บทที่ 573 ทำเงินได้มหาศาล

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 573 ทำเงินได้มหาศาล

บทที่ 573 ทำเงินได้มหาศาล

“ป้าเคยคิดว่าธุรกิจร้านตัดเสื้อป้าดีมากนะ แต่ดูธุรกิจพวกหลานตอนนี้สิ ของป้ายังจะกล้าเรียกว่าดีอีกได้ยังไง!”

เถาฮวาเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง ขณะมองผู้คนเดินขวักไขว่เหมือนกับว่าสินค้าในร้านแห่งนี้ไม่คิดเงินอย่างไรอย่างนั้น

เสี่ยวเถียนหัวเราะ “ป้าเถาฮวา ที่ร้านก็ยุ่งเหมือนกันไม่ใช่หรือคะ ทำไมถึงมาได้ล่ะเนี่ย?”

การทำเสื้อผ้าต้องใช้เวลา ชุดหนึ่งก็ปาไปครึ่งวันแล้ว

เถาฮวาหัวเราะกับคำพูดหลาน

เธอเพิ่งรู้สึกว่าธุรกิจตัวเองไม่ดีเท่าพวกเขาเลย จึงทำได้แค่ถอนหายใจ

“ป้าคะ ป้าไม่คิดจะขยายธุรกิจบ้างหรือ?”

ถ้าเราเอาแต่ทำร้านตัดเสื้อเล็ก ๆ อยู่ตลอดก็ไม่น่าสนุกหรอกนะ และถ้าสามารถเอาเงินมาลงทุนได้ คงจะดีกว่าจ้างคนมาเพิ่มอีก

“ยัยเด็กคนนี้ แค่นี้ยังดูแลไม่ไหวเลย ป้าจ้างมาแล้วคนนึง!”

“อันที่จริงต่อให้จ้างคนเดียวหรือสี่ห้าคนก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไรนะคะ” เสี่ยวเถียนยิ้ม “ป้าจะลองจ้างเพิ่มอีกก็ได้นะ”

“จ้างเพิ่มอีกแล้วถ้าวันไหนไม่มีอะไรทำขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ?”

ถึงธุรกิจร้านตัดเสื้อจะไปได้สวย แต่เพราะมันจำกัดทำแค่สองคนเนี่ยสิ ถ้าคนเยอะจะไม่มีอะไรให้ทำ

“ป้าทำเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปแล้วเอามาวางขายที่ร้านพวกเราก็ได้นะคะ” เสี่ยวเถียนชี้ไปยังโซนเสื้อผ้า

คำพูดของหลานได้ปลุกคนเป็นป้าให้ตื่นขึ้น เถาฮวาเหมือนจะคิดอะไรออก

ตอนนี้มันไม่ใช่ยุคที่ต้องซื้อสินค้าด้วยการใช้เงินและตั๋วแล้ว เธอสามารถเลือกซื้อผ้ามาทำเสื้อผ้าสำเร็จรูปด้วยตัวเองได้แล้ว

เหมือนกับเสื้อผ้าไหม กระโปรงผ้าไหม รวมถึงผ้าพันคอผ้าไหมที่ทำกับเสี่ยวเถียนในวันนั้น ตราบใดที่ทำออกมาแล้วดูดี คนที่เห็นแล้วชอบก็ต้องซื้ออยู่แล้ว

“เด็กคนนี้สมองแล่นนะ เถาฮวา ไม่ลองดูหน่อยล่ะ!”

อวี่รุ่ยหยวนคิดว่าสิ่งที่หลานสาวบอกไม่ไว้ไม่มีปัญหาอะไร อันที่จริงถ้าลองทำตามความคิดของเด็ก อาจจะเปิดเป็นโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า และมีแบรนด์เป็นของตัวเองเลยก็ได้นะ

แต่พื้นเพครอบครัวเถาฮวาและเสิ่นจื่อเจินไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น พวกเราคงไม่มีเงินมากพอจะเปิดโรงงานได้

เสี่ยวเหมยที่กำลังทักทายลูกค้าได้ยินบทสนทนาโดยบังเอิญ

เธอคิดว่าคงไม่เป็นไรหากเราจะขยายขนาดร้านและทำเป็นโรงงานในอนาคต แต่เธอไม่รู้ว่าแม่คิดอะไรอยู่

