การมาเยี่ยมเยือนกะทันหันของคนตัดฟืนก็ทำให้คนตกใจพอแล้ว
ตอนนี้ยังพูดว่าอยากให้พวกเขาไปเอาเมืองไคเต๋อคืนด้วยกันอีก
สมองของหัวหน้าทหารทั้งห้าในห้องที่ล้วนอายุสี่สิบปี เป็นทหารมาหลายสิบปี ในมือไม่มีชีวิตโจรจินสามสิบอย่างน้อยก็มีสิบ สับสนอยู่บ้าง
เรื่องราวเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
“เหล่าจิ่วอา เรื่องนี้ต้องหารือกันยาว” ติงต้าซานเอ่ย ครั้งนี้ไม่กล้าหยุดอีก กลัวแต่จะถูกบุรุษคนนี้ขัด “พวกเราตอนนี้คนไม่มาก ป้อมปราการห้าแห่งใกล้ๆ รวมกันก็ไม่เกินหนึ่งพันคน ไกลไปอีกยังมีสามป้อมปราการ จำนวนคนมากหน่อย แต่อย่างไรไม่มีคำสั่งเบื้องบน พวกเราก็ไม่สะดวกเคลื่อนกำลังพลของพวกเขา”
“สังหารสุนัขจินยังต้องการคำสั่งเบื้องบนด้วยรึ?” เหล่าจิ่วมองพวกเขาเอ่ยขึ้น
วาจาเป็นคำถาม แต่น้ำเสียงของเขากลับเป็นการบอกเล่า
พวกเจ้าเป็นคนตัดฟืน ไม่ยอมให้ราชสำนักควบคุม แน่นอนไม่ต้องการคำสั่ง แต่พวกเขาเป็นทหารนะ เบื้องบนบอกอยู่ตลอดให้รอทหารกองหนุน ไม่ได้บอกให้พวกเขาลงมือ
แน่นอน ไม่มีทหารกองหนุน อาศัยพวกเขามนุษย์วานรไม่กี่คนนี่ก็ลงมือไม่ได้
คนตัดฟืนคนนี้พูดตรงๆ ก็คือโจร เพียงแต่ว่าที่สังหารคือโจรจิน พูดถึงกฎระเบียบกับโจรไม่ง่ายจริงๆ
ติงต้าซานปาดเหงื่อ
“ไม่ปิดบังท่านผู้กล้า พวกเราได้รับคำสั่งให้รอทหารกองหนุน อีกอย่างทุกป้อมปราการต่างรับชาวบ้านเกือบพันเอาไว้” เขาถอนหายใจเอ่ย “ไม่ใช่พวกเรากลัวตาย ที่จริงคือไม่กล้าและไม่อาจตาย”
พวกเขาย่อมอยากสังหารสุนัขจินเช่นกัน แต่กำลังแตกต่างกันไกลเกินไป ตนเองสู้จนตายก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญก็คือชาวบ้านเหล่านี้ที่ปกป้องอยู่ด้านหลังก็จะจบสิ้นตามไปด้วย
ได้แต่อาศัยป้อมปราการตรากตรำฝืนปกป้องจนทหารกองหนุนมาถึง
พวกหัวหน้าทหารหวังก็พากันพยักหน้า
“พวกเราสู้พวกท่านผู้กล้าที่ไปมาดั่งใจอย่างสบายอกสบายใจไม่ได้” พวกเขาเอ่ยอย่างจริงใจ “แต่ชิงชังสุนัขจินเช่นเดียวกัน”
เหล่าจิ่วพยักหน้า
“ที่จริงที่พวกเรามา เฉิงกั๋วกงรู้” เขาพลันเอ่ย
เฉิงกั๋วกง!
พวกติงต้าซานตะลึง
นี่หมายความว่าอย่างไร? หรือจะบอกว่าเฉิงกั๋วกงให้พวกเขามาหรือ?
เฉิงกั๋วกงบงการพวกเขาได้?
ดังนั้น พวกเขาเป็นคนของเฉิงกั๋วกงจริงๆ?
เฉิงกั๋วกงเลี้ยงทหารส่วนตัว…
ผู้คนในห้องจิตใจวุ่นวายอยู่บ้างอีกครั้ง
นี่ คำพูดนี้ไม่อาจพูดส่งเดชได้ พวกเขาได้ยินหรือไม่ได้ยิน?
“เป็นแบบนี้ แดนเหนือกองทัพใหญ่ประชิดชายแดน” เหล่าจิ่วเอ่ยช้า ๆ “เฉิงกั๋วกงก็เข้าล้อมกวาดล้างพวกเราอีกครั้งด้วย”
เข้าล้อมกวาดล้าง?
