บทที่ 581 บังคับถ่ายทอดวิชา กลายเป็นบรรพชนเต๋า

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 581 บังคับถ่ายทอดวิชา กลายเป็นบรรพชนเต๋า

หานเจวี๋ยอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ตัดสินใจจะไปหาหานอวี้อีกครั้ง นับว่าเป็นการเพิ่มสีสันเล็กน้อยให้ช่วงเวลาบำเพ็ญอันน่าเบื่อหน่ายด้วย

เขาสำแดงวิชาเวท ใช้พลังเวทจำแลงกาย สะกดตบะเอาไว้ในระดับครึ่งอริยะ แล้วมุ่งหน้าไปหาหานอวี้

ภายในหุบเขา

หานอวี้สวมชุดคลุมตัวยาวสีม่วงคราม ใบหน้าหล่อเหลา เรือนผมยาวปล่อยสยายลวกๆ นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ลมหายใจสงบนิ่งเช่นเดียวกับต้นไม้ใบหญ้ารอบข้าง เป็นฉากที่สงบผ่อนคลายยิ่ง

หานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างๆ หานอวี้ ร่มไม้บดบังใบหน้าเขา

เขาจ้องมองหานอวี้ ไม่ได้รบกวนอีกฝ่ายในทันที

หนึ่งพันปีผ่านไป หานอวี้ไม่มีท่าทางอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาอีกต่อไป ต้องกล่าวเลยว่าเขาเหมือนหานเจวี๋ยจริงๆ

เมื่อหานเจวี๋ยมองหานอวี้ เขารู้สึกราวกับเห็นตัวเองในอดีต

มิใช่เพียงรูปร่างหน้าตาเท่านั้น วิสัยในการบำเพ็ญก็คล้ายคลึงยิ่ง

ตื่นตัวอย่างยิ่ง เรียบง่ายติดดินนัก!

ยิ่งมองหานเจวี๋ยก็ยิ่งรู้สึกพอใจ ถึงขั้นที่อยากรับหานอวี้เข้าสู่สำนักซ่อนเร้นด้วยซ้ำ

แต่พอคิดดูดีๆ คงไม่ได้ ขนาดหานทั่วยังไม่ได้เข้าสำนักเลย

หานเจวี๋ยอดเย้ยหยันตัวเองไม่ได้

สมกับที่กล่าวกันว่าผู้เฒ่าผู้แก่จะเอาใจหลานที่สุด

หานเจวี๋ยเฝ้ามองหานอวี้อยู่สักพัก ถึงส่งเสียงปลุกเด็กคนนี้

“อะแฮ่ม!”

หานอวี้สะดุ้งจนตัวลอย ในมือปรากฏทวนไม้คันหนึ่งขึ้นทันที มองหานเจวี๋ยด้วยความหวาดระแวง

เห็นเขามีท่าทางเช่นนี้ หานเจวี๋ยอยากหัวเราะนัก

หลังจากสำเร็จเป็นอริยะ น้อยนักที่หานเจวี๋ยจะได้พบพานเรื่องที่สามารถทำให้ตนอยากหัวเราะออกมา

“เป็นท่านเอง!”

หานอวี้ตาโต อุทานด้วยความตกใจ

หานเจวี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจำข้าได้หรือ”

หานอวี้พยักหน้ารับ “ท่านเคยมาหาข้าเมื่อพันปีก่อน คิดจะถ่ายทอดวิชายุทธ์ให้ข้าด้วย”

“เจ้านึกเสียใจภายหลังหรือยังเล่า”

“ว่ากันตามตรง เคยนึกเสียใจอยู่เล็กน้อย แต่ตอนนี้ไม่เสียใจแล้ว ข้าพอใจกับตบะของตนยิ่ง”

“หากข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะยอมรับหรือไม่”

หานอวี้ได้ฟังก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

หานเจวี๋ยก็ไม่รีบร้อนเช่นกัน อดทนรอคอย ระหว่างที่รอคอย ร่างจริงเขาก็มองขึ้นไปยังชั้นฟ้าที่เก้า

ฟางเหลียงยังคงดูดซับต้นกำเนิดฟ้าดินอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าเหล่าอริยชนต่างไม่สังเกตเห็นเลย ไม่มีผู้ใดมาขัดขวาง เรื่องนี้ทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกฉงน

หานเจวี๋ยถามในใจ ‘เหตุใดฟางเหลียงจึงทำเช่นนี้’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

หมื่นล้านปีหรือ

ราคานี้เทียบเท่าค่าตัวของระดับมรรคาสวรรค์แล้ว!

หานเจวี๋ยเลือกดำเนินการต่อ

เขาไม่ได้เข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ แต่มีข้อความแถวหนึ่งเด้งขึ้นมาตรงหน้าแทน

[ฟางเหลียง: ระดับเซียนทองต้าหลัวระยะปลาย ทายาทบรรพชนเต๋า ผู้นำวังสวรรค์ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต ขณะนี้กำลังผสานรวมกับเจตจำนงของบรรพชนเต๋า เมื่อผสานรวมสำเร็จ เขาจะกลายเป็นบรรพชนเต๋า]

ผสานรวม…

หานเจวี๋ยเบิกตากว้าง

กลายเป็นบรรพชนเต๋าหรือ

นี่หมายความว่าอย่างไร

ไหนจะตบะระดับนี้อีก เพิ่มขึ้นรวดเร็วยิ่ง!