ฮั่วซือเหนียนบอกว่าเขาสามารถหาคนมาช่วยซื้อจักรเย็บผ้าไฟฟ้าได้ แถมยังล้ำหน้ากว่าจักรเย็บผ้าด้วยเท้าที่บ้านเราใช้อยู่ตอนนี้อีก

แต่มันก็แค่ความคิดเพียงชั่วครู่ วันนี้มีลูกค้าเยอะเกินไป เธอจึงไม่มีเวลาคุยด้วย

ทุกคนยุ่งจนถึงเวลาสามทุ่ม ถึงจะปิดร้าน

เด็ก ๆ รวมตัวกันคำนวณรายได้ในวันนี้

เราเริ่มจากธนบัตรเหมาก่อน บางส่วนก็ยับยู่ยี่ ลำบากในการคำนวณไม่น้อย

โชคดีที่เรามีคนเยอะ

เด็ก ๆ รวมตัวกันที่เคาน์เตอร์ แล้วนับเงินด้วยกัน

ส่วนพนักงานทั้งหกยืนกรานที่จะนับสินค้า และจัดชั้นวางอันแสนเละเทะ รวมถึงทำความสะอาดแม้ว่าจะเหนื่อยแสนเหนื่อยก็ตาม

ส่วนพวกอวี่รุ่ยหยวนยืนไม่ไหว จึงมองที่นั่งพัก

เสี่ยวเถียนมองทุก ๆ คนที่เหนื่อยล้า แล้วบอกพวกเขาว่า “ป้าเถาฮวาคะ พาลุงเขย คุณย่าอวี่ และคุณปู่ฉือกลับร้านก่อนเถอะค่ะ หนูให้ย่าเตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว คุณปู่ซูก็เหนื่อยเหมือนกันนะ รีบกลับไปพักกันก่อนเถอะค่ะ”

เพราะวันนี้ยุ่งมากเลยไม่มีเวลาได้กินข้าวดี ๆ เลย แถมทุกคนก็มาช่วยงานกันหมด จะให้ช่วยต่อก็คงไม่ได้

เถาฮวาเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัว แต่ตอนนี้เธอหิวมากจริง ๆ

หญิงวัยกลางคนผุดลุกขึ้นแล้วชวนทุกคน ๆ กลับ “ป้าอวี่ ลุงตู้ ลุงฉือคะ วันนี้เราเหนื่อยกันมากแล้ว ที่บ้านมีของอร่อย ๆ รออยู่ รีบกลับไปกินเอาแรงกันค่ะ!”

แต่ผู้อาวุโสเป็นห่วงเด็ก ๆ มาก กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา

ถึงช่วงนี้จะปลอดภัยก็จริง แต่เงินทองสามารถล่อใจคนได้นะ ยิ่งวันนี้ร้านเราขายดี คนเข้า ๆ ออก ๆ เต็มไปหมด ก็ต้องเห็นรายได้ที่เราได้กันบ้างแหละ

ถ้าเกิดมีใครมีแรงจูงใจซ่อนเร้นมาหาล่ะ?

“ฉันอยู่ดีกว่า ปล่อยพวกเขาอยู่กันเองแล้วไม่ไว้ใจ!” คุณปู่ซูพูดอย่างเป็นห่วง

“พ่อครับ ผมก็อยู่ด้วยนะ? แล้วก็ยังมีอาจารย์ฮั่วอีก พ่อรับกลับไปพักเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาช่วยต่อไม่ไหวนะ!” เหล่าซานกล่อม

ต่อให้มีคนเฒ่าคนแก่อยู่ แต่ถ้ามีเรื่องขึ้นมาก็คงช่วยไม่ไหวอยู่ดี

“ใช่ค่ะคุณปู่ พรุ่งนี้คนน่าจะเยอะเหมือนเดิม รีบกลับไปพักกันเถอะนะ เดี๋ยวพวกเราคิดเงินเสร็จก็กลับแล้วค่ะ”

