ยามรัตติกาล ประตูพระราชวังข้างหนึ่งเปิดแง้ม เสี่ยวเล่อจื่อจูงเอ้อร์หนิวเดินเข้ามา ทิ้งให้คนเฝ้าประตูยืนงงงันอยู่ตรงนั้น
เมื่อคนและสุนัขเดินหายไปในความมืด บุรุษผู้นั้นก็หันไปถามสหายของตน “ในวังหลวงเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ เหตุใดถึงได้พาสุนัขเข้าวังยามนี้”
“อย่าเอ็ดไป นั่นคือท่านแม่ทัพเซี่ยวเทียน จากสถานะแล้วอยู่สูงกว่าสถานะของพวกเราเป็นไหนๆ”
“เอ๋ แล้วเหตุใดถึงเชิญท่านแม่ทัพเข้ามาดึกๆ ดื่นๆ”
“ข้าจะรู้รึ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าคืนนี้แลดูไม่ชอบมาพากล เอาเถอะ อย่างไรก็มิใช่กงการอะไรของพวกเรา ตั้งใจเฝ้าประตูต่อไปเถอะ”
บริเวณนั้นกลับสู่ความสงบ แต่ทว่าที่ตำหนักบูรพากลับมีเสียงเอะอะอื้ออึง
พานไห่ยืนอยู่ที่ลานกลางตำหนัก เขาหันไปมองทางประตูอยู่บ่อยครั้ง
ไท่จื่อเย้ยหยัน “ทำไมรึ พานกงกงจะหาคนมาช่วยงั้นรึ”
แม้ตงกงจะถูกค้นจนข้าวของกระจายเกลื่อน ทว่าเขากลับรู้สึกสงบนิ่ง
ค้นขนาดนี้ยังหาไม่เจอ ดูจากทรงแล้วคงไม่มีทางเจอ
ครั้นจะว่าไปแล้ว หุ่นไม้นั่นก็ถูกซ่อนไว้ในที่ลึกลับ มิใช่ว่าจะหาเจอได้ง่ายๆ
ไท่จื่อยกมุมปาก ปล่อยใจเบาสบาย
ทนรออีกหน่อย ฟ้าสว่างเมื่อไหร่เข้าจะไปครวญครางต่อเสด็จพ่อ คอยดูเถอะไอ้พานไห่ได้จบไม่สวยแน่!
พานไห่ยกแขนเสื้อขึ้นซับเหงื่อ ความรู้สึกหนักอึ้งเกินจะกล่าว
“กงกง มาแล้วขอรับ!”
เสี่ยวเล่อจื่อเอี้ยวตัว เผยให้เห็นเจ้าสุนัขร่างกายแข็งแรงสูงใหญ่
ไท่จื่อหรี่ตาพร้อมเอ่ยโดยพลัน “เอ้อร์หนิวมาที่นี่ได้อย่างไร”
เอ้อร์หนิวได้ยินจึงหันไปมองไท่จื่อ ก่อนจะหันกลับไปหาพานไห่
พานไห่ยกมือคารวะเอ้อร์หนิว “ท่านแม่ทัพเซี่ยวเทียน รบกวนท่านด้วย”
เอ้อร์หนิวเพียงแต่ส่ายหาง ทว่ายังนิ่งเฉย
พานไห่งงงัน
ไท่จื่อหัวเราะออกเสียง “พานไห่ เจ้าคิดว่าเอ้อร์หนิวจะรู้เรื่องเหมือนมนุษย์จริงๆ งั้นหรือ ถึงอย่างไรมันก็เป็นแค่สุนัขที่ฟังภาษาคนไม่เข้าใจ”
เอ้อร์หนิวชำเลืองมองไปที่ไท่จื่อ
มันฟังไม่ออกอย่างนั้นหรือ ไอ้คนโง่!
สีหน้าของพานไห่คล้ำลงเพราะวาจาถากถางของไท่จื่อ
เสี่ยวเล่อจื่อเอ่ยเตือนแผ่วเบา “กงกง เยี่ยนอ๋องตรัสว่า หากต้องการให้แม่ทัพเซี่ยวเทียนหาของอะไร ทางที่ดีควรให้ลองดมกลิ่นเจ้าของของชิ้นนั้นก่อน หากบนสิ่งของนั้นมีกลิ่นของคนๆ นั้นอยู่ แม่ทัพเซี่ยวเทียนก็จะหาเจอ”
พานไห่ได้ฟังดังนั้นก็ชี้นิ้วไปที่ไท่จื่อก่อนจะทำสัญลักษณ์มือที่หมายถึงกระดูกหนึ่งชิ้น
ต่อให้ไท่จื่อโง่เขลาเบาปัญญาเพียงใด เรื่องใหญ่อย่างการใช้หุ่นไม้ปลุกเสกทำคุณไสยใส่ฮ่องเต้ เขาก็คงไม่มีทางยืมมือคนอื่นทำเป็นอันขาด จึงแน่ใจได้ว่าเขาต้องฝังหุ่นไม้นั้นเองกับมือ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมีกลิ่นของไท่จื่อหลงเหลืออยู่บนของชิ้นนั้นหรือไม่ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเอ้อร์หนิวจะเข้าใจความหมายของเขาหรือเปล่า
เอ้อร์หนิวมองเหยียดไปทางพานไห่ก่อนจะพุ่งตัวใส่ไท่จื่อ
จะให้หาของก็บอกหาของสิ จะทำมือว่ากระดูกหนึ่งชิ้นทำไมกัน หากหมาโง่ตัวอื่นเข้าใจผิด เข้าไปกัดและดึงกระดูกออกมาท่อนหนึ่งจะทำยังไง
นี่ก็เป็นคนโง่อีกคนหนึ่ง
ครั้นเห็นเอ้อร์หนิวเตรียมพุ่งกระโจนเข้าใส่ ไท่จื่อก็ร้องเสียงหลงด้วยความหวาดผวา “อย่าเข้ามา!”
