บทที่ 467 ความจริงถูกเปิดเผย (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 467 ความจริงถูกเปิดเผย (1)

องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหตุใดถึงพูดเช่นนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าพาสตรีคนนั้นมา ลูกของข้าจะถูกวางยาพิษได้เยี่ยงไร”

เซวียนผิงโหวขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “เจ้าคิดหรือว่าคนร้ายเพ่งเล็งสตรีนางนั้นจริงๆ ”

“แล้วไม่ใช่หรือ” องค์หญิงถามย้อน

เซวียนผิงโหวไม่ตอบอะไร

องค์หญิงซิ่นหยางแผดเสียงหัวเราะอย่างประชด “ไม่กล้าพูดอะไรแล้วหรือ ไหนเจ้าไม่ชอบให้ใครมาให้ร้ายมิใช่รึ ไหนเจ้าลองว่ามาสิว่าข้าเข้าใจท่านผิดอย่างไร”

“ฉินเฟิงหว่าน เรื่องนี้สำคัญกับความสัมพันธ์ของท่านและเซียวเหิงอย่างนั้นหรือ” เซวียนผิงโหวเอ่ยถามพลางทำท่าสับสน

“เจ้า หมายความอย่างไร” องค์หญิงไม่เข้าใจ

นัยน์ตาของเซวียนผิงโหวพลันหดลึกลง “การที่เจ้าคิดว่าคนร้ายตั้งใจปองร้ายมารดาของเซียวเหิง จะทำให้เจ้ารู้สึกรังเกียจเขาหรือไม่”

เซวียนผิงโหวเอ่ยต่อโดยไม่เผื่อช่องว่างให้องค์หญิงสวนกลับ “ข้าเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร เกิดเป็นคนทั้งที ดันถูกให้ร้ายเสียกระนั้น ฉินเฟิงหว่าน เป็นเจ้าเองนะที่ต้องการรู้เรื่องนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร เจ้าอย่าถือโทษโกรธเคืองข้าล่ะ”

องค์หญิงสัมผัสได้ถึงลางรายบางอย่างที่กำลังเข้ามา

เซวียนผิงโหวจ้องดวงจาองค์หญิงเขม็ง ก่อนจะเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเยือกเย็น “ฉินเฟิงหว่าน ตอนนั้น ที่เราสองคนตกลงกัน เจ้าจะไม่มีวันรักข้า และข้าเองควรหักห้ามใจไม่ให้ชอบเจ้า วันสมรสของเราสองคน เจ้าเป็นคนพูดเอง ว่าพวกเราจะเป็นแค่คู่รักในนามเท่านั้น และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน แต่ภายหลัง ข้าดันใกล้ชิดกับเจ้าจนเจ้ามีครรภ์ ข้าเคยถามว่าเจ้าจะเก็บเด็กคนนี้ไว้หรือไม่ หากเจ้าเก็บ เขาจะเป็นทายาทคนเดียวของข้า และเป็นลูกคนเดียวของเจ้า! แต่หากเจ้าไม่ต้องการ ข้าจะไม่พูดอะไร ในเมื่อเขาอยู่ในท้องของเจ้า ข้ารอคอยเด็กคนนี้มากแค่ไหนเจ้าน่าจะรู้อยู่เต็มอก ทั้งจวนองค์หญิงและจวนเซวียนผิงโหวถูกคุ้มกันทั้งหน้าและหลังอย่างดี แน่นหนายิ่งกว่าวังหลวง ชนิดที่ว่าแมลงวันตัวเดียวก็บินเข้าไม่ได้! ข้าขอถามเจ้า โจรที่ไหนจะลอบเข้าไปวางยาลูกชายของเราในที่ๆ คุ้มกันแน่นหนาแบบนั้นได้! ”

ดวงตาองค์หญิงเริ่มสั่น “เจ้า…”

“ใช่แล้ว ข้าหมายความเช่นนั้นแหละ มีไส้ศึก! ซึ่งก็คือคนของเจ้า!” เซวียนผิงโหวแค่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา

สีหน้าองค์หญิงเริ่มเปลี่ยน “เป็นไปไม่ได้ ข้ามีองครักษ์หลงอิ่งคอยคุ้มกันเด็กสองคนอยู่ตลอดเช้าเย็น จะทิ้งช่องโหว่ให้ใครมาวางยางพวกเขาได้อย่างไร”

เซวียนผิงโหวยังคงแสดงสีหน้าเย็นชา ทั้งรอยยิ้ม และสายตา “ก็ใช่สิ เจ้ามีองครักษ์หลงอิ่งคอยคุ้มกัน ใครจะวางยาพวกเขาได้! เจ้าคิดดูสิ!”

เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นในห้วงความคิดขององค์หญิง!

องครักษ์หลงอิ่ง!

ไม่ ไม่จริง

พวกเขาจะทำแบบนั้นเพื่ออะไร

การคาดเดาเช่นนี้ดูจะน่าขันและเกินเหตุไปจนองค์หญิงหลุดหัวเราะออกมา

สักพัก เสียงหัวเราะก็พลันหายไป ทิ้งไว้แค่รอยยิ้มเจื่อนๆ บนใบหน้า

สิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง จวนของพวกเขาในเวลานั้นได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่ต้องพูดถึงว่าไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ แต่องครักษ์หลงอิ่งก็อาจแอบเข้าไปได้โดยไม่ทำให้ใครสงสัย

เพราะนางเองก็มีองครักษ์หลงอิ่งอยู่เช่นกัน

ในสถานการณ์เช่นนั้น นอกจากองครักษ์หลงอิ่งแล้ว ไม่น่ามีใครฉวยโอกาสได้

ด้วยความที่องค์หญิงเชื่อมั่นในตัวองครักษ์หลงอิ่งเกินไป นางจึงไม่เคยมองเห็นปัญหาตรงนี้มาก่อน

องค์หญิงพยายามคุมร่างที่กำลังสั่น และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อคว้าความเป็นไปได้สุดท้าย “แล้วเหตุใด… ถึงไม่ใช่คนกลุ่มนั้น พวกมันไม่มีอะไรน่าสงสัยเลยหรือ”

เซวียนผิงโหวตอบ “ข้าไม่รู้ว่าพวกเขามาถึงตอนไหน และเพ่งเล็งเซียวเหิงตั้งแต่เมื่อไหร่”

เนื่องจากเซียวเหิงแทบไม่ได้อยู่เคียงข้างเขา ตอนที่พวกมันเล็งเซียวเหิง เขาไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย จึงไม่อาจคาดเดาอะไรได้เลย

เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “แต่ข้าสามารถบอกเจ้าได้อย่างชัดเจนว่าตอนเกิดอุบัติเหตุกับเด็กสองคน คนเหล่านั้นยังมาไม่ถึงแคว้นเจา”

“เจ้าแน่ใจได้อย่างไร” องค์หญิงเอ่ยถามพลางจ้องไปในดวงตาของเขา

เซวียนผิงโหวสบตากับนางโดยไม่ลังเล และให้คำตอบ “เพราะนางพูดเองว่าถ้านางไม่ตาย คนพวกนั้นจะมาหา”

แววตาของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ขณะเอ่ยประโยคเมื่อครู่

“นางพูดไว้ก่อนสิ้นลมรึ” องค์หญิงหลบตาของเขา

“ใช่”

“นางตายแล้วจริงๆ ใช่ไหม”

“ข้าเป็นคนฝังศพนางเองกับมือ”

“หายากนะ ถึงกับฝังศพให้เองเลย” องค์หญิงแค่นเสียงหัวเราะ

เซวียนผิงโหวเม้มปากครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่ต้องการจะโต้กลับ ได้แต่มองลึกเข้าไปในดวงตาของนาง “นางไม่เคยทำให้เซียวชิ่งลำบาก และการตายของเซียวชิ่งก็ไม่ใช่ความผิดของนางและเซียวเหิง”

“เจ้ายังจำชื่อเขาได้ด้วยรึ” องค์หญิงเปลี่ยนจุดสนใจ

เซวียนผิงโหวนิ่งเงียบพร้อมกับสีหน้าที่ดูสับสน ก่อนจะถอนหายใจ “ข้าจะลืมได้อย่างไรกัน นั่นเป็นชื่อที่ข้าเลือกเองกับมือนะ ลืมไปแล้วรึ”

องค์หญิงมองเขาด้วยหางตา “ไม่ใช่เพราะรู้จักอยู่แค่คำเดียวหรอกหรือ”

เซวียนผิงโหว “…”

ไว้หน้ากันซักนิดไม่ได้หรือยังไง

ความรู้สึกผูกพันระหว่างเขากับเซียวเหิงเรียกได้ว่าอยู่บนพื้นฐานของความสับสน ตอนแรกเขาลงใจแล้วว่าเซียวชิ่งคือทายาทเพียงผู้เดียวของเขา เขามีท่าทีปฏิเสธด้วยซ้ำตอนที่องค์หญิงตัดสินใจอุปการะเซียวเหิง

แต่เพราะองค์หญิงเพิ่งผ่านความเจ็บปวดจากการสูญเสียไม่นาน เขาไม่มีทางคิดจะขัดขวางเส้นทางการเป็นแม่คนของนางได้ลงคอ

เป็นเขาเองที่เคยทำตัวเย็นชากับเซียวเหิง

เขาเป็นพ่อที่ไม่ดี ขณะที่นางทำหน้าที่แม่ได้อย่างไร้ที่ติ

นางสั่งสอนอบรมเขาอย่างดี หากไม่นับเรื่องที่นางไม่ให้เขาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แล้ว เซียวเหิงเป็นเด็กที่ได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี ซึ่งสวนทางกับความปรารถนาของเขาที่จะสอนให้เขาเป็นจอมสังหารตัวน้อย

อย่าว่าแต่จอมสังหารเลย ให้เขาไปฆ่าไก่ตัวนึงคงทำไม่ลงหรอก!

“ข้าพูดจบแล้ว เจ้าก็ค่อยๆ คิดเรื่องที่เหลือก็ได้” หลังจากเซวียนผิงโหวพูดจบ เขาก็ยกม่านขึ้นเพื่อให้ฉางจิ่งหยุดรถม้า จากนั้นย้ายไปนั่งในรถม้าอีกคันข้างหลังแล้วจากไป

“องค์หญิงไปที่จวนหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฉางจิ่งเอ่ยถาม

องค์หญิงที่กำลังจมอยู่ในความคิดอันแสนโกลาหลเหมือนพายุไม่ได้ยินคำพูดของฉางจิ่ง

“นั่นสินะ ตามนั้นแหละขอรับ” ฉางจิ่งพูดกับตัวเอง ก่อนจะขับรถม้ามุ่งหน้าไปยังจวนองค์หญิง

ที่จวนองค์หญิง ทุกอย่างยังคงรูปลักษณ์ดั้งเดิมไว้ รวมถึงห้องคลอดเด็กทั้งสองห้อง

องค์หญิงปฏิบัติต่อเซวียนผิงโหวเฉกเช่นแขก ทั้งคู่จะไม่รบกวนซึ่งกันและกัน นี่คือข้อตกลงก่อนแต่งงาน

เซวียนผิงโหวบอกว่าเขาแตะต้องนาง นั่นคือคำพูดของเขาที่เอาทุกอย่างเข้าตัวเอง แต่อันที่จริงโทษเขาไม่ได้หรอก มันเป็นเพราะวันนั้นนางดื่มเหล้ามากเกินไปและกินยาผิดประเภทต่างหาก

เซวียนผิงโหวมองนางด้วยแววตาประกาย “ฉินเฟิงหว่าน เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่”

ท่าทีของเขาคล้ายตามนางก็จริง แต่เขาพยามคุมร่างกายตัวเองให้ถึงที่สุด

ท่าทีของเขาคือสัญชาตญาณ ส่วนการควบคุมเป็นแค่ทางเลือก

นางเอ่ย “รู้สิ เซียวจี่ ข้ารู้”