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่แล้ว …พวกติงต้าซานโล่งอก
พี่ใหญ่ท่านนี้ ท่านพูดจาอย่าสั้นกระชับปานนั้นได้หรือไม่?
“บอกว่าแดนเหนือกิจทหารสำคัญเร่งด่วน ไม่อาจให้มีช่องโหว่แม้แต่นิด ไม่อนุญาตให้พวกเราก่อกวนกิจทหารการสงคราม” เหล่าจิ่วเอ่ยต่อ
นี่มีเหตุผลยิ่ง ทำไมราชสำนักไม่อนุญาตการมีอยู่ของคนตัดฟืน ก็เพราะพวกเขาไม่ยอมถูกควบคุม กระทำการตามอำเภอใจ บางครั้งจะทำลายสถานการณ์ใหญ่
อย่างไรกลยุทธ์ในสนามรบต้องรอบคอบยิ่ง พลาดก้าวหนึ่งก็อาจพ่ายแพ้ย่อยยับทั้งกระดาน
เฉิงกั๋วกงปกครองกองทัพรักษาดินแดนรับศึกอย่างเหมาะสมขบคิดถี่ถ้วนจริงๆ
ในอดีตฟันสังหารชาวจิน เขาลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งก็ช่างเถิด แต่เมื่อถึงยามศึกใหญ่ย่อมไม่อาจยอมให้พลาดพลั้งเสียหายสักนิดได้
พวกติงต้าซานสีหน้าเคร่งขรึมเคารพ อยากชมเฉิงกั๋วกงเฉลียวฉลาดสักประโยคหนึ่ง แต่คิดถึงฐานะของคนตัดฟืนจึงกล้ำกลืนลงไป
“เฉิงกั๋วกงเฉลียวฉลาด” เหล่าจิ่วกลับพยักหน้าเอ่ย ไม่ปิดบังความนับถือสักนิด “พวกเราเคารพเขามาก”
อ้อ พวกติงต้าซานในใจล้วนเอ่ย
เหล่าจิ่วมองไปทางพวกเขา ไม่ได้เอ่ยต่อทันที คล้ายกับรอคอยอะไรอยู่
ติงต้าซานเกิดปฏิภาณไหวพริบ
“เฉิงกั๋วกงเฉลียวฉลาด” เขารีบเอ่ย
คนอื่นก็ล้วนตอบสนองทันแล้ว พากันพยักหน้า
“เฉิงกั๋วกงเฉลียวฉลาด”
“เฉิงกั๋วกงกล้าหาญเจ้าแผนการ”
รอเสียงพวกเขาจบลง เหลาจิ่งถึงพยักหน้า อ้าปากต่อ
“ดังนั้นพวกเราจึงฟังคำพูดของเขา ถอยออกมา” เขาเอ่ย “เฉิงกั๋วกงบอกพวกเราอีกว่าทหารจินที่แดนเหนือมากเกินไป พวกเราฆ่าสิบคนร้อยคนก็ไม่มีความหมาย หากพวกเราอยากฆ่าโจรจินจริงๆ ไม่สู้เลือกไปฆ่าโจรจินที่น้อยหน่อย ถ้าอย่างนั้นโจรจินตายหนึ่งคนก็เสียหายก้อนหนึ่ง”
เขาพูดพลางตบขา คล้ายลอกเลียนสีหน้าท่าทางของเฉิงกั๋วกง ยื่นมือออกมาชี้
“ดังนั้นพวกเจ้าไปเมืองไคเต๋อเถอะ”
ดังนั้นพวกเขาจึงมาเมืองไคเต๋อแล้ว
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ พวกติงต้าซานกระจ่างแจ้ง
“ดังนั้น พวกเจ้าพูดถึงทหารกองหนุน พวกเราก็คือทหารกองหนุน” เหล่าจิ่วมองดูพวกเขาแล้วเอ่ยเสียงเข้ม “พวกเจ้าพูดถึงคำสั่งเบื้องบน ถ้าอย่างนั้นสังหารโจรจินก็คือคำสั่งของเฉิงกั๋วกง”
ก็เหมือนว่าจะเป็นแบบนั้นนะ พวกติงต้าซานพยักหน้าอย่างมึนงงอยู่บ้าง
“ถ้าอย่างนั้นทุกคนตอนนี้หารือเสร็จแล้วสินะ?” เหล่าจิ่วเอ่ย “ทำหรือไม่ทำ?”