สุนัขตัวใหญ่เคลื่อนไหวปราดเปรียวประหนึ่งสายฟ้าฟาดเข้าตะครุบขากางเกงไท่จื่อ สูดจมูกฟุดฟิด ก่อนจะกระโจนหนีไป
ไท่จื่อยังไม่ได้สติ
พานไห่เองก็ตกอยู่ในภวังค์เช่นเดียวกัน
สายตาของเจ้าสุนัขที่เขาเห็นเมื่อครู่เป็นสายตาดูถูกหรือเปล่า
ต้องตาฝาดไปแน่ๆ
“พวกเจ้าตายกันหมดแล้วรึ ยังไม่พยุงข้าลุกขึ้นอีก!” ไท่จื่อที่ขาอ่อนเพราะความตกใจตวาดดังลั่น
พานไห่ตะโกนตามมาติดๆ “ชักช้าอะไรอยู่ รีบค้นหาต่อเดี๋ยวนี้!”
การเชิญท่านแม่ทัพเซี่ยวเทียนเข้ามาช่วยเปรียบเสมือนความหวังเล็กๆ แต่ถึงอย่างไรเขาไม่ควรฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่สุนัขตัวเดียว
เจ้าสุนัขรูปร่างแข็งแกร่งเดินไซหน้าตามพื้นไปทางซ้ายที ทางขวาที ไม่นานมันก็วิ่งกลับมาหาพานไห่ก่อนจะวางของที่คาบลง
มีหวีงาช้างหนึ่งเล่ม หัวรองเท้าข้างหนึ่ง ผ้าขนหนูไหมพรมสีขาว…ล้วนแล้วแต่เป็นของใช้ส่วนตัวทั้งสิ้น
ไท่จื่อหัวเราะลั่น “พานไห่ นี่น่ะหรือลูกมือของเจ้า ก็ข้าบอกแล้วไงว่า สัตว์ก็ยังเป็นสัตว์ ต่อให้แสนรู้ก็สู้มนุษย์ไม่ได้ เจ้าไร้ทางสู้เหมือนหมาจนตรอกขนาดนี้เชียวรึ”
เขาเคยอยากได้เอ้อร์หนิวจนตัวสั่น แต่เพราะถูกเจ้าสัตว์หน้าขนตัวนี้หลอกให้ตกใจครั้งแล้วครั้งเล่า ความอยากได้ที่เคยมีจึงหายไปสิ้น
ไท่จื่อจดจ้องไปที่เจ้าสุนัขตัวใหญ่ที่คาบสิ่งของมาวางชิ้นแล้วชิ้นเล่า ในใจอยากจะจับมันตุ๋นเนื้อกินให้รู้แล้วรู้รอด
ใบหน้าของพานไห่แย่ลงทุกที ผกผันกับปริมาณสิ่งของที่กองพูนอยู่ตรงหน้า
ในวินาทีนั้น พานไห่กลับรู้สึกว่า นี่เขากำลังทำอะไรอยู่
เหตุใดเขาถึงเรียกเอ้อร์หนิวมาช่วย นี่มันเป็นการช่วยที่ไหนกัน นี่เป็นการเพิ่มงานแท้ๆ หนำซ้ำยังทำให้เขาเสียหน้ากว่าเดิม
เอ้อร์หนิวคาบเหอเปาเก่ากาลใบหนึ่งมาวาง และเห่าด้วยท่าทีไม่พอใจ
หน้าตาของไอ้คนนี้นี่มันยังไง คิดว่ามันช่วยอะไรไม่ได้อย่างนั้นหรือ
มันเองก็กำลังพยายามทำเต็มที แต่ว่าบริเวณตรงนี้มีกลิ่นของคนผู้นี้อยู่ทั่ว ทั้งที่ของที่มันหามาล้วนแล้วแต่คัดมาอย่างดี!
เสี่ยวเล่อจื่อกลับไหวพริบดีกว่า เขาส่งเสียงกระแอมกระไอ “ท่านอาจารย์ หรือว่าควรให้เอ้อร์หนิวดมกลิ่นไม้ถง...”
พานไห่ตาเป็นประกาย
จริงด้วย ที่นี่คือตำหนักของไท่จื่อ ฉะนั้นทุกที่จึงเต็มไปด้วยกลิ่นของไท่จื่อ หากดมกลิ่นบนตัวไท่จื่อแล้วเอ้อร์หนิวหาของนั่นเจอก็แปลกแล้ว ต้องดมไม้ถงสิถึงจะเจอ
พานไห่อยากจะเข้าไปลูบหัวเอ้อร์หนิว
แม้เขาจะดึงดันไม่ยอมแพ้ แต่ทว่าตอบสนองเชื่องช้ากว่าเสี่ยวเล่อจื่อเป็นไหนๆ
โชคดีที่ไม้ถงมิได้เป็นไม้หายาก มีปลูกอยู่ในสวน ไม่นานก็มีข้าหลวงเดินถือกิ่งไม้ถงกลับมา
พานไห่ส่งให้เอ้อร์หนิวดม ชี้นิ้วไปที่ไท่จื่อ พร้อมกับทำมือเป็นสัญลักษณ์กระดูกหนึ่งชิ้น
เอ้อร์หนิวชำเลืองมองไปที่ไท่จื่อ
ไท่จื่อโกรธขึ้ง “พานไห่ บังอาจนัก!”
“บ่าวมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
เอ้อร์หนิวไม่สนใจมนุษย์ทั้งสองที่กำลังทำปะทะคารม มันก้มหน้าวิ่งหนีไป
เสียงรื้อค้นค่อยๆ เบาลง ทุกซอกทุกมุมของตำหนักถูกพลิกหาจนทั่ว ทว่ายังไม่พบ ฉะนั้นก็ควรหยุดได้แล้ว
เอ้อร์หนิวดมซ้าย ดมขวา ราวกับมีเป้าหมายบางอย่าง มันพุ่งตัวตรงไปที่ห้องนอนของไท่จื่อ
ข้าหลวงสองนายเห็นดังนั้นก็รีบตามเข้าไป
เอ้อร์หนิวเข้าไปในห้อง ทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะวิ่งไปที่ริมหน้าต่าง สองขาหน้าเกาะที่ขอบหน้าต่าง
ข้าหลวงหันมาสบตากัน หนึ่งในนั้นเอ่ยพึมพำ “หรือว่าท่านแม่ทัพเซี่ยวเทียนจะหาเจอแล้ว”
“ในนี้จะมีของอะไร ไม่ใช่ว่าของที่เจอจะเป็นถุงพระบาทเหม็นๆ ของไท่จื่อหรอกนะ…”
“ไร้สาระน่า อย่างไรพระองค์ก็เป็นไท่จื่อ หากวันนี้พวกเราหาของนั่นไม่เจอ ทั้งพวกเราและหัวหน้าก็เตรียมรอรับผลกรรมได้เลย”
“โฮ่งๆ!” เอ้อร์หนิวเห่าเรียก
พานไห่ซึ่งรออยู่ด้านนอกได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งเข้ามาพร้อมไท่จื่อที่ใบหน้าซีดเผือก
เมื่อเห็นว่าพานไห่เข้ามาแล้ว เอ้อร์หนิวจึงหันไปทางขอบหน้าต่าง และเห่าอย่างเอาเป็นเอาตาย
พานไห่เดินตรงไป และยืนพิศมองขอบหน้าต่างอยู่อย่างนั้น
เอ้อร์หนิวรอไม่ไหว มันกางกรงเล็บปัดกระถางดอกไม้ซึ่งตั้งอยู่บนขอบหน้าต่างให้หล่นลงมาบนพื้น
กระถางที่ทำจากกระเบื้องเคลือบกระทบกับพื้นแตกกระจาย ทั้งดอกไม้และเศษดินหกเกลื่อนกลาด
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ไท่จื่อแผดเสียงดังลั่น
พานไห่หรี่ตา เขาก้มลงหยิบวัตถุบางอย่างที่โผล่ขึ้นมาจากเศษดิน
มันคือหุ่นรูปคนจากไม้ถง ที่ตำแหน่งหัวใจมีเข็มเล่มหนึ่งปักอยู่ ด้านหลังหุ่นมีอักขระจารึกวันที่
พานไห่กำหุ่นไม้แน่นพลางจ้องเขม็งไปที่ไท่จื่อ
ไท่จื่อในตอนนี้ทรุดตัวลงกับพื้น
“พาตัวไท่จื่อไปที่ตำหนักเฉียนชิง!” พานไห่เอ่ยเต็มเสียง ในใจพยายามเก็บงำความโกรธและความพลุ่งพล่านเอาไว้