ช่วงเที่ยง ณ ตำหนักต้าเฉิง
ฮั๊วจงหยางได้อธิบายสถานการณ์ของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดให้กับสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่ได้ฟัง
ตำหนักต้าเฉิงดูสงบเงียบกว่าที่เคยเป็น
ลู่โจวเป็นผู้ทำลายความเงียบนั้น “โจวยู่ไค เจ้ามีความคิดอะไรดีๆ บ้างไหม?”
โจวยู่ไคโค้งคำนับก่อนที่จะตอบกลับ “สายลับจากชนเผ่าอื่นสร้างปัญหาไปทั่วเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นปัญหาที่ยากจะจัดการ ก่อนหน้านี้ใครก็ตามที่เข้าสู่เมืองจะต้องถูกตรวจสอบ เป็นเพราะการโจมตีครั้งล่าสุดจึงทำให้พวกมันมีโอกาสหลุดรอดเข้าเมืองมาได้ ถ้าหากพวกเราจะแก้ปัญหานี้ พวกเราจะต้องค้นหาทุกครัวเรือน ทำทุกอย่างเพื่อลากชนเผ่าอื่นออกมาจากที่ซ่อนตัว”
ฮั๊วจงหยางพูดต่อ “แม้ว่าจะเป็นไปได้ แต่ถึงแบบนั้นมันก็สายไปแล้ว…สายลับชนเผ่าอื่นได้ประกาศเอาไว้ว่าจะสังหารชาวเมือง 5 คนในทุกวัน ข้าเกรงว่าการใช้วิธีนั้นจะทำให้ชาวเมืองหลายคนต้องตายไปจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์”
โจวยู่ไคพยักหน้าเห็นด้วย “ถ้าเป็นแบบนั้น…พวกเราจะต้องขับไล่เจ้าพวกนั้นออกไปจากเมืองและตรวจสอบผู้คนทั้งหมดที่พยายามจะเข้าเมืองจากสี่มุมเมือง”
“การจะทำแบบนั้นได้ก็คงจะเป็นเรื่องยากเช่นกัน การยืนยันตัวตนเป็นสิ่งที่ซับซ้อนมาก สิ่งที่ต้องใช้ก็คือความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่…ตอนนี้สำนักอเวจีได้ยึดครองเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่เคยทำงานได้ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อรักษาระยะห่างกับพวกเรา” ฮั๊วจงหยางพยายามอธิบาย
เมื่อได้ยินแบบนั้นต้วนมู่เฉิงก็ได้ใช้หอกราชันย์กระแทกกับพื้น “เจ้าพวกไร้ค่าจากราชสำนัก พวกเราจะเก็บพวกมันไว้ทำไมในเมื่อพวกมันไม่มีประโยชน์แบบนี้? ข้าจะจบชีวิตพวกมันทั้งหมดด้วยหอกของข้าเอง!”
“การฆ่าคนน่ะเป็นเรื่องง่าย แต่การที่จะทำให้พวกเขายอมจำนนได้เป็นเรื่องยาก” ฮั๊วจงหยางส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา
ลู่โจวเหลือบมองไปที่โจวยู่ไค “โจวยู่ไค”
“ผู้อาวุโสจี?”
“เจ้ามีใครในสถานศึกษาที่ใช้งานเขตแดนพลังทั้งสิบได้ไหม?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นโจวยู่ไคก็ตอบกลับอย่างมั่นใจ “การที่จะเปิดใช้เขตแดนพลังทั้งสิบได้จำเป็นจะต้องใช้ผู้มีพลังวรยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แน่นอนว่าสถานศึกษาข้าต้องทำได้แน่”
“เปิดใช้งานเขตแดนพลังให้ทั่วทั้งเมืองได้ไหม?”
“ได้แน่นอน” โจวยู่ไคตอบกลับ
“ดี” ลู่โจวยืนขึ้นก่อนจะสั่งการต่อ “ฮั๊วจงหยาง ในตอนนี้เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มีสาวกจากสำนักอเวจีอยู่กี่คน?”
“พวกเรามีสาวก 8,000 คน สาวกของพวกเราถูกแบ่งเท่าๆ กันเพื่อเฝ้าระวังในสี่มุมเมือง”
“แล้วทหารราชสำนักล่ะ?”
“พวกเราสามารถระดมทหารได้ 6,000 นาย”
เมื่อเทียบกับการป้องกันเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ในก่อนหน้านี้ ตอนนี้กองกำลังที่มีถือว่าอ่อนแอลงมากจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ชนเผ่าอื่นจะหยิ่งผยองได้เช่นนี้
ลู่โจวเริ่มเปลี่ยนใจ เขตแดนพลังทั้งสิบสามารถใช้งานได้เพียง 2 ชั่วโมง ถ้าหากใช้สาวกที่มี การที่จะกำจัดพวกสายลับพวกนี้ได้คงจะไม่ใช่เรื่องยาก
ลู่โจวได้สั่งการออกมาอย่างเย็นชา “พวกเราจะกำจัดสายลับทั้งหมดในบ่ายนี้ เตรียมตัวให้พร้อมซะ”
“ครับ!”
ทุกๆ คนต่างก็ตอบรับ
“ฮั๊วจงหยาง”
“ผู้อาวุโสจีมีอะไรให้ข้ารับใช้?”
ทันใดนั้นลู่โจวก็ได้ยกฝ่ามือขึ้น บนฝ่ามือของเขามีการ์ดรักษาฉุกเฉินอยู่ ลู่โจวตัดสินใจการ์ดวิเศษก่อนที่จะปล่อยพลังฝ่ามือไปที่ฮั๊วจงหยาง พลังเมตตาธรรมของชาวพุทธปะทะเข้ากับร่างกายของฮั๊วจงหยาง
ทันทีที่สัมผัสกับแสง ฮั๊วจงหยางก็รู้สึกถึงความอบอุ่น อาการบาดเจ็บภายในที่ตัวเขาได้รับถูกเยียวยาอย่างรวดเร็ว ฮั๊วจงหยางไม่ลังเลเลยที่จะคุกเข่าลง “ขอบคุณผู้อาวุโสจี!”
“ไปทำงานได้แล้ว”
…
ช่วงบ่าย
ผู้คนในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ต่างก็วิตกกังวล
“พวกเราจะต้องอพยพให้เร็วที่สุด สำนักอเวจีก็เป็นแค่พวกฝ่ายอธรรม พวกเขาไม่สนใจชีวิตคนธรรมดาอย่างพวกเราหรอก”
ใครบางคนถอนหายใจก่อนจะออกความเห็นต่อ “ในตอนที่สำนักอเวจีบุกโจมตีมณฑลหยาน ในตอนนั้นพวกเขาทำทุกอย่างก็เพื่อที่จะปกป้องชาวเมือง พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงทันทีหลังจากที่พิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้แล้วอย่างงั้นเหรอ?”
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปหรอก ข้าพนันได้เลยว่าเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จะต้องว่างเปล่าในอีกไม่กี่วัน พวกเราจะยอมอยู่ที่นี่เพื่อกลายเป็นเหยื่อของพวกชนเผ่าอื่นอย่างงั้นเหรอ?”
การสนทนาเหล่านี้ถูกพูดให้ทั่วเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ทุกต่างก็สงสัยว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะลงมือทำอะไรสักอย่างหรือจะเลือกปล่อยชาวเผ่าเนตรลึกลับอย่างลู่หลี่
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
“แม้ว่าสำนักอเวจีจะแข็งแกร่ง แต่ถึงแบบนั้นชนเผ่าอื่นก็ยังอาละวาดกันอยู่ดี ถ้าหากไม่จัดการกับความวุ่นวายนี้ เมื่อเรื่องทุกอย่างมันบานปลาย…พวกเราก็คงจะถูกใช้กำลังบังสยบแน่”
“นั่นเป็นเป้าหมายของพวกชนเผ่าอื่นอย่างงั้นสินะ?”
ผู้คนยังคงถกเถียงกันอย่างดุเดือดในขณะที่ชี้มายังพระราชวังหลวง
“เขาออกมาแล้ว! ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าออกมาแล้ว!”
“เขาแสดงตัวแล้วอย่างงั้นเหรอ?”
“ไปดูเร็วเข้า!”
…
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธรวมไปถึงชาวเมืองจำนวนมากก็ได้มารวมตัวกันที่หน้าพระราชวัง ผู้ฝึกยุทธเริ่มมารวมตัวมากขึ้น พวกเขาต่างก็บินตามกันมา ถ้าหากไม่มีทหารราชสำนัก การจำกัดการบินในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะไม่มีผลอีกต่อไป
ลู่โจวยืนอยู่บนกำแพงพระราชวังในขณะที่มองลงมาที่ทุกคน
ต้วนมู่เฉิง ยี่เทียนซิน จ้าวยู่ ซู่ฮ่องกง หยวนเอ๋อ และหอยสังข์ยืนอยู่ที่ด้านหลังของเขา
ลู่โจวเห็นสายลับหลายคนปะปนอยู่ในหมู่ผู้คน แม้จะเห็นแบบนั้นตัวเขาก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เมื่อพอใจกับจำนวนของฝูงชนที่มารวมตัวกันแล้วตัวเขาก็ได้โบกมือ
ด้วยสัญญาณที่เห็นทำให้ฮั๊วจงหยางก้าวไปที่ด้านหน้า ตัวเขาได้ปลดปล่อยคลื่นเสียงออกมา “สายลับกำลังสร้างความหายนะให้กับเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ เจ้าพวกนั้นพยายามข่มเหงชีวิตของผู้บริสุทธิ์และสร้างความเสียหายอย่างไม่หยุดยั้ง ผู้อาวุโสจีเมตตาให้โอกาสพวกเจ้าได้มอบตัวแล้ว ใครก็ตามที่มอบตัวจะไม่ต้องตายอย่างทรมาน”
ชาวเมืองบางคนคุกเข่าลงก่อนจะพูดขึ้น “ได้โปรดทำอะไรสักอย่างด้วย ท่านผู้อาวุโส!”
“ได้โปรดทำอะไรสักอย่างด้วย ท่านผู้อาวุโส!”
ฮั๊วจงหยางตรวจสอบใบหน้าของผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่ลอยอยู่บนอากาศ “ในเวลาแบบนี้…ข้าหวังว่าทุกคนจะทิ้งขัดแย้งที่มีเพื่อกวาดล้างสายลับซะ”
ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ไกลได้โต้ตอบกลับมา “พูดน่ะมันง่าย…ในหมู่ของพวกเรามีสายลับอยู่แล้ว พวกเราจะแยกแยะสายลับได้ยังไงกัน? ข้าน่ะอยากฆ่าพวกสายลับนั่นซะยิ่งกว่าใคร!”
“ผู้อาวุโสจี…พวกเราเกรงกลัวและให้ความเคารพต่อศาลาปีศาจลอยฟ้ามาโดยตลอด พวกเราต่างก็ชื่นชมพวกท่าน พวกเราจะสนับสนุนพวกท่านอย่างเต็มที่เพื่อกำจัดสายลับ”
ผู้คนยังคงพูดต่อ “ผู้อาวุโสจี ได้โปรดมองภาพรวมด้วย สายลับทั้งห้าแลกกับความปลอดภัยของพวกเรา ยังไงซะสายลับทั้งหมดก็ต้องถูกขับไล่อยู่ดี!”
ลู่โจวมองไปที่ชายคนนั้น ชายคนนั้นเป็นชนเผ่าเนตรลึกลับ ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นไม่ได้รีบร้อนที่จะจัดการ ถ้าหากรีบร้อนไปก็มีแต่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น
ในเวลานั้นเองศิษย์สาวกจากสถานศึกษาก็ได้บินกลับมา เขาคนนั้นโค้งคำนับก่อนจะพูดขึ้น “ผู้อาวุโสจี พวกเราเตรียมพร้อมแล้ว”
ลู่โจวมองไปที่ผู้ฝึกยุทธคนนั้นก่อนจะพูดอย่างใจเย็น “ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว…เปิดใช้งานเขตแดนพลังซะ”
ศิษย์สาวกจากสถานศึกษารีบตะโกนสั่งการ “เปิดใช้งานเขตแดนพลัง!” เสียงของเขาดังก้องไปทั่วเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
สีหน้าของสายลับชาวรั่วหรี่ ชาวเนตรลึกลับ และชาวลั่วหลานเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจนสังเกตเห็นได้
ซู่วว! ซู่วว! ซู่วว!
เสียงของม่านพลังดังก้องไปทั่วเมือง
ในไม่ช้าม่านพลังก็ปรากฏขึ้น! ทั่วทั้งประตูเมืองทั้งสี่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ถูกสกัดกั้นด้วยม่านพลัง
ชาวเมืองและผู้ฝึกยุทธที่ไม่รู้เรื่องมองขึ้นฟ้าด้วยความสับสน
ที่จุดสูงสุดของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ โจวยู่ไคได้พาสาวกกว่าสิบคนของสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่เปิดใช้งานเขตแดนพลังทั้งสิบ
ลู่โจวสั่งการต่อ “พาลู่หลี่และคนอื่นๆ มา”
“ครับ!”
ไม่นานหลังจากนั้นลู่หลี่และสหายทั้งสี่ก็ถูกพาตัวมา
ลู่โจวพูดอย่างเฉยเมย “ข้าเกลียดการข่มขู่เป็นไหนๆ เอาพวกมันไปตัดหัว!”
เพชฌฆาตไม่ลังเลเลยที่จะสะบั้นดาบ
ศีรษะของชาวเนตรลึกลับทั้งห้าถูกตัดออก หัวของพวกเขากลิ้งไปหาชาวเมือง
ชาวเมืองต่างก็เบิกตากว้าง
“ผู้อาวุโสจี…ท่าน…ท่านไม่กลัวสิ่งที่สายลับขู่อย่างงั้นเหรอ? อะไรกัน…แล้วพวกเราจะทำยังไง?”
“นี่มัน…สายไปแล้วอย่างงั้นสินะ?” ใครบางคนพึมพำ
ลู่โจวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่ “สายลับจากชนเผ่าอื่นได้สร้างปัญหาและยังเหยียบย่ำชีวิตของชาวเมืองอย่างไร้ค่า ถ้าหากพวกเราไม่ยอมตอบโต้อะไรเลย แล้วใครกันที่จะลุกขึ้นสู้?” เมื่อเห็นผู้คนยังคงเงียบ ลู่โจวยังคงพูดต่อ “ถ้าหากข้าจะปล่อยให้เจ้าพวกสายลับมีชีวิตอยู่ ข้าจะไปมีหน้าที่ไหนไปสู้กับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว?”
ผู้อาวุโสพูดถูกแล้ว! สายลับพวกนั้นสมควรตาย!
แม้ว่าการลงมือประหารสายลับต่อหน้าชาวเมืองจะไม่ทำให้ตัวเขาได้แต้มบุญก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ต้องทำ ถ้าหากเขาไม่ทำแบบนี้ แล้วลู่โจวจะไปข่มขวัญสายลับทั้งหลายได้ยังไงกัน?