‘ฟางเหลียงจะถูกยึดร่างหรือ’

[มิใช่การยึดร่าง แต่เป็นการผสานรวมประเภทหนึ่ง ความสามารถของระบบในขณะนี้ไม่สามารถอธิบายการผสานรวมประเภทนี้ได้]

ผสานรวม…

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น ซักถามต่อ ‘หากผสานรวมสำเร็จ ฟางเหลียงจะกลายเป็นศัตรูของข้าหรือไม่’

[ขณะนี้ไม่สามารถวิวัฒนาการได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับตัวตนที่อยู่เหนือขีดจำกัดของระบบ]

‘เช่นนั้นหลังจากผสานรวมแล้วฟางเหลียงจะแข็งแกร่งขนาดไหน’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ครึ่งอริยะขั้นสมบูรณ์]

หานเจวี๋ยโล่งอกแล้ว

ค่อยยังชั่ว!

คุกคามหานเจวี๋ยไม่ได้

แต่พัฒนาการอันก้าวกระโดดเช่นนี้ ช่างสมกับเป็นบรรพชนเต๋า

ในเวลานี้เอง

หานอวี้ก็ให้คำตอบเขา “ข้ายังคงขอปฏิเสธความหวังดีของผู้อาวุโสเช่นเดิม ข้าอยากเห็นว่าหากพึ่งพาความสามารถของตนจะพัฒนาไปได้ไกลเพียงใด ข้าไม่อยากพึ่งพาผู้อื่น”

เขากล่าวอย่างจริงใจนัก ดวงตาฉายแววมุ่งมั่นอย่างยิ่ง

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าพึ่งพาตัวเอง จะไปได้ไกลสักแค่ไหนกันเชียว”

ถึงแม้หานอวี้จะไม่เห็นสีหน้าของหานเจวี๋ย แต่คาดเดาได้จากน้ำเสียง อีกฝ่ายน่าจะไม่พอใจยิ่งนัก

“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน บางทีอาจจะไปถึงระดับเซียนสวรรค์ไท่อี่กระมัง” ยามที่หานอวี้เอ่ยวาจานี้ออกมา ดวงตาฉายแววมั่นใจในตัวเองนิดๆ

หานเจวี๋ยฟังแล้วสะท้อนใจยิ่ง

เซียนสวรรค์ไท่อี่…

สำหรับมนุษย์ธรรมดา เซียนสวรรค์ไท่อี่เลิศล้ำมากแล้วจริงๆ เปรียบเสมือนเทพเซียน

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นหรือ ในเมื่อเจ้าปฏิเสธข้า ข้าก็จะยัดเยียดมรรควิถีให้เจ้า!”

เขาพลันโบกมือ ดูดดึงหานอวี้เข้ามาหยุดตรงหน้า

หานอวี้เบิกตากว้าง ดิ้นรนต่อต้านตามสัญชาตญาณ หานเจวี๋ยจรดนิ้วหนึ่งลงบนหน้าผากเขา

ตูม!

สมองของหานอวี้ระเบิดตูม ตัวคนแข็งทื่อดุจท่อนไม้ ยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิม

เวลาผ่านไปนานโข

กว่าหานอวี้จะรู้สึกตัวก็เป็นยามราตรีแล้ว

ในหุบเขาเหลือเพียงเขาคนเดียว หานเจวี๋ยไม่อยู่นานแล้ว

หานอวี้ตะลึงงันอยู่ที่เดิม ดึงสติกลับมาไม่ได้อยู่พักใหญ่

“วิชาวัฏจักรหกวิถี…”

….

เขตเซียนร้อยคีรี ภายในอารามเต๋า

หานเจวี๋ยเข้าฝันฟางเหลียง

ในแดนความฝัน

เมื่อฟางเหลียงลืมตาขึ้น หลังจากมองเห็นหานเจวี๋ยก็ค้อมกายคารวะทันที

หานเจวี๋ยถามขึ้น “เจ้ากำลังทำสิ่งใด”

ฟางเหลียงตอบ “ดูดซับดวงชะตามรรคาสวรรค์ ข้า…”

จู่ๆ เขาก็ลังเลขึ้นมา ไม่ทราบว่าควรตอบดีหรือไม่

หานเจวี๋ยก็ไม่คิดจะเปิดโปง หวังให้ฟางเหลียงยอมบอกด้วยตนเอง

ฟางเหลียงยุ่งเหยิงอยู่พักหนึ่ง ถึงได้กัดฟันกล่าวว่า “ขอเรียนตามตรง อาจารย์ปู่ ข้าอาจต้องกลายเป็นบรรพชนเต๋า”

“กลายเป็นบรรพชนเต๋าหรือ”