ตอนนี้ที่ร้านยังมีคนเฝ้าอยู่ แต่เราก็ต้องนับเงินให้ชัดเจนและเอากลับไปด้วย

หลังจากส่งเถาฮวาและคนอื่น ๆ กลับไปได้แล้ว ครึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเราคิดอัตรากำไรขั้นต้นเสร็จเป็นที่เรียบร้อย

พวกเราแทบไม่อยากจะเชื่อเมื่อได้ยินจำนวนตัวเลข

“เสี่ยวเถียน พี่ฟังผิดหรือเปล่า กำไรขั้นต้นที่ร้านเราทำได้ในวันนี้เกือบหกพันหยวนเลยหรือ?”

“พี่เสี่ยวเหมยฟังไม่ผิดค่ะ วันนี้ร้านเราทำได้เกือบหกพันหยวนจริง ๆ” เสี่ยวเถียนตอบด้วยรอยยิ้มยามมองสีหน้าตกใจของพี่สาว

“แล้วถ้าทำทั้งเดือน จะได้เงินเยอะขนาดไหนเนี่ย!” จู่ ๆ หญิงสาวก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะรวยในไม่ช้า

“ร้านเราเพิ่งจะเปิด กิจการดีอยู่แล้วค่ะ กว่าจะทรงตัวคงสักครึ่งเดือน ตอนนั้นเราค่อยมาดูกันดีกว่าว่าจะทำเงินได้หรือเปล่า?

ทำเลในตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร แม้รอบ ๆ ข้างจะมีย่านที่พักอาศัยอยู่บ้าง แต่มันไม่สามารถเทียบกับใจกลางเมืองได้หรอกนะ

สิ่งที่เสี่ยวเถียนสนใจคือศักยภาพในการพัฒนาของร้านต่อจากนี้ต่างหาก

ถ้าตามการพัฒนาของเศรษฐกิจ เสี่ยวเถียนชื่อว่าร้านแห่งนี้จะทำเงินมหาศาลให้พวกเราได้แน่นอน

“ราคาสินค้าและราคาที่ขายได้วันนี้สูงขึ้นสี่สิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าคำนวณตามสัดส่วนนี้ เราจะได้สามพันสองร้อยกว่าหยวน ส่วนกำไรสุทธิของวันนี้สองพันกว่าหยวน” เสี่ยวซื่อคำนวณอย่าว่องไว

ตอนนี้ร้านเรามีพนักงานขาย 6 คน คนเฝ้ายามกลางคืน 1 คน เงินเดือน 40 หยวนต่อเดือน รวมพนักงาน 7 คน จ่าย 280 หยวนต่อเดือน

เฉลี่ยแล้วได้เงินวัน 10 หยวน

น่าเหลือเชื่อจริง ๆ ที่ได้กำไรสุทธิ 2,000 กว่าหยวนเนี่ย ถ้าเรารักษาปริมาณการขายที่มั่นคงได้ ในหนึ่งเดือนเราจะได้เงิน 60,000 หยวน

เสี่ยวซื่อได้ 20% ในหนึ่งเดือนเขาจะได้ส่วนแบ่ง 10,000 กว่าหยวนเลยนะ

สวรรค์ เพิ่งจะหาเงินเองนะเนี่ย ก่อนหน้านี้มัวแต่ไปทำอะไรอยู่เนี่ย?

“เสี่ยวเถียน ด้วยความเร็วขนาดนี้ เราหาเงินได้ดีกว่าการซื้อของมาขายอีกนะ” เสี่ยวซื่อคว้าแขนน้องด้วยความตื่นเต้น

เด็กสาวยิ้ม “พี่สี่คิดแบบนี้ไม่ได้นะ ตอนที่ซื้อของมาขายทำเงินได้ก็จริง แต่การเปิดร้านเนี่ย เราใช้ช่วงเวลาไปเท่าไรตอนที่ซ่อมแซมและตกแต่งร้านคะ? แถมยังลงทุนไปตั้งเยอะอีก”

คำพูดเสี่ยวเถียนดับฝันพี่ชายมาก

ถ้าคิดแบบนี้ มันก็ดูไม่ดีเท่าซื้อของมาขายจริง ๆ นั่นแหละ!