๆ
หลังจากรถม้าขององค์หญิงเคลื่อนตัวออกไป เขาไปที่ลานบ้าน ปิดประตูลานและลงกลอน เมื่อเขาหันหน้าไป เขาก็เห็นคนคนหนึ่งนั่งอยู่บนชิงช้า
พระจันทร์ในค่ำคืนนี้ขึ้นเดือนเสี้ยวราวเคียวเหล็ก
แสงจันทร์อ่อนๆ สาดส่องบนไหล่ของนาง กระโปรงที่เปียกน้ำพริ้วไหวไปตามสายลมยามค่ำคืน
เซียวเหิงมองไปที่แผ่นหลังเล็กๆ ของนาง เป็นเวลาดึกแล้ว ทุกคนที่เรือนหลับกันหมดแล้ว ยิ่งทำให้ค่ำคืนนี้ดูเงียบสงบเป็นพิเศษ
“ยังไม่นอนรึ” เขาเอ่ยทักเสียงเบา
มือทั้งสองข้างของกู้เจียวถือเชือกชิงช้า เอียงศีรษะมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกายราวกับดาวแห่งทางช้างเผือก “มีความสุขไหม”
เซียวเหิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่ากู้เจียวน่าจะหมายถึงเรื่ององค์หญิงซิ่นหยาง “มีสิ”
กู้เจียวปล่อยเชือกซ้ายลงแล้วกระเถิบไปทางขวาเพื่อเว้นที่ให้เขา
ชิงช้านี้กู้เจียวสร้างให้เจ้าตัวเล็กใช้เล่น ตอนแรกจิงคงอยากได้ชิงช้าที่ใหญ่กว่านี้ แต่ด้วยรูปร่างของเขา กู้เจียวเลยทำให้ใหญ่ขึ้นกว่าชิงช้าสำหรับนั่งคนเดียวขึ้นมาเล็กน้อย
เขานั่งลงข้างๆ นาง ร่างของทั้งสองแนบชิดกันแน่น ซึ่งให้ความอบอุ่นแก่พวกเขาในคืนที่อากาศหนาว
“ขอบใจนะ” เขาเอ่ย
“หืม” กู้เจียวหันไปมองเขาด้วยสีหน้างุนงง
ขอบคุณที่ฉุดข้าขึ้นจากหลุม ขอบคุณที่ผลักดันข้าสู่เมืองหลวง และขอบคุณที่บังคับให้ข้าต้องเผชิญหน้ากับอดีตที่ข้าไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรง และในที่สุดก็พบกับความจริง
ท้ายที่สุด เขารู้สึกละอายที่จะพูดคำเหล่านี้ ได้แต่มองกู้เจียวอย่างอ่อนโยน และพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้าก็ดูเหมือนจะมีความสุขมากเช่นกัน”
“ถ้าเจ้ามีความสุข ข้าก็มีความสุข!” กู้เจียวเอ่ยพลางโยกหัวไปมา
ความรู้สึกอบอุ่นแผ่นซ่านไปทั่วทั้งหัวใจของเขา เขายกมือขึ้นและลูบผมคนตรงหน้าเบาๆ
ดูเหมือนกู้เจียวชอบใจ เลยขยับหัวเข้าไปให้ใกล้มากขึ้นกว่าเดิม
เส้นผมส่งกลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้และสบู่
เซียวเหิงอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมา
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเขา กู้เจียวเกิดผงะทันที
เขาไม่ได้หัวเราะบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่เขาหัวเราะแทบทำให้คนที่เห็นหัวใจหยุดเต้นได้เชียวล่ะ
กู้เจียวจ้องมองเขาอย่างเหม่อลอย จู่ๆ ความคิดในทางที่ผิดก็แวบเข้ามาในหัว นางต้องการซ่อนเขาและขังเขาไว้ในกรงชนิดที่ไม่มีใครหาเจอ!
โอ้
แย่จัง
“เจียวเจียว” เสียงของเขารบกวนความคิดของนาง
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ “หืม”
“เหนื่อยไหม อยู่กับข้า” เซียวเหิงหันตัวไปด้านข้าง จ้องไปที่กู้เจียวอย่างไม่ละสายตา
“ไม่เหนื่อยเลย” กู้เจียวส่ายหัว
“แต่ต่อไป อาจลำบากกว่านี้” เซียวเหิงเอ่ย
“ข้าไม่กลัวลำบากหรอก” กู้เจียวเอ่ยด้วยท่าทีขึงขัง
แววตาของเซียวเหิงเต็มไปด้วยความอ่อนไหวของอารมณ์ และเขาค่อยๆ รวบผมที่ปลิวไสวของคนตรงหน้าไว้ด้านหลังหู
กู้เจียวเบือนหน้าลง “เจ้า อยากจูบข้าไหม”
มือที่กำลังเอาผมของนางทัดหูพลันหยุดชะงัก
“ไม่เอาหรอก” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง
“อ๋อ” กู้เจียวทำหน้าผิดหวัง
พอเห็นท่าทีของนาง เขาแทบกลั้นขำไว้ไม่อยู่ จากนั้นยกมือขึ้นเพื่อประคองคอรอหงของนางช้าๆ ใช้ฝ่ามือกว้างประคองท้ายทอยของนาง และพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “เจียวเจียว หลับตาสิ”
กู้เจียวหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง
เขาประคองศีรษะของนางเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าจุมพิตลงบนริมฝีปากอันอ่อนนุ่ม
ครั้งนี้เขาต้องการมากกว่านี้
“เจียวเจียว” เขาเอ่ยขณะที่กำลังแนบริมฝีปาก
“หืม” ลมหายใจที่แผดเผาทำให้แก้มของกู้เจียวพลันร้อนขึ้น ใบหน้าเล็กๆ กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับกุ้งสุก
“เจ้าดีจัง” เขาจูบหน้าผากของนางก่อนจะกระซิบเบาๆ
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น”
เซียวเหิงหัวเราะจนหัวไหล่สั่น
เขากอดเอวเรียวแน่นในอ้อมแขน และจูบอีกครั้งอย่างดูดดื่ม กลิ่นอายความรักอันหวานชื่นลอยไปทั่วทั้งอากาศ
แม้แต่เสียวจิ่วที่เกาะอยู่บนหลังคายังต้องใช้ปีกบังขึ้นอย่างเขินอาย
ตอนเช้าตรู่ เซียวเหิงตื่นขึ้นตามปกติ เขามาที่โต๊ะและรินชาให้ตัวเองก่อน จากนั้นเขาก็เปิดตู้เสื้อผ้าและควานหาชุดข้าราชการสำนักฮั่นหลิน
ในเมื่อเขาปรากฏตัวที่วังแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเล่นละครหายตัวอีก
เขาต้องกลับไปทำงานแล้ว
ในขณะที่จัดชุดเครื่องแบบ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามีอะไรผิดปกติอยู่พักหนึ่ง
จากนั้น เขาเดินไปที่หลังเรือนเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน
ขณะที่อวี้หย่าร์กำลังตากผ้านวมอยู่ พอเห็นเขาเดินเข้ามาจึงเอ่ยทักทาย “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ”
“อรุณสวัสดิ์” เขาเอ่ยตอบก่อนจะเดินออกไป
อวี้หย่าร์ตากผ้านวมต่อไป แต่จู่ๆ ก็หันศีรษะไปมองเซียวเหิง “ขาของท่าน!”