พวกติงต้าซานตื่นได้สติขึ้นมาทันที ลนลานอีกครั้ง
พี่ใหญ่ นี่ยังเร็วเกินไปแล้ว
เพิ่งพูดกันสองสามประโยคเท่านั้นเอง
“เรื่องนี้ไม่อาจดูเบาได้ พวกเราหารือกันดีๆ” ติงต้าซานรีบร้อนเอ่ย
เหล่าจิ่วพยักหน้า
“ดี พวกเรามาหารือกันหน่อย” เขาเอ่ย เท้าใหญ่กวาดบนพื้นดิน วาดกรอบสี่เหลี่ยมอันหนึ่งออกมา “เมืองไคเต๋อนี่พวกเจ้าคุ้นเคยกว่าพวกเรา มีวิธีอะไรลักลอบเข้าไปในเมืองไหม?”
หารือ หารือเรื่องนี้หรือ? ไม่ ไม่ถูกต้องกระมัง
นี่ใยไม่ใช่จะสู้แล้ว?
สิ่งที่พวกเขาต้องหารือไม่ใช่เรื่องนี้กระมัง?
ผู้คนตะลึงอยู่บ้าง แต่มีคนเอ่ยปากโดยไม่รู้ตัวแล้ว
“กำแพงเมืองไคเต๋อแข็งแกร่งสูงใหญ่ ป้องกันง่ายโจมตียาก” เขาเอ่ย “แต่ก็ไม่ใช่เข้าไม่ได้”
“ใช่แล้ว” อีกคนหนึ่งก็รีบเอ่ยตาม “ตอกแรกมีทางลับอยู่หลายทาง”
“แต่ทางลับนี่ล้วนถูกทำลายแล้ว” มีคนส่ายศีรษะบ้าง “เดิมทีตอนแรกก็มีคนจะคุ้มครองเจ้าเมืองหนีออกมาผ่านทางลับทางนี้แต่เจ้าเมืองปฏิเสธและทำลายทางลับด้วยมือตนเอง สาบานจะอยู่ตายไปกับเมือง”
คิดถึงเรื่องน่าเวทนาตอนนั้น ในห้องก็เงียบงันไปครู่หนึ่ง
น่าเวทนาปานนั้น ตายก็ตายเปล่าแล้วหรือ? จะมองดูแบบนี้ไปตลอดหรือ?
ติงต้าซานพลันกำหมัดแน่น
“ยังมีทางลับอีกทางหนึ่ง” เขาเอ่ย
ยังมีอีก?
ทุกคนล้วนมองมาทางเขา ติงต้าซานเป็นทหารประจำการที่อยู่ใกล้เมืองไคเต๋อที่สุด ความลับทางการทหารของเมืองก็เข้าใจที่สุด เขาบอกว่ามี ถ้าอย่างนั้นต้องมีแน่
เพียงแต่
“มีทางลับแล้วอย่างไร? ครั้งหนึ่งเข้าไปได้แค่คนเดียว ส่วนในเมืองมีกำลังพลชั้นเยี่ยมของทหารจินอยู่สามพันนาย” หวังต้าซานส่ายศีรษะเอ่ย
เข้าไปแล้วต้องเป็นแกะเข้าปากเสืออย่างไม่ต้องสงสัย
“ดังนั้นถึงต้องการให้ทุกคนร่วมด้วย” เหล่าจิ่วเอ่ย เท้าชี้บนพื้น “พวกเราเข้าไป ฆ่าคนที่เฝ้าประตูเมืองจากนั้นเปิดประตูเมือง แล้วพวกเจ้าก็เข้ามาโจมตีเมืองด้วยกัน”
ก็คือทำด้วยกัน แล้วยังมีแค่ไม่ถึงสองพันคน…โจมตีอย่างไรเล่า
พวกหวังต้าซานกลืนน้ำลาย
เหล่าจิ่วยิ้มแล้ว ตบขวานด้านหลังร่าง
“โจมตีอย่างไร?” เขาเอ่ย “เอาชีวิตเข้าโจมตี”
เขาลุกขึ้นยืน
“พวกเรามักพบโจรจินอยู่บ่อยๆ คนเหล่านี้ดุร้ายยิ่ง ทหารคนเดียวความสามารถในการสู้รบแข็งแกร่งนัก แต่พวกเขามีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่ง คงเพราะเหตุด้วยประชากรน้อยนิด จึงทนรับการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากไม่ได้เป็นพิเศษ”
เรื่องนี้ไม่เคยได้ยินจริงๆ เหล่าหัวหน้าทหารที่นี่ล้วนจดจ่อมองเขา
เหล่าจิ่วมองไปทางพวกเขา ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา
“ข้าบอกพวกเจ้าได้เลย ขอแค่จัดการโจรจินได้ห้าร้อยคนก็เพียงพอทำให้พวกเขาห้าพันคนแพ้กระเจิง”
ห้าร้อยคนก็ทำให้พวกเขาแพ้กระเจิงได้หรือ?
หัวหน้าทหารทั้งหลายดวงตาอดไม่ได้ทอประกาย
คำพูดเช่นนี้…
ไม่รอพวกเขาเอ่ย เหล่าจิ่วก็ใช้ปลายเท้าวาดภายในเมืองไคเต๋อ
“พวกเราจะวางเพลิงตรงนี้ ตรงนี้ก่อน ที่นี่ทหารจินส่วนมากอยู่ หลังจากนั้นจัดการทหารที่เฝ้าประตูเมืองตะวันตก”
พร้อมกับที่เขาชี้พลางพูด หัวหน้าทหารทั้งหลายไม่ทันรู้ตัวก็ล้อมเข้ามา ดังเช่นยามปกติฟังทหารยศสูงจัดการสั่งงาน
“พวกเจ้าเข้าเมืองรับศึก ส่วนพวกเราอาศัยความวุ่นวายบุกไปสถานที่ที่จานเถี่ยมู่อยู่”
จานเถี่ยมู่ก็คือหัวหน้าของทหารจินที่เมืองไคเต๋อ
จับโจรจับหัวหน้าก่อนใช้กับทหารจินได้เหมือนกัน
วางเพลิงย่อมจัดการทหารจินส่วนหนึ่งได้ ชักนำให้โกลาหล สังหารจานเถี่ยมู่จะทำให้ทหารจินเสียแกนนำ ราตรีช่วยปิดบัง พวกเขาคุ้นเคยกับภูมิประเทศสภาพแวดล้อมมากกว่าทหารจินย่อมรู้ว่าตรงไหนหลบซ่อนได้ จะซุ่มโจมตีเข่นฆ่าอย่างไร
เช่นนี้ฟังดูแล้วเหมือนจะง่ายดายยิ่งนัก
หัวหน้าทหารทั้งหลายสีหน้าเปลี่ยนเป็นฮึกเหิมอยู่บ้าง
หวังต้าซานกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง
“พวกเรามีเพียงหนึ่งพันเจ็ดร้อยคน” เขาเอ่ย “นอกจากนี้ทหารจินเดิมทีมีอาวุธยุทโธปกรณ์ชั้นเยี่ยม แล้วยังยึดครองคลังแสงของเมืองไคเต๋อไปแล้วอีก พวกเรามีเพียงดาบผุๆ หอกพังๆ กระทั่งชุดเกราะที่เข้าท่าก็ไม่มี”
คำพูดนี้ประดุจน้ำเย็นกะละมังหนึ่งสาดผู้คนให้ตื่น
กำลังทหารยังคงห่างกันไกลเหลือเกิน
เหล่าจิ่วใช้เท้าเหยียบแผนที่บนพื้น เหยียดร่างตั้งตรง
“วันพรุ่งนี้ถึงเริ่ม พวกเจ้ามีเวลาขบคิด” เขาเอ่ย “ถึงเวลาพวกเราจะทำเช่นนี้ ประตูเมืองเปิดออก มาไม่มาพวกเจ้าตัดสินใจเอง”
พี่ใหญ่ คำพูดท่านพูดถึงขั้นนี้แล้ว พวกเรายังตัดสินใจเองอย่างไรได้อีกเล่า?
บรรดาหัวหน้าทหารหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก จะพูดอะไร เหล่าจิ่วก็เดินไปข้างนอกแล้ว เดินถึงประตูก็หยุดอีกครั้ง
“อ้อ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” เขาหันหน้ามาเอ่ย “นี่คือการกระทำของพวกเราเอง ไม่เกี่ยวข้องกับเฉิงกั๋วกง เลี่ยงไม่ก่อปัญหาให้เขา ทำลายสถานการณ์ใหญ่ ดังนั้นหวังว่าพวกเจ้าจะปิดบังฐานะของพวกเรา หากพวกเราตายไปก็ทำเป็นไม่มีเรื่องนี้ หากพวกเราทำสำเร็จ…”
เขามองบรรดาหัวหน้าทหารด้านหลังร่าง
“นั่นย่อมเป็นความกล้าหาญของพวกเจ้าสังหารศัตรูแย่งชิงแผ่นดินที่เสียไปคืน จงรักภักดีเพื่อบ้านเมืองเพื่อประชาชน”
สิ้นคำพูดนี้ ในสายตาของหัวหน้าทหารห้าคนในห้องคล้ายมีประกายไฟลุกสว่างขึ้นมา