หานเจวี๋ยแสร้งทำเป็นฉงน

“ข้าถูกบรรพชนเต๋าคัดเลือกไว้นานแล้ว บรรพชนเต๋าถ่ายทอดพลังวิเศษวิญญาณข้ามสู่บรรพกาลให้ข้า ต้องการเกื้อหนุนให้ข้ากลายเป็นร่างแยกของเขา หากข้าทำสำเร็จ ข้าจะกลายเป็นบรรพชนเต๋า ครอบครองมรรคาสวรรค์” ฟางเหลียงสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง บอกเล่าไปตามจริง

“ข้าคงไม่อาจกลับไปทดแทนคุณอาจารย์ปู่ได้อีก หากข้าทำสำเร็จ วันหน้าจะคอยดูแลสำนักซ่อนเร้น ตอบแทนพระคุณของอาจารย์ปู่แน่นอน หากมิมีท่านช่วยพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาให้ข้า ข้าคงตายไปนานแล้ว ยิ่งไม่มีทางถูกบรรพชนเต๋าต้องตาได้”

หานเจวี๋ยกลับถามว่า “หลังจากกลายเป็นบรรพชนเต๋า เจ้ายังจะเป็นตัวเจ้าอยู่หรือไม่”

ฟางเหลียงกล่าว “บรรพชนเต๋ากล่าวว่าข้าจะยังคงเป็นข้า แค่ได้รับช่วงต่อฐานะของบรรพชนเต๋าเท่านั้น ซึ่งข้าเลือกที่จะเชื่อใจบรรพชนเต๋า”

“ตัดสินใจดีแล้วจริงๆ น่ะหรือ”

“หวังว่าอาจารย์ปู่จะช่วยอนุเคราะห์ให้สมหวัง”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แล้วแต่เจ้าเถิด”

หานเจวี๋ยเอ่ยเช่นนี้ เขาก้าวเข้าไป ยื่นมือไปแตะไหล่ฟางเหลียง

“เจ้าโตขึ้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ”

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ เขามิได้เสแสร้ง แต่รู้สึกสะท้อนใจจริงๆ

ครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบกัน ฟางเหลียงยังเป็นเพียงหนุ่มน้อยคนหนึ่งเท่านั้น

เจ็ดหมื่นปีผ่านไป คนที่อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่โลกเขย่าพิภพจนถึงปัจจุบันนี้เหลืออยู่ไม่มากแล้ว หานเจวี๋ยยังคงต้องการถนอมไว้ยิ่งนัก

จนปัญญาที่คนเรามีปณิธานต่างกันไป หานเจวี๋ยไม่คิดจะบีบบังคับฟางเหลียง

เมื่อฟางเหลียงได้ฟัง ในใจพลันฝาดเฝื่อนนัก สีหน้าอารมณ์เปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา

เขาไม่ได้ร้องไห้ ดีร้ายอย่างไรเขาก็ยังเป็นอดีตจักรพรรดิสวรรค์ มิใช่มนุษย์ธรรมดามาเนิ่นนานแล้ว

ทั้งสองต่างมองดูกันและกันเงียบๆ

แดนความฝันสิ้นสุดลง

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยกลับสู่ความเป็นจริง

หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง “ล้วนแบกรับภาระเพียงลำพังได้กันหมดแล้ว”

‘ข้าอยากรู้ว่าบรรพชนเต๋าหลอกลวงฟางเหลียงหรือไม่’

[เนื่องจากเกี่ยวข้องกับตัวตนที่อยู่เหนือขีดจำกัดของระบบ ไม่สามารถวิวัฒนาการได้]

จริงๆ เลยสิน่า

หานเจวี๋ยจำเป็นต้องเปลี่ยนใจความของคำถาม

‘ยามที่มหาเคราะห์ครั้งต่อไปเปิดฉากขึ้น ฟางเหลียงจะทำสิ่งใด’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

หานเจวี๋ยเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขามาโผล่ ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม มีวังโอ่อ่าวังหนึ่งตั้งอยู่ตรงหน้า ใหญ่โตกว่าอาณาเขตเต๋าของอริยะทั้งหมด เมฆาม่วงแผ่ขยาย ดูขลังและลึกลับ

บนป้ายเหนือประตูพระราชวังมีอักษรสลักไว้สี่คำ

วังเมฆาม่วง!

ฉากเบื้องหน้าหานเจวี๋ยพลันหดย่นย่อเข้ามาหา เขาปรากฏตัวขึ้นที่วังเมฆาม่วง ฟางเหลียงในชุดนักพรตเต๋านั่งสมาธิอยู่บนฐานดอกบัวสามสิบหกชั้น

ฟางเหลียงในขณะนี้ผมเผ้าขาวโพลน แม้ใบหน้าจะยังอ่อนเยาว์ แต่แตกต่างไปจากฟางเหลียงที่หานเจวี๋ยรู้จักมหาศาลยิ่ง

บุคลิกเช่นนี้คล้ายปรมาจารย์ลัญจกรสรวงยิ่งนัก!

………………………………